แต่ไหนแต่ไรมา...ผมยังไม่เคยเห็นอาการ นิ่ง สงบ เยือกเย็น ปรากฏกับบุคคลที่เรียกตัวเองว่า “หลวงปู่พุทธอิสระ” เลยจริงๆ ...ที่พูดตรงนี้ไม่ได้พูดด้วยว่าเขามีแนวคิดทางการเมืองคนละข้างกับผมนะครับ พูดจากข้อสังเกตุที่เฝ้ามองพุทธอิสระคนนี้มาในระยะเวลาพอสมควร และนอกจากจะไม่เห็นแล้ว ยังไม่เคยรู้สึกหรือสัมผัสได้เลยว่านี่คือคน สงบ สุขุม เยือกเย็น ตรงกันข้าม...ผมกลับเห็นแต่ความเร่าร้อน กระวนกระวาย หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน (ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า “อุทธัจจะกุกกุจจะ”) และที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือความอาฆาตพยาบาททั้งจากการกระทำและสีหน้าและแววตา
นับตั้งแต่เขาถือเพศบรรพชิตเข้ามา ดูเหมือนว่าเขาจะทำตัวเสมื่อนกำลังแบกธุระทั้งทางโลกและทางธรรมไว้บนบ่าแล้ววิ่งพล่านไปมาทั้งสองโลก หาความความนิ่ง(ตุณฺฮี) ความอุเบกขาหาไม่มีเลย กลับอุตริเที่ยวเกลื่อกเกลื้อกับสิ่งที่สมณะสารูปไม่ควรเกลือกกลั้ว อวดอ้างสรรพคุณผ่านศิษย์เรื่องหลวงปู่แหวนให้ความเคารพ เป็นหลวงปู่เทพโลกอุดรกลับชาติมาเกิด เรื่องปลอมพรรษาเพื่อหวังตำแหน่งพระสังฆาธิการ เรื่องขายวัด เรื่องท้าท้ายกับพระด้วยกัน เรื่องสังฆราช เรื่องการเมือง เรื่องธรรมกาย อะไรต่อมิอะไรจิปาถะ สุดท้ายแม้แต่เรื่อง “หมุดหาย” ก็เป็นเดือดเป็นกับเขาด้วย เรียกว่า “วิ่งพล่าน” ไปพร้อมกับแรงเหวี่ยงของโลกจริงๆ
“ภิกษุไม่พึงหวั่นไหวในเพราะความนินทา ถูกเขาสรรเสริญแล้วไม่พึงฟูขึ้น พึงบรรเทาความโลภ พร้อมกับความตระหนี่ ความโกรธ และการพูดส่อเสียด. ว่าด้วยไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและสรรเสริญ” นี่คือเนื้อความที่มาในพระสุตันตปิฏกที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้
พุทธอิสระบอกว่า “พยายามนิ่งมาตลอด”?? ผมเชื่อว่าสังคมส่วนใหญ่รวมถึงกลุ่มพระสงฆ์ด้วยกันกลับไม่เห็นเช่นนั้นเลย และหากที่ผ่านๆ มาคือการ “นิ่ง” ตามที่อ้าง แล้วหากเขาไม่นิ่งล่ะจะขนาดไหน? คนประเภทนี้น่ากลัวทีเดียว อะไรนิดอะไรหน่อยกระทบเข้าหาตัวเอง ก็จะพาลเหวี่ยงใส่คนนั้นคนนี้ตลอด โดยไม่เคยหันกลับมามองตัวเองว่าเป็นต้นเหตุหรือไหม? หรือนำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องทำไม? เป็นหน้าที่ที่ควรจะทำหรือไหม?
เที่ยวไปปรักปรำป้ายสีคนนู้นคนนี้ไม่หยุดหย่อน พอโดนเข้ากับตัวบ้างถึงกับร้อนตัวผ่าว......แล้วไปเที่ยวสั่งสอนชาวบ้านทำไมล่ะครับว่า “ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง”? ถ้าเขาไม่อยากเลิกเล่นก็ปล่อยเขาไปสิ ตัวเราไม่เต้นผางๆ ไปตามเขาซะก็จบ เหมือนปล่อยให้อีกฝ่ายปรบมือข้างเดียวนั่นแหละ แต่นี่...กลับไปท้าทายคล้ายอันธพาล “เมื่อไม่อยากเลิกเล่น เช่นนั้นก็อย่าเลิกเล่นเลย” นี่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำเลยว่าเขาเป็นใคร?
ตรงๆ เลยนะครับ.....
สึกเถอะ! จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือสมัครเป็นสมาชิกพรรดใดพรรคหนึ่งก็ได้(เขาจะรับหรือไม่รับก็อีกเรื่อง)
.... พุทธอิสระ: “พยายามนิ่งมาตลอด เมื่อไม่อยากเลิกเล่น เช่นนั้นก็อย่าเลิกเล่นเลย”.../วัชรานนท์
นับตั้งแต่เขาถือเพศบรรพชิตเข้ามา ดูเหมือนว่าเขาจะทำตัวเสมื่อนกำลังแบกธุระทั้งทางโลกและทางธรรมไว้บนบ่าแล้ววิ่งพล่านไปมาทั้งสองโลก หาความความนิ่ง(ตุณฺฮี) ความอุเบกขาหาไม่มีเลย กลับอุตริเที่ยวเกลื่อกเกลื้อกับสิ่งที่สมณะสารูปไม่ควรเกลือกกลั้ว อวดอ้างสรรพคุณผ่านศิษย์เรื่องหลวงปู่แหวนให้ความเคารพ เป็นหลวงปู่เทพโลกอุดรกลับชาติมาเกิด เรื่องปลอมพรรษาเพื่อหวังตำแหน่งพระสังฆาธิการ เรื่องขายวัด เรื่องท้าท้ายกับพระด้วยกัน เรื่องสังฆราช เรื่องการเมือง เรื่องธรรมกาย อะไรต่อมิอะไรจิปาถะ สุดท้ายแม้แต่เรื่อง “หมุดหาย” ก็เป็นเดือดเป็นกับเขาด้วย เรียกว่า “วิ่งพล่าน” ไปพร้อมกับแรงเหวี่ยงของโลกจริงๆ “ภิกษุไม่พึงหวั่นไหวในเพราะความนินทา ถูกเขาสรรเสริญแล้วไม่พึงฟูขึ้น พึงบรรเทาความโลภ พร้อมกับความตระหนี่ ความโกรธ และการพูดส่อเสียด. ว่าด้วยไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและสรรเสริญ” นี่คือเนื้อความที่มาในพระสุตันตปิฏกที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้
พุทธอิสระบอกว่า “พยายามนิ่งมาตลอด”?? ผมเชื่อว่าสังคมส่วนใหญ่รวมถึงกลุ่มพระสงฆ์ด้วยกันกลับไม่เห็นเช่นนั้นเลย และหากที่ผ่านๆ มาคือการ “นิ่ง” ตามที่อ้าง แล้วหากเขาไม่นิ่งล่ะจะขนาดไหน? คนประเภทนี้น่ากลัวทีเดียว อะไรนิดอะไรหน่อยกระทบเข้าหาตัวเอง ก็จะพาลเหวี่ยงใส่คนนั้นคนนี้ตลอด โดยไม่เคยหันกลับมามองตัวเองว่าเป็นต้นเหตุหรือไหม? หรือนำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องทำไม? เป็นหน้าที่ที่ควรจะทำหรือไหม?
เที่ยวไปปรักปรำป้ายสีคนนู้นคนนี้ไม่หยุดหย่อน พอโดนเข้ากับตัวบ้างถึงกับร้อนตัวผ่าว......แล้วไปเที่ยวสั่งสอนชาวบ้านทำไมล่ะครับว่า “ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง”? ถ้าเขาไม่อยากเลิกเล่นก็ปล่อยเขาไปสิ ตัวเราไม่เต้นผางๆ ไปตามเขาซะก็จบ เหมือนปล่อยให้อีกฝ่ายปรบมือข้างเดียวนั่นแหละ แต่นี่...กลับไปท้าทายคล้ายอันธพาล “เมื่อไม่อยากเลิกเล่น เช่นนั้นก็อย่าเลิกเล่นเลย” นี่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำเลยว่าเขาเป็นใคร?
ตรงๆ เลยนะครับ.....สึกเถอะ! จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือสมัครเป็นสมาชิกพรรดใดพรรคหนึ่งก็ได้(เขาจะรับหรือไม่รับก็อีกเรื่อง)