[CR] Farm Staying live in Hanno, Saitama : นั่งดูหิมะตกอ่อน นอนอุ่น ผิงไฟ ใส่ยูคาตะ



สวัสดีค่ะ, ถ้าให้พูดถึงประเทศญี่ปุ่น ใครๆก็อาจจะนึกภาพออกกันอยู่แล้ว

หลายคนเคยไป หลายคนเคยดูรีวิวจนรู้สึกช้ำไปหมดแล้ว

เราก็คนนึงที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นในแบบที่คนส่วนใหญ่เค้าไปกัน

ก็หน่าาาาา ก็อยากช้อป อยากกิน อยากถ่ายรูปเป็นธรรมดา แต่คราวนี้!!

เราว่าเราจะหาที่เที่ยวในญี่ปุ่นแบบเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง ไปดูกัน...




เคยได้ยินมาว่าที่ญี่ปุ่นมีการพักแบบ Farm stay ในแถบ Oita ที่นั่นได้ข่าวว่าเค้ากำลังบูมมากเลย ใช้ชีวิตกับครอบครัวญี่ปุ่น แท้ๆ ช่วยงานในฟาร์ม อาจจะเรียกว่าฟาร์มซะทีเดียวก็ไม่ได้ มันจะเป็นเหมือนกับว่า เป็นบ้านของชาวบ้านที่ทำการเกษตร ปลูกผักไว้กินเองตามฤดูกาล และส่งขายบ้าง ไม่ได้ถึงขั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไร

" Farm stay เป็นหนึ่งในการท่องเที่ยวแบบ Green tourism
คือ เป็นการท่องเที่ยวที่รบกวนธรรมชาติน้อยที่สุด และได้ประโยชน์ในด้านวัฒนธรรมไปในตัว "


แต่ด้วยข้อจำกัดที่เราต้องไปทำงานในแถบ Kanto Kanagawa ต่อ เราเลยมีช้อยส์ที่จำกัดไปอีก ด้วยความอยากในการจะลองเข้าพักแบบ Farm Stay เราเลยหาข้อมูลเลยค่ะ ถ้าข้อมูลที่เจอส่วนใหญ่ก็แถวๆ ฟุกุโอกะ ไม่ก็ โทโฮคุเลย ด้วยความที่เราหาไม่เจอว่าแถวๆโตเกียวมีที่ไหนบ้างเราจึงทักเข้าไปในเพจ Farm Stay JAPAN บอกเค้าไปว่าข้อจำกัดเรามีอะไรบ้าง อยากเข้าพักวันไหน เค้าก็ให้ข้อมูลมา 3-4 ที่ให้เลือก ตามความประสงค์ของเรา แต่....(อีกแล้ว) ด้วยความที่เป็นหน้าหนาว พวกผักสวนครัว จะไม่ค่อยมีค่ะ เราเลยจ๋อยไปพักนึง จนมาเจอที่ที่ชื่อ WARABI-TEI ที่พักตั้งอยู่ในจังหวัด Saitama อำเภอ Hanno ที่นี่เป็นการเข้าพักแบบเรียวกัง และที่สำคัญเป็นโรงหมักถั่ว ที่เค้าใช้ทำมิโสะ และเส้นอุด้งค่ะ และเป็นคนเห็นแก่กินเลยตกลงที่นี่ไป ใกล้โตเกียว เดินทางง่าย สงบเงียบ มีกิจกรรม ติดภูเขาด้วย ไปค่ะ

➀ เริ่มจากการเดินทาง (ซึ่งไม่ยากเลย)
ความโชคดีของเราที่เราติดต่อผ่านเพจ Farm Stay JAPAN ซึ่งเค้ารู้ว่า เราเป็นคนไทย พูดญี่ปุ่นไม่ได้ และ คนญี่ปุ่นก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เค้าจึงส่งล่ามมาร่วมเดินทางกับเรานั่นคือ ยามาอุระซัง มาช่วยเรื่องการเดินทาง และเข้าพัก

เช้าวันแรก เรานัดเจอกับ ยามาอุระซัง ที่สถานี Hatchobori ที่ที่เรานอนมา 1 คืน และ ขึ้นรถไฟกันไปที่ Ikebukuro เพื่อต่อไปสถานี Hanno เรามีเวลาไม่นานมาก เพราะรถบัสที่จะไปที่พักมีสองรอบ !! แล้วถ้าเราพลาดรอบ 11 คือบ่ายไปเลยจ้าาา เราเลยต้องรีบสับ ลากประเป๋าที่หนักร่วม 30 โล (อยู่หลายๆวันค่ะ แฟชั่นก็แต่ง หนาวก็หนาวเนาะ) วิ่งงงงงงงงง

ระหว่างทางจากสถานี Ikebukuro สู่ Hanno ค่ะ


กระเป๋าที่หนักร่วม 30 โลของพวกเรา



และนี่คือ Yamaura San ที่ร่วมเดินทางกับเราค่ะ ถ้าไม่มีเค้าก็คงไม่มีเราในวันนี้แน่นอน T__T กราบบบรัวๆ


ถึงแล้วสถานี Hanno ที่เคลื่อนไหวอยู่นั่นพึ่งรู้ว่าเราควรวิ่ง
เพราะรถไฟที่มา เลท ไปสองนาที ทำให้เราต้องออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด




สรุปว่า เราทันรถบัสค่ะ ขึ้นคนสุดท้ายปุ้บ ประตูปิดปัง อย่างฉับไว เกือบไม่ทันทั้งแก๊งส์ นั่งรถขึ้นเชาไปอีก 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็ถึงที่หมายค่ะ หลับโอนเอน กระเป๋าโบยปิด คลุกคลัก ตุบตับ ไปมาฝนรสบัสจนพี่คนขับจะไล่เราลง



➁ Check-in ปุ๊บ กิน ปั๊บ

และสถานที่ที่เราเข้าพักก็คือ Warabi-tei ค่ะ ตบมือรัวววววววว ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นแหละค่ะ ที่นี่ตั้งอยู่ในจังหวัด Saitama อำเภอ Hanno ใกล้เขาที่ชื่อว่า Omochiyama เราลงจุดบัสสตอปและเดินขึ้นไปหน่อยค่ะ ไม่นานก็เจอเลย


นี่คือตัวบ้านค่ะ หน้าตาเหมือนโรงนอน ภายในมีห้องโถงทานข้าวใหญ่ๆ กับเตาผิงไฟอันนึง ได้กลิ่นอายญี่ปุ่นสุดๆ


และนี่คือ ช็อกสึ โอบ้าจัง บีเกิ้ลคุณยายประจำฟาร์ม เธอทำอย่างเดียวคือ นอน เพราะอากาศค่อนข้างหนาวมาก


พอดีว่าเรามากัน 4 คน หญิง 3 ผู้ชาย 1 ทางที่พัก เค้าจึงเตรียมให้นอนแยกกันค่ะ เดี๋ยวพาไปดูห้องพักนะคะ
ห้องผู้ชายเป็นเตียงค่ะ แต่ผู้หญิงนอนแบบเรียวกัง ปูที่นอนเอง มีตู้เหมือนห้องของโดราเอมอน


สิ่งอำนวยความสะดวกในที่พักก็มี
1. ชุดเครื่องนอน หมอน ฟูก ผ้าห่มอย่างหนา ผ้ารอง
2. ชุดยูคาตะ สายรัดพุง
3. เครื่องอาบน้ำ ก็จะมี ผ้าเช็ดหน้า แปรงฟัน ผ้าเช็ดตัว
4. น้ำเปล่าให้กินตลอดคืน
5. สลิปเปอร์ ไดร์เป่าผม ทีวี ฮีทเตอร์


เก็บกระเป๋าอะไรกันเสร็จแล้ว ก็ลงมาเตรียมตัวทำอุด้งที่จะเป็นอาหารเที่ยงของเราได้เลย ที่นี่เค้าจะให้เราทำเองค่ะ ทั้งนวดแป้ง โรยแป้ง ตัดเส้นอุด้ง โยนลงหม้อต้ม และ กิน โดยเซ็นเซผู้สอนก็คือ เจ้าของฟาร์มของเรานี่แหละค่ะนากามูระซังผู้ใจดี

นี่คือเส้นที่พวกเราทำกันค่ะ ที่เห็นเส้นใหญ่ๆ นั่นเราพวกเราเองค่ะ มันไม่เหมือนอุด้งเนาะ เราจะกินอุด้งร้อนๆ กับ ผิวส้ม โรยด้วยปลาแห้งที่เหมือนเคลื่อนไหวตลอดเวลา ต้นหอม แป้งเทมปุระกรอบๆ ราดด้วยโชยุ เหยาะพริกหน่อยๆ สุดท้าย ซัดกันไปคนละเกือบ 5 ถ้วยได้

กินกันในห้องทำอุด้งนี่แหละค่ะ ได้ฟิวมากๆ หม้อนึงต้มอุด้ง หม้อนึงเค้าบอกว่าต้มถั่วเหลืองไว้ทำมิโสะ ต่อจากนั้นไม่นาน อิ่มจนตาจะปิดกันแล้ว เค้าก็ชวนทำมิโสะ แต่!!! เจ้ามิโสะนั้นต้องให้ผู้ชายทำเท่านั้น ไม่แนะนำให้ผู้หญิงทำ เพราะแบคทีเรียในมือของผู้หญิงมีตัวนึงที่จะทำลายรสชาติอันยอดเยี่ยมของมิโสะไป งานนี้เพื่อนผู้ชายของเราจึงได้โซโล่ไปเลยค่ะ คนเดียว เค้าเล่าว่าระยะเวลาของมิโสะก็จะมี 4 ปี และ 10 เดือน และระยะเวลานั้นก็เป็นเงื่อนไขในการนำไปใช้ที่ต่างกันออกไป และเจ้ามิโสะ 4 ปีนี้แหละค่ะที่จะเป็นอาหารให้เรากินคืนนี้นั่นเองงงงงงงงง


➂ ออกสำรวจหมู่บ้านกลางหุบเขา

บ่ายแก่ๆ กับหมู่บ้านอันเงียบสงบ พวกเราตัดสินใจออกเดินสำรวจรอบๆกัน หลังจากที่เราทำมิโสะกันเสร็จสิ้น อากาศตอนนั้นกำลังเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ บวกกับข่าวโคมลอยที่ว่า พรุ่งนี้หิมะจะตก....!!! รอบๆ เงียบสงบ วิวหุบเขา และ ธารน้ำไหลเล็กๆ เหมือนว่าแถวนี้อาจจะมีน้ำตกก็เป็นได้ เดินไปอีกหน่อย เราเจอร้านชำเล็กๆ บริหารงานโดนคุณป้าและลูกสาว ภายในร้านมีขนมไม่กี่อย่าง น้ำดื่มไม่กี่ประเภท ด้านหน้ามีตู้ไปรษรีย์เล็กๆตั้งอยู่ข้างตู้น้ำกด แถวๆนี้เป็นเมืองที่ชาวบ้านทำการเกษตร โรงไม้ โรงเลื่อย และวัด เราเดินไปได้แป๊บนึงก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว หนาวด้วย 6 โมงก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนคะยั้นคะยอให้พวกเราอาบน้ำ แต่ด้วยนิสัยของเราคือไม่อาบค่ะ เพราะเราขี้เกียจ ฮ่าๆ ...



➃ ว่าด้วยการอาบน้ำ
และสิ่งที่น่าสใจของที่นี่อีกอย่างก็คือ การอาบน้ำ ของที่นี่ค่ะ ที่นี่อาบน้ำโดยการแช่แบบดั้งเดิม ที่สำคัญ บ่อรวม!!! มีฝักบัว เก้าอี้เล็กๆ ถังน้ำอยู่ 3 ชุด ข้างๆเป็นบ่อแช่ ที่สามารถเปิดกระจกมองออกไปข้างนอกได้ เห็นวิวสวยงามของเมืองเล็กๆ และ อากาศที่หนาวเหน็บ ความรู้สึกของน้ำอุ่นๆในบ่อแช่ บวกกับอากาศที่หนาว 4 องศา เป็นสิ่งที่วิเศษมากๆที่ชีวิตนี้เราจะบันทึกไว้เลยหละค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่