จั่วหัวมาแบบนี้ แน่นอนหลายคนคงคิดว่า เป็นที่ที่น่าพิศมัยสำหรับหนุ่มสาวรึเปล่า จริงครับ น่าพิศมัยมากถึงมากที่สุด เพราะหากท่านพลาด เอาแฟน (โดยเฉพาะแฟนสาว) ขึ้นไปด้วยล่ะก็ ความ (น่าจะ) หายนะ จะมาเยือนท่านแน่นอน 555
สำหรับสถานที่ที่พวกเราจะพาเพื่อนๆ ไปคราวนี้ ก็ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ คือ “ยอดเขาช่อ” ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่สระบุรี อย่างไรก็ตาม ยอดเขาช่อนี้ยังไม่เปิดให้ขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ก็สามารถขึ้นไปได้โดยติดต่อเจ้าหน้าที่ ขญ 18 เจ็ดคต เพื่อนำทางขึ้นไป ไฮไลต์หลักๆในการปีนเขาช่อนี้ก็คือ ป่าแขมแสนชัน ดาวดิน นกเงือก และทะเลหมอก(มีเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว) ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามพวกเราในกระทู้นี้ได้เลยครับ
ข้อมูลสถานที่
จุดหมาย : ยอดเขาช่อ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ขญ 18 เจ็ดคต)
ความสูงยอด : 950 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ระยะทางเดิน : 4-5 กิโลเมตร
จุดเริ่มเดิน : พื้นราบ
ถ้าท่านที่มีจิตใจ ที่รักการเดินป่า ชอบการผจญภัย หรือความท้าทาย แต่ไม่มีเวลาที่จะไปแล้วล่ะก็ ติดตามการเดินทางของพวกเรา Beck Trekker ครับ...
เตรียมพร้อม!!!
พวกเราเตรียมความพร้อมสำหรับทริปนี้มาเป็นแรมเดือน สมาชิกบางคนถึงกับใช้บันไดเดินขึ้นออฟฟิตที่อยู่ชั้น 32 (เดินถึงชั้น 3 จากนั้นขึ้นลิฟต์)
บางคนเป็นทริปแรก แต่เจ้าตัวก็ยังบอกว่า “สบ๊ายย ชิวๆ แค่ขึ้นเขา”
แต่สิ่งที่ต้องเตรียมเป็นอันดับแรกก็คือ “อุปกรณ์ในการเดินป่า”

อันดับแรกที่จำเป็นมากที่สุดก็คือ เป้ ขอให้เป็นเป้สำหรับบรรจุสัมภาระสำหรับเดินป่าจริงๆ อย่างน้อยก็ควรมีที่คาดเอว เพราะว่าหากใช้เป้ใส่คอมธรรมดาเหมือนผม “เหนื่อยและเดินไม่สนุก”
ถัดมาก็จะเป็น รองเท้า ก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญมากเหมือนกัน เพราะเขาช่อนี่ เรียกได้ว่า ชันระดับพระกาฬแห่งหนึ่งเลย ถ้ารองเท้าไม่ยึดเกาะ มีหวังได้สไลเดอร์ลงมาแน่นอน
และอีกหนึ่งอุปกรณ์พระเอกสำหรับทริปเขาช่อนี้ก็คือ “ถุงมือ” หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องใช้ ก็เพราะว่าเมื่อเริ่มขึ้นทางชันจากเริ่มไปถึงยอด จะต้องใช้มือในดึงตัวขึ้นไปตลอด ต้องจับทั้ง ต้นไม้ ดิน หิน และป่าแขม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องใส่ 4WD เกือบตลอดทางชัน
ส่วนอุปกรณ์เดินป่าอื่นๆ ก็แล้วแต่จะสะดวกติดตัวขึ้นไปตามสไตล์ของแต่ละคน
อาหาร พวกเราเตรียมอาหารมื้อระหว่างทางเป็นพวกอาหารสำเร็จ และอาหารกระป๋อง ส่วนมื้อเย็น จัดหนักด้วย สเต็กสันในหมูหมักย่างบาร์บีคิวและไก่หมักต้มน้ำปลา
น้ำ เตรียมไปเฉพาะดื่มระหว่างทางขาขึ้น เพราะส่วนที่เหลือเราจะดื่มน้ำจากลำธารกัน
เดินทาง
ไปนอนที่หน่วย ขญ 18 ก่อน 1 คืน
ตื่นเช้าขึ้นเขา นอนบนเขา 1 คืน
ตื่นเช้าลงเขา กลับ กทม รวมแล้วใช้เวลา 2 คืน 2 วัน
พวกเราออกจากกรุงเทพมหานคร เวลา 18.30 น. ด้วยรถยนต์ส่วนตัว
จุดมุ่งหมายคือ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 18 (เจ็ดคต)
(โดยใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์สาย 9 ไปลง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นก็วิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ไปยัง จ.สระบุรี จากนั้นเลี้ยวไปทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ตรงไปเรื่อยๆ แล้วยูเทิร์นเพื่อเลี้ยวเข้าทางหลวงชนบทหมายเลข 1003 จะมีป้ายบอกว่าเป็นทางเข้าน้ำตกเจ็ดคต จากนั้นก็วิ่งไปจนสุดถนน 1003 เลย เพราะ ขญ 18 อยู่สุดทางพอดี)
ระหว่างทางจาก กทม. พวกเราแวะทานข้าว และซื้อของกินของใช้ที่ปั๊มระหว่างทางมาเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบนัก จนเวลาใกล้จะสามทุ่มแล้ว เรายังไม่ได้เข้าถนนหมายเลข 1003 เลย ถือว่าชะล่าใจเกินไป
เส้นทางที่เราใช้นี้เป็นเส้นทางที่นำทางโดย google map ในโทรศัพท์ พอเข้าถนนหมายเลข 1003 ซึ่งเริ่มเป็นเขตเขาใหญ่ เท่านั้นแหล่ะ ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนตสิครับ!!! ทีนี้งงกันเลย ต้องใช้การเดาช่วยละครับ สัญญาณมามั่งไม่มามั่ง แต่สุดท้ายก็มาถึงที่หมายตอน 22.30 น.
“ถึงแล้ววว หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 18 (เจ็ดคต)!!!” แต่เอ… ทำไมมันเงียบจัง
ที่หน่วยก็เปิดไฟ เลยเดินเข้าไปดูปรากฎว่า ไม่มีใครอยู่สักคน
ก็คุยกันว่าเอาไงดี จะนอนตรงไหน กางเต๊นท์ตรงไหน ณ ตอนนั้นก็ห้าทุ่มแล้ว เงียบสงัดมาก บรรยากาศวังเวงเล็กน้อย ก็เลยตัดสินใจกางเต๊นท์ที่ลานด้านหน้าเลย
(สาเหตุที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่คืนนั้นเพราะพี่ๆเค้าเพิ่งเสร็จภาระกิจร่วมฝึกกับนักเรียนจู่โจมพิเศษเย็นวันนั้นเลย เลยเหนื่อยพักผ่อนกันตั้งแต่หัวค่ำ เลยไม่มีใครได้ยินเสียงพวกเรา)
เช้านี้ที่เจ็ดคต...
ตื่นมาเช้านี้ อากาศกำลังเย็นสบาย ตอนกลางคืนไม่ถึงกับหนาวมากเสื้อกันหนาวตัวเดียวเอาอยู่ พวกเราล้างหน้าแปรงฟันรอ เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานคือ พี่นกไกด์นำทาง และพี่แปะที่จะช่วยเราแบกสัมภาระขึ้นไปครับ
จุดที่เรากางเต๊นท์นอนครับ ไม่ยอมห่างกันเลย เพราะเมื่อคืนวังเวงบวกกับลมแรงทั้งคืน
“เดินสำรวจหน่วยสักหน่อย” ที่หน่วยจะเป็นที่จอดรถสำหรับผู้ที่มาเที่ยวน้ำตกเจ็ดคตครับ วันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะเลย
แต่ก่อนจะขึ้นนั้น พวกเราไปหาข้าวเช้าทานกันก่อน นี่เลย “ครัวก้อนเส้า” แม่ครัวอัธยาศัยดีมากๆครับ ทำอาหารตามสั่งได้ทุกอย่างและอร่อยด้วยครับ ร้านอยู่ไม่ไกลจากหน่วย ขับรถย้อนออกมาประมาณ 1-2 กม. เท่านั้น เราต้องรีบทานเพราะกำหนดการขึ้นที่ตีนเขาคือเวลา 10 โมงเช้า กว่าจะมาถึงที่ร้านก็ 8.30 น. แล้ว ต้องรีบทาน!
พอทานเสร็จเราก็เร่งรีบมาเก็บเต๊นท์ และกระเป๋าขึ้นรถที่จะไปส่งยังจุดเริ่มเดินครับ
โยนใส่ท้ายกระบะไปเลย!!!
เอ่อออ... น้องสุดท้องเป็นคนจัดกระเป๋าซะงั้น ส่วนพวกพี่ๆ ยืนให้กำลังจายย “เร็วๆหน่อย ไอ้น้อง”
เดินป่าต้องมีผ้าพันคอนะคร้าบ “ชินตอนเดินทางไกลน่ะครับ” (นั่นมันลูกเสือ)
“เซลฟี่กันหน่อย” หน้ายังใสๆกันทั้งนั้น กำลังใจดีกันทุกคน
ครั้งนี้มีสมาชิก Beck Trekker ร่วมเดินทางทั้งสิ้น 6 คน ได้แก่ ลุงแซม เอ็กซ์ ปันปัน น็อต กฤษ และตัวผม (ส่วนสมาชิกที่เหลือ รอไปทริปหน้า)
จากนั้นเราก็ขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังจุดเริ่มเดินขึ้นเขา
บรรยากาศสองข้างทางเป็นป่า
และบ้านคนเป็นช่วงๆ
เดินละนะ
และแล้วก็ถึงจุดเริ่มเดินซึ่งต้องเดินผ่านสำนักสงฆ์
ก่อนเดินขึ้นจึงถ่ายภาพพร้อมพี่ๆเจ้าหน้าที่สักหน่อย โดยมีเจ้าถิ่นไม่ยอมหลุดจากเฟรมตอนถ่ายรูปเลย มีทุกรูป ก็เลยคัดที่เห็นเต็มๆ
พี่ๆเจ้าหน้าที่ ขญ 18 เจ็ดคต
นับจากซ้ายสุด พี่นกไกด์ของเรา พี่เจ้าหน้าที่ พี่บัวลอย และพี่แป๊ะผู้ช่วยแบกสัมภาระของเรา
ถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มเดินออกจากสำนักสงฆ์ครับ ตอนนี้ร่างกายอยากปะทะกับกลิ่นอายของผืนป่ามากๆ
สังเกตุได้จาก หยอกล้อกันสนุกสนานเฮฮา
แต่พี่นกไกด์ของเรา นำหน้าเข้าไปลิบๆก่อนแล้ว ขนาดเมื่อวานเหนื่อยล้ากลับมาจากการร่วมฝึกหลักสูตรหน่วยจู่โจม
เดินช่วงแรกต้องมุดๆหน่อย ลักษณะของผืนป่าเขตนี้ จะเป็นป่าดิบแล้ง แต่จะเห็นว่ามีความชุ่มชื้น ก็เพราะว่าฝนเพิ่งตกก่อนหน้าที่จะไปเดินประมาณ สอง ถึงสามวัน
บางช่วงก็ เดินง่าย โปร่งๆ
บางช่วงทางเดิน ก็จะไม่มีชัดเจน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีพี่ๆเจ้าหน้าที่นำทาง
เราเดินมาเรื่อยๆ มีช่วงนึงไกด์นำทางของเราบอกให้หยุดนิ่งๆ และเงียบๆ ก็ตกใจหน่อยๆว่าเกิดอะไรขึ้น และไกด์ของเราก็ถามว่า “ได้กลิ่นอะไรไหม” พวกเราก็ตอบไปว่าได้กลิ่นเพราะเป็นกลิ่นที่ฉุนๆสาบๆ ชัดเจน กลิ่นที่ว่าก็คือ “ฉี่ของช้าง” แสดงว่าเพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆ ไม่นาน จากนั้นพวกเราก็เดินด้วยความระมัดระวัง และที่สังเกตุคือตลอดตามทางก็จะพบมูลช้างเป็นช่วงๆ
(เหตุการณ์นั้นได้เกร็ดความรู้มาคือ ธรรมชาติของช้าง เค้าจะหากินโดยเดินเป็นวงรอบ หมายความว่าจะไม่เดินย้อนกลับมากินตำแหน่งเดิมจนกว่าจะครบรอบ อาจเป็นหลายเดือนหรือเป็นปี) เราเดินข้ามลำธารไปมาและหยุดพักครั้งแรก อากาศค่อนข้างอบอ้าว
จุดพักจุดแรก รีบวางกระเป๋า ถอดเสื้อ
ลุงแซมต้องเปิดกระเป๋า ควักขนมขึ้นมาเติมพลัง
ถึงขนาดต้องถอดเสื้อคลุม
ยุงเยอะ ต้องฉีดซอฟเฟล ระหว่างพักทุกครั้ง ฟื่ดๆๆ “ที่หน้าด้วยดิพี่” เอาไปสองปื้ด
มีมอสให้เห็นบ้าง
หาเห็ดแชมเปญไม่ได้ เอาเห็ดนี้ไปก็แล้วกัน (ถ้าไปช่วงหน้าฝนจะเห็นเห็ดแชมเปญด้วย)
หลังจากพักจุดแรกสักพัก เราก็ออกเดินทางต่อ
จุดนี้ต้องอ้อมต้นไม้ เพื่อไปอีกฝั่ง
ลุงแซมยังเดินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เช่นเดียวกับนายกฤษ
“รองเท้า wolverine นี่นุ่มจริงพี่ ถือว่าคุ้มได้มาถูก อิอิ” “เออ ดีแล้ว เอ็งชอบพี่ก็ดีใจ”
“รอแป๊ป ผมผูกเชือกรองเท้าก่อนนน” “เห็นเอ็งผูกตลอดทาง”
ระหว่างทางมีช่วงที่เป็นหิน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังมากๆ
บุกป่า ฝ่าดง
จุดพักครั้งสุดท้ายก่อนเดินขึ้นทางชัน จะเป็นลำธาร ดังนั้นเราต้องกรอกน้ำจากลำธารจุดนี้ เพื่อใช้ดื่มระหว่างเดินทางให้พอ
ถึงแล้ว จุดพักลำธารสุดท้าย ก่อนยิงยาวขึ้นทางชัน
สภาพป่า ยังเป็นป่าแบบอุดมสมบูรณ์
นั่งพัก ทำใจกันก่อน พร้อมฟังไกด์อธิบายเส้นทาง เพราะหลังจากจุดนี้ จะเป็นทางชันตลอดจนถึงยอด
[CR] เขาช่อ...รอรัก (อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่)
จั่วหัวมาแบบนี้ แน่นอนหลายคนคงคิดว่า เป็นที่ที่น่าพิศมัยสำหรับหนุ่มสาวรึเปล่า จริงครับ น่าพิศมัยมากถึงมากที่สุด เพราะหากท่านพลาด เอาแฟน (โดยเฉพาะแฟนสาว) ขึ้นไปด้วยล่ะก็ ความ (น่าจะ) หายนะ จะมาเยือนท่านแน่นอน 555
สำหรับสถานที่ที่พวกเราจะพาเพื่อนๆ ไปคราวนี้ ก็ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ คือ “ยอดเขาช่อ” ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่สระบุรี อย่างไรก็ตาม ยอดเขาช่อนี้ยังไม่เปิดให้ขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ก็สามารถขึ้นไปได้โดยติดต่อเจ้าหน้าที่ ขญ 18 เจ็ดคต เพื่อนำทางขึ้นไป ไฮไลต์หลักๆในการปีนเขาช่อนี้ก็คือ ป่าแขมแสนชัน ดาวดิน นกเงือก และทะเลหมอก(มีเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว) ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามพวกเราในกระทู้นี้ได้เลยครับ
ข้อมูลสถานที่
จุดหมาย : ยอดเขาช่อ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ขญ 18 เจ็ดคต)
ความสูงยอด : 950 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ระยะทางเดิน : 4-5 กิโลเมตร
จุดเริ่มเดิน : พื้นราบ
ถ้าท่านที่มีจิตใจ ที่รักการเดินป่า ชอบการผจญภัย หรือความท้าทาย แต่ไม่มีเวลาที่จะไปแล้วล่ะก็ ติดตามการเดินทางของพวกเรา Beck Trekker ครับ...
เตรียมพร้อม!!!
พวกเราเตรียมความพร้อมสำหรับทริปนี้มาเป็นแรมเดือน สมาชิกบางคนถึงกับใช้บันไดเดินขึ้นออฟฟิตที่อยู่ชั้น 32 (เดินถึงชั้น 3 จากนั้นขึ้นลิฟต์)
บางคนเป็นทริปแรก แต่เจ้าตัวก็ยังบอกว่า “สบ๊ายย ชิวๆ แค่ขึ้นเขา”
แต่สิ่งที่ต้องเตรียมเป็นอันดับแรกก็คือ “อุปกรณ์ในการเดินป่า”
อันดับแรกที่จำเป็นมากที่สุดก็คือ เป้ ขอให้เป็นเป้สำหรับบรรจุสัมภาระสำหรับเดินป่าจริงๆ อย่างน้อยก็ควรมีที่คาดเอว เพราะว่าหากใช้เป้ใส่คอมธรรมดาเหมือนผม “เหนื่อยและเดินไม่สนุก”
ถัดมาก็จะเป็น รองเท้า ก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญมากเหมือนกัน เพราะเขาช่อนี่ เรียกได้ว่า ชันระดับพระกาฬแห่งหนึ่งเลย ถ้ารองเท้าไม่ยึดเกาะ มีหวังได้สไลเดอร์ลงมาแน่นอน
และอีกหนึ่งอุปกรณ์พระเอกสำหรับทริปเขาช่อนี้ก็คือ “ถุงมือ” หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องใช้ ก็เพราะว่าเมื่อเริ่มขึ้นทางชันจากเริ่มไปถึงยอด จะต้องใช้มือในดึงตัวขึ้นไปตลอด ต้องจับทั้ง ต้นไม้ ดิน หิน และป่าแขม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องใส่ 4WD เกือบตลอดทางชัน
ส่วนอุปกรณ์เดินป่าอื่นๆ ก็แล้วแต่จะสะดวกติดตัวขึ้นไปตามสไตล์ของแต่ละคน
อาหาร พวกเราเตรียมอาหารมื้อระหว่างทางเป็นพวกอาหารสำเร็จ และอาหารกระป๋อง ส่วนมื้อเย็น จัดหนักด้วย สเต็กสันในหมูหมักย่างบาร์บีคิวและไก่หมักต้มน้ำปลา
น้ำ เตรียมไปเฉพาะดื่มระหว่างทางขาขึ้น เพราะส่วนที่เหลือเราจะดื่มน้ำจากลำธารกัน
เดินทาง
ไปนอนที่หน่วย ขญ 18 ก่อน 1 คืน
ตื่นเช้าขึ้นเขา นอนบนเขา 1 คืน
ตื่นเช้าลงเขา กลับ กทม รวมแล้วใช้เวลา 2 คืน 2 วัน
พวกเราออกจากกรุงเทพมหานคร เวลา 18.30 น. ด้วยรถยนต์ส่วนตัว
จุดมุ่งหมายคือ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 18 (เจ็ดคต)
(โดยใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์สาย 9 ไปลง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นก็วิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ไปยัง จ.สระบุรี จากนั้นเลี้ยวไปทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ตรงไปเรื่อยๆ แล้วยูเทิร์นเพื่อเลี้ยวเข้าทางหลวงชนบทหมายเลข 1003 จะมีป้ายบอกว่าเป็นทางเข้าน้ำตกเจ็ดคต จากนั้นก็วิ่งไปจนสุดถนน 1003 เลย เพราะ ขญ 18 อยู่สุดทางพอดี)
ระหว่างทางจาก กทม. พวกเราแวะทานข้าว และซื้อของกินของใช้ที่ปั๊มระหว่างทางมาเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบนัก จนเวลาใกล้จะสามทุ่มแล้ว เรายังไม่ได้เข้าถนนหมายเลข 1003 เลย ถือว่าชะล่าใจเกินไป
เส้นทางที่เราใช้นี้เป็นเส้นทางที่นำทางโดย google map ในโทรศัพท์ พอเข้าถนนหมายเลข 1003 ซึ่งเริ่มเป็นเขตเขาใหญ่ เท่านั้นแหล่ะ ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนตสิครับ!!! ทีนี้งงกันเลย ต้องใช้การเดาช่วยละครับ สัญญาณมามั่งไม่มามั่ง แต่สุดท้ายก็มาถึงที่หมายตอน 22.30 น.
“ถึงแล้ววว หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 18 (เจ็ดคต)!!!” แต่เอ… ทำไมมันเงียบจัง
ที่หน่วยก็เปิดไฟ เลยเดินเข้าไปดูปรากฎว่า ไม่มีใครอยู่สักคน
ก็คุยกันว่าเอาไงดี จะนอนตรงไหน กางเต๊นท์ตรงไหน ณ ตอนนั้นก็ห้าทุ่มแล้ว เงียบสงัดมาก บรรยากาศวังเวงเล็กน้อย ก็เลยตัดสินใจกางเต๊นท์ที่ลานด้านหน้าเลย
(สาเหตุที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่คืนนั้นเพราะพี่ๆเค้าเพิ่งเสร็จภาระกิจร่วมฝึกกับนักเรียนจู่โจมพิเศษเย็นวันนั้นเลย เลยเหนื่อยพักผ่อนกันตั้งแต่หัวค่ำ เลยไม่มีใครได้ยินเสียงพวกเรา)
เช้านี้ที่เจ็ดคต...
ตื่นมาเช้านี้ อากาศกำลังเย็นสบาย ตอนกลางคืนไม่ถึงกับหนาวมากเสื้อกันหนาวตัวเดียวเอาอยู่ พวกเราล้างหน้าแปรงฟันรอ เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานคือ พี่นกไกด์นำทาง และพี่แปะที่จะช่วยเราแบกสัมภาระขึ้นไปครับ
จุดที่เรากางเต๊นท์นอนครับ ไม่ยอมห่างกันเลย เพราะเมื่อคืนวังเวงบวกกับลมแรงทั้งคืน
“เดินสำรวจหน่วยสักหน่อย” ที่หน่วยจะเป็นที่จอดรถสำหรับผู้ที่มาเที่ยวน้ำตกเจ็ดคตครับ วันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะเลย
แต่ก่อนจะขึ้นนั้น พวกเราไปหาข้าวเช้าทานกันก่อน นี่เลย “ครัวก้อนเส้า” แม่ครัวอัธยาศัยดีมากๆครับ ทำอาหารตามสั่งได้ทุกอย่างและอร่อยด้วยครับ ร้านอยู่ไม่ไกลจากหน่วย ขับรถย้อนออกมาประมาณ 1-2 กม. เท่านั้น เราต้องรีบทานเพราะกำหนดการขึ้นที่ตีนเขาคือเวลา 10 โมงเช้า กว่าจะมาถึงที่ร้านก็ 8.30 น. แล้ว ต้องรีบทาน!
พอทานเสร็จเราก็เร่งรีบมาเก็บเต๊นท์ และกระเป๋าขึ้นรถที่จะไปส่งยังจุดเริ่มเดินครับ
โยนใส่ท้ายกระบะไปเลย!!!
เอ่อออ... น้องสุดท้องเป็นคนจัดกระเป๋าซะงั้น ส่วนพวกพี่ๆ ยืนให้กำลังจายย “เร็วๆหน่อย ไอ้น้อง”
เดินป่าต้องมีผ้าพันคอนะคร้าบ “ชินตอนเดินทางไกลน่ะครับ” (นั่นมันลูกเสือ)
“เซลฟี่กันหน่อย” หน้ายังใสๆกันทั้งนั้น กำลังใจดีกันทุกคน
ครั้งนี้มีสมาชิก Beck Trekker ร่วมเดินทางทั้งสิ้น 6 คน ได้แก่ ลุงแซม เอ็กซ์ ปันปัน น็อต กฤษ และตัวผม (ส่วนสมาชิกที่เหลือ รอไปทริปหน้า)
จากนั้นเราก็ขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังจุดเริ่มเดินขึ้นเขา
บรรยากาศสองข้างทางเป็นป่า
และบ้านคนเป็นช่วงๆ
เดินละนะ
และแล้วก็ถึงจุดเริ่มเดินซึ่งต้องเดินผ่านสำนักสงฆ์
ก่อนเดินขึ้นจึงถ่ายภาพพร้อมพี่ๆเจ้าหน้าที่สักหน่อย โดยมีเจ้าถิ่นไม่ยอมหลุดจากเฟรมตอนถ่ายรูปเลย มีทุกรูป ก็เลยคัดที่เห็นเต็มๆ
พี่ๆเจ้าหน้าที่ ขญ 18 เจ็ดคต
นับจากซ้ายสุด พี่นกไกด์ของเรา พี่เจ้าหน้าที่ พี่บัวลอย และพี่แป๊ะผู้ช่วยแบกสัมภาระของเรา
ถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มเดินออกจากสำนักสงฆ์ครับ ตอนนี้ร่างกายอยากปะทะกับกลิ่นอายของผืนป่ามากๆ
สังเกตุได้จาก หยอกล้อกันสนุกสนานเฮฮา
แต่พี่นกไกด์ของเรา นำหน้าเข้าไปลิบๆก่อนแล้ว ขนาดเมื่อวานเหนื่อยล้ากลับมาจากการร่วมฝึกหลักสูตรหน่วยจู่โจม
เดินช่วงแรกต้องมุดๆหน่อย ลักษณะของผืนป่าเขตนี้ จะเป็นป่าดิบแล้ง แต่จะเห็นว่ามีความชุ่มชื้น ก็เพราะว่าฝนเพิ่งตกก่อนหน้าที่จะไปเดินประมาณ สอง ถึงสามวัน
บางช่วงก็ เดินง่าย โปร่งๆ
บางช่วงทางเดิน ก็จะไม่มีชัดเจน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีพี่ๆเจ้าหน้าที่นำทาง
เราเดินมาเรื่อยๆ มีช่วงนึงไกด์นำทางของเราบอกให้หยุดนิ่งๆ และเงียบๆ ก็ตกใจหน่อยๆว่าเกิดอะไรขึ้น และไกด์ของเราก็ถามว่า “ได้กลิ่นอะไรไหม” พวกเราก็ตอบไปว่าได้กลิ่นเพราะเป็นกลิ่นที่ฉุนๆสาบๆ ชัดเจน กลิ่นที่ว่าก็คือ “ฉี่ของช้าง” แสดงว่าเพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆ ไม่นาน จากนั้นพวกเราก็เดินด้วยความระมัดระวัง และที่สังเกตุคือตลอดตามทางก็จะพบมูลช้างเป็นช่วงๆ
(เหตุการณ์นั้นได้เกร็ดความรู้มาคือ ธรรมชาติของช้าง เค้าจะหากินโดยเดินเป็นวงรอบ หมายความว่าจะไม่เดินย้อนกลับมากินตำแหน่งเดิมจนกว่าจะครบรอบ อาจเป็นหลายเดือนหรือเป็นปี) เราเดินข้ามลำธารไปมาและหยุดพักครั้งแรก อากาศค่อนข้างอบอ้าว
จุดพักจุดแรก รีบวางกระเป๋า ถอดเสื้อ
ลุงแซมต้องเปิดกระเป๋า ควักขนมขึ้นมาเติมพลัง
ถึงขนาดต้องถอดเสื้อคลุม
ยุงเยอะ ต้องฉีดซอฟเฟล ระหว่างพักทุกครั้ง ฟื่ดๆๆ “ที่หน้าด้วยดิพี่” เอาไปสองปื้ด
มีมอสให้เห็นบ้าง
หาเห็ดแชมเปญไม่ได้ เอาเห็ดนี้ไปก็แล้วกัน (ถ้าไปช่วงหน้าฝนจะเห็นเห็ดแชมเปญด้วย)
หลังจากพักจุดแรกสักพัก เราก็ออกเดินทางต่อ
จุดนี้ต้องอ้อมต้นไม้ เพื่อไปอีกฝั่ง
ลุงแซมยังเดินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เช่นเดียวกับนายกฤษ
“รองเท้า wolverine นี่นุ่มจริงพี่ ถือว่าคุ้มได้มาถูก อิอิ” “เออ ดีแล้ว เอ็งชอบพี่ก็ดีใจ”
“รอแป๊ป ผมผูกเชือกรองเท้าก่อนนน” “เห็นเอ็งผูกตลอดทาง”
ระหว่างทางมีช่วงที่เป็นหิน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังมากๆ
บุกป่า ฝ่าดง
จุดพักครั้งสุดท้ายก่อนเดินขึ้นทางชัน จะเป็นลำธาร ดังนั้นเราต้องกรอกน้ำจากลำธารจุดนี้ เพื่อใช้ดื่มระหว่างเดินทางให้พอ
ถึงแล้ว จุดพักลำธารสุดท้าย ก่อนยิงยาวขึ้นทางชัน
สภาพป่า ยังเป็นป่าแบบอุดมสมบูรณ์
นั่งพัก ทำใจกันก่อน พร้อมฟังไกด์อธิบายเส้นทาง เพราะหลังจากจุดนี้ จะเป็นทางชันตลอดจนถึงยอด