อยากบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกของการสะพายเป้เที่ยวเลย
และจุดหมายครั้งนี้ก็คือ เมืองมัลลิกา ร.ศ. ๑๒๔ และไปต่อที่ สะพานมอญสังขละ
ขอเกริ่นก่อน
๑. เรื่องสถานที่และเส้นทาง คือ ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยคะ มีรู้แค่เบื้องต้นๆเลย
ทริปนี้มีเพื่อนไปด้วยแต่การบรรยายเรื่องเส้นทางจะไม่มีเลยนะคะ (ที่ไปยัง งงๆ เองเลย T^T)
๒. อีฟพยายามเก็บรูปและบรรยากาศรอบๆมาแชร์ แต่รูปที่ถ่ายมาจากกล้อง Note4 เป็นส่วนใหญ่นะคะ
บางส่วนจะเป็นรูปจากกล้องเพื่อนคะ
การเล่าเรื่องเที่ยวครั้งนี้จัดเป็นครั้งแรกเลยคะ ข้อมูลผิดพลาดผิดเพี้ยนตรงไหน ก็ขอโทษด้วยนะคะ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
เริ่มแรกของเช้าวันเสาร์ที่ ๘ เมษา พวกเรานัดหมายกันที่อนุสาวรีย์ชัยฯคะ
เดินทางโดย รถเมล์สาย ๒๘ ไปลงสายใต้เก่า (ปิ่นเกล้า)
ค่ารถ ๑๓ บาทคะ มีแอบถ่ายบรรยากาศด้วย อยากบอกตอนแรกรถแน่นคะ มาเบาตอนอยู่แถวๆม.ราชภัฎสวนสุนันคะ

ใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีกว่าๆก็มาถึง สายใต้เก่า รถตู้โดยสาร บขส. จากนั้นเราก็ใช้เวลารอรถไม่นานคะ โชคดีที่มีคนไปเรื่อยๆ
(คิวรถเค้าจะรอให้คนเต็ม หรือไม่ก็ออกตามเวลาที่กำหนด)
ตอนแรกเข้ามาข้างในก็จะมีอยู่สองสามเจ้าที่พาไปกาญจนบุรีนะคะ ราคาค่าโดยสารเท่ากันที่ ๑๐๐ บาท
(ส่วนการเลือกก็ ไม่รู้จะแนะนำยังไงเลย รู้สึกว่ามันคล้ายๆกันนะคะ)

ใช้เวลาในการเดินทางอยู่ที่ ๓ ชั่วโมงกว่าๆๆๆเลยคะ จนมาถึงสถานีรถ บขส. กาญจนบุรี
ใครที่โดยสารก็อย่าลืมรัดเข็มขัดกันด้วยนะคะ ระหว่างทาง บรรยายอะไรไม่ได้เลย ภาพดับคะ หลับยาวเลย
(เก็บกระเป๋านู่นนี่นั่นตีสามกว่า โคตรง่วงเลยคะ นอนได้แปบเดียวต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งหน้าอีก ไม่แต่งก็ไม่ได้เดี๋ยวถ่ายรูปใส่ชุดไทยแล้วพัง กลัวเอง)
พอมาถึงแล้วก็หารถไป เมืองมัลลิกาต่อคะ ก็จะมีสองแบบคือ รถตู้ กับรถแดง รถตู้ลืมราคาไปแล้วว่าเค้าคิดเท่าไหร่
แต่พี่ๆเค้าแนะนำให้ขึ้นรถแดงไปคะ ตอนนั้นไปถึงก็เกือบๆเที่ยงรอประมาณสิบนาที รถก็ออกคะ
ค่าโดยสารไปเมืองมัลลิกา ๓๐ บาทคะ

เข้าไปก็มีที่นั่งหลังคนขับว่างอีกสองที่กับที่ข้างหลัง แต่ไม่เอาคะ
นั่งกับเพื่อนนั่งตรงที่มันนูนๆร้อนๆหน่อยข้างคนขับนะคะ ระหว่างนั่งก็ดีนะคะ คราวนี้ได้ชมบรรยากาศรอบๆ
แรกๆก็ยังเป็นเมืองแต่ก็มีทิวเขาโล้นๆให้เห็นบ้าง จนเข้ามาข้างในทิวเขาก็เริ่มเจอเขียวๆมากขึ้น
มองไปเรื่อยๆ จนประมาณ ๔๕ นาที เห็นปั้มบางจากลิบๆอยู่ฝั่งทางซ้ายมือ
มาถึงแล้วจ้าเมืองมัลลิกา (ตอนนั้นเวลาเกือบบ่าย ร้อนๆๆอากาศโดยรอบร้อนแห้งร้อนเฮือกเลย แนะนำว่าควรทาครีมคะ ไม่ได้กันดำนะคะ เพราะไม่น่ารอด แต่อยากให้ทาเพื่อไม่ให้ผิวต้องรับความร้อนรังสีจากแดดมากเกินไป)
ด้านหน้าจะมีพี่ รปภ.ดูอยู่คะ แนะนำทางเข้าสำหรับคนที่ไม่ได้เอารถมา

(เนื่องจากถ่ายไกลๆเลยไม่ได้ปิดหน้านะคะ รบกวนอย่าซูมคะถ้าไม่อยากตกใจ ๕๕ คุณพระ!! ฉันกัดตัวเอง)
จากรูปนะคะ มองเข้าไปด้านใน เดินไปเลยคะ ยาวๆ ทางขวามือจะมีช่องขายบัตรคะ
ราคาบัตร ผู้ใหญ่ ๒๐๐ บาท เด็ก (ขอโทษคร้าบ เค้าลืม)
พอจ่ายค่าบัตรเข้าจริงๆก็เดินไปได้เลยนะ หรือจะแลกเป็นเงินสตางค์ก่อนก็ได้ แต่ข้างในก็มีให้แลกอีกนะคะ
อัตราค่าเงินการแลก ตามนี้เจ้าคะ ภาพเงาๆสะท้อนหน่อยนะเจ้าคะ

ส่วนอิฉัน ชะนีสามคน ไม่เอาแค่บัตรเข้าแน่นอน เราพากันเดินย้อนไปยังห้องเปลี่ยนชุด
ห้องเปลี่ยนชุดพอเปิดไปปุบ คือดีอ่ะ อากาศข้างในเป้นแอร์คะ คนละเรื่องกับด้านนอกเลย
ด้านในก็จะแบ่งชุดให้เป็นโชนต่างๆคะ ภายในตรงนี้ไม่ได้ถ่ายมาให้นะคะ ขอสงวนหน่อย
ชุดท่านชาย ชุดแม่หญิง สไป โจงกระเบนแบ่งเป็นสีๆ ของเด็กของผู้ใหญ่
ทางดิฉันและผองเพื่อน เราตัดสินใจใส่สไบเจ้าคะ
เลือกสีสไบ โจงกระเบนเสร็จ ก็เข้าไปด้านในจ่ายค่าเช่าชุด ๒๐๐ บาท
สิ่งที่จะได้จากการเช่าชุดนะเจ้าคะ
๑ ชุดเจ้าคะ
๒ เครื่องประดับ ประกอบด้วย สร้อย กำไร ๒ ชิ้น ต่างหู ๑ คู่ และ เข็มขัด
๓ ร่มเจ้าคะ มีสีให้เลือกมากมาย อิฉันเลือกสีขาว อันนี้คิดเองนะ พอใส่กับชุดไทยถ่ายรูปแล้ว มันดูไม่เยอะไปดีเจ้าคะ
ไม่งั้นคงออกมาสามสี ตอนแรกก็เลือกร่มสี พอมองตัวเองที่เตี้ยๆตันๆเลยรู้สึกเหมือนขนมชั้นหรือสลิ่ม
ยังไงก็ไม่รู้เลยไปขอเปลี่ยนเป็นสีขาวมาแทน (^@@^)
๔ กุญแจล็อคเกอร์ สำหรับเก็บของ อันนี้พอย้อนไปแล้วต้องขอโทษพนักงานจริงๆคะ เพราะเราไปกันสามคนและเป้ก็สามใบ
คิดว่าล็อคเดียวไม่พอแน่ๆ แต่พนักงานก็ยืนยันนะคะว่าให้ล็อคเกอร์ใหญ่แล้วยังไงก็พอ
จนไปลอง เออ พอจริงว่ะ (ขอโทษด้วยนะคะ ที่อยากได้เพิ่ม)
พอได้เครื่องครบแล้ว ก็เอาไปแต่งสิคะ รออะไร ข้างในจะมีพนักงานแต่งให้เจ้าคะ ซึ่งตอนแรกคืออาย
จนน้องที่แต่งให้บอกไม่ต้องอายคะพี่ แหม ไม่ให้เขินได้ไง เห็นพี่ทั้งข้างบนข้างล่าง นี่ก็ร้อนไงเลยไม่ใส่ซับในเลย
แต่น้องที่แต่งให้ดีนะคะ รัดแน่นไม่ต้องกลัวหลุดเลยคะ
เพราะป้าเองก็ลิงมาก สุดท้ายชุดแค่ลุ้ยนะคะ ไม่หลุด ^^
ต่อไปก็เป็น บรรยากาศด้านในแล้วน้า ไปกันเลย

ด้านหน้าจะมีเจ้าหน้าที่ที่รับคอยรับบัตรผ่านนะคะ
ช่วงที่เข้ามาเป็นช่วงทัวร์ลงพอดี คนเลยเยอะมาก แต่ไม่ได้แต่งชุดไทยด้วยกันนะคะ รูปเลยดูไม่กลืนกันเล็กน้อย

พอเดินเข้าไปช่วงแรกจะเจอซุ้ม (ไม่น่าจะใช่ แต่เป็นลักษณะ อุโมงค์บ้านให้เดินผ่านก่อนนะคะ
ตลอดทางก็จะมีขายผลไม้และ พวกขนมใส่โหลนะคะ (ไม่ได้ถ่ายตรงนี้แหละ ช่วงนั้นหิว แทบไม่มีสติจะหยิบกล้อง)

เข้ามาก็จะเป้บรรยายกาศ ภายในคะ


อันนี้ทีแรกเงินเพิ่มเจ้าคะ เข้าซุ้มกระดิ่งมาก็เจอเลยจ๊ะ



เข้ามาแล้วมาแล้วคือ หน้ามืดคะ หิว ลุยหาที่นั่งกินกันก่อน ต้องเดิอนเข้ามาด้านในถึงจะเจอ

ตอนแรกคืนหิวน้ำมาก ฟาดรัวชามะนาว หนึ่งแก้วไม่ได้ถ่ายนะเจ้าคะ ราคา ๔ สตางค์
ตามด้วยขนมจีน จานด้านข้างเลอะ เพราะมัวแต่ดูอย่างอื่น ทำหกเจ้าคะ T^T
ถ้าจำไม่ผิดจานนี้ ๕ สตางค์
มีความคลาสิค ที่จานสังกะสี และช้อนเขียว


เมนูคลายร้อน เฉาก๋วย หอมน้ำตาลทรายแดง อันนี้คืนแค่ช้อน แถมถ้วยเจ้าคะ แต่แบกไม่ไหวเลยต้องทิ้ง ราคา ๗ สตางค์
และขนมถ้วยหอมกระทิและหวานมัน เพื่อนซื้อ ลืมราคาเจ้าคะ น่าจะไม่เกิน ๕ สตางค์
จริงๆยังมีอีกหลายเมนูนั้งก๊วยเตี๋ยวและอื่นๆ แต่เมื่อวานดันไปดึงเหล็กดันฟันมา
ความสามารถในการกระทบอาหารในปากจึงหายไปถึง ๘๐ เปอร์เซ็น คราวหน้าจะไม่ไปดึงฟันก่อนไปเที่ยวล่ะ T^T
ลืมโชว์เงินเจ้าคะ แลกมาทั้งสิ้น สองร้อยบาท ได้กี่สตางค์ไม่รู้ไม่ได้นับ ^^
อันนี้บรรยาากาศที่นั่งกินเจ้าคะ ข้อเสียอีกอย่างของแหล่งอาหาร นอกจากอากาศร้อนก็แมลงวันนี่แหละ เยอะจนชะนีแทบคลั่ง
แต่เอาเถอะบรรยากาศ แบบนี้ยังไงก็ต้องเจอ อย่าไปซีคะ เรามากินบรรยากาศกันนี่นา
อันนี้ด้านหลังคือที่ๆเรานั่งหาไรกินเมื่อครู่

กินเสร็จก็พากันมาแชะต่อรัวๆ เนื่องจากเพื่อนอีกคนต้องกลับ กทม. และอิฉันกับเพื่อนอีกคนต้องไปสังขละต่อ
ตอนแรกคิดไว้ หนึ่งชั่งโมงสำหรับถ่ายรูป โอ๊ย สบาย แปบเดี๋ยว
พอเอาเข้าจริงคือไม่พอนะ สองร้อยสำหรับการเข้ามาที่นี่ สำหรับอิฉันคิดว่ามันคุ้มมาก มุมให้ถ่ายก็มีตั้งเยอะ นี่ก็ยังถ่ายกันไม่พอเลย








บรรยากาศคร่าวๆของเมืองมัลลิกาก็มีประมาณนี้ จริงๆถ่ายได้แค่ประมาณ ๒๐ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นเอง มุมสวยๆจริงยังมีอีกเยอะนะคะ
ถ้ามีโอกาสมาจริงๆแนะนำให้ใช้เวลามากกว่าครึ่งวันที่นี่ได้เลยคะ นี่ยังมีที่เป็นดินเนอร์ช่วงเย็นอีกนะคะ
แต่ไม่ได้ไปต่อแหละ ต้องแยกย้ายกับเพื่อน เพื่อไป สังขละต่อ
เดี๋ยวมาเล่าการเดินทางไปสังขละต่อนะคะ ^^
[CR] (บอกเล่าประสาป้า) ๑ คืน ๒ วัน สะพายเป้ เมืองมัลลิกา ร.ศ ๑๒๔ และ สังขละบุรี
และจุดหมายครั้งนี้ก็คือ เมืองมัลลิกา ร.ศ. ๑๒๔ และไปต่อที่ สะพานมอญสังขละ
ขอเกริ่นก่อน
๑. เรื่องสถานที่และเส้นทาง คือ ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยคะ มีรู้แค่เบื้องต้นๆเลย
ทริปนี้มีเพื่อนไปด้วยแต่การบรรยายเรื่องเส้นทางจะไม่มีเลยนะคะ (ที่ไปยัง งงๆ เองเลย T^T)
๒. อีฟพยายามเก็บรูปและบรรยากาศรอบๆมาแชร์ แต่รูปที่ถ่ายมาจากกล้อง Note4 เป็นส่วนใหญ่นะคะ
บางส่วนจะเป็นรูปจากกล้องเพื่อนคะ
การเล่าเรื่องเที่ยวครั้งนี้จัดเป็นครั้งแรกเลยคะ ข้อมูลผิดพลาดผิดเพี้ยนตรงไหน ก็ขอโทษด้วยนะคะ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
เริ่มแรกของเช้าวันเสาร์ที่ ๘ เมษา พวกเรานัดหมายกันที่อนุสาวรีย์ชัยฯคะ
เดินทางโดย รถเมล์สาย ๒๘ ไปลงสายใต้เก่า (ปิ่นเกล้า)
ค่ารถ ๑๓ บาทคะ มีแอบถ่ายบรรยากาศด้วย อยากบอกตอนแรกรถแน่นคะ มาเบาตอนอยู่แถวๆม.ราชภัฎสวนสุนันคะ
ใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีกว่าๆก็มาถึง สายใต้เก่า รถตู้โดยสาร บขส. จากนั้นเราก็ใช้เวลารอรถไม่นานคะ โชคดีที่มีคนไปเรื่อยๆ
(คิวรถเค้าจะรอให้คนเต็ม หรือไม่ก็ออกตามเวลาที่กำหนด)
ตอนแรกเข้ามาข้างในก็จะมีอยู่สองสามเจ้าที่พาไปกาญจนบุรีนะคะ ราคาค่าโดยสารเท่ากันที่ ๑๐๐ บาท
(ส่วนการเลือกก็ ไม่รู้จะแนะนำยังไงเลย รู้สึกว่ามันคล้ายๆกันนะคะ)
ใช้เวลาในการเดินทางอยู่ที่ ๓ ชั่วโมงกว่าๆๆๆเลยคะ จนมาถึงสถานีรถ บขส. กาญจนบุรี
ใครที่โดยสารก็อย่าลืมรัดเข็มขัดกันด้วยนะคะ ระหว่างทาง บรรยายอะไรไม่ได้เลย ภาพดับคะ หลับยาวเลย
(เก็บกระเป๋านู่นนี่นั่นตีสามกว่า โคตรง่วงเลยคะ นอนได้แปบเดียวต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งหน้าอีก ไม่แต่งก็ไม่ได้เดี๋ยวถ่ายรูปใส่ชุดไทยแล้วพัง กลัวเอง)
พอมาถึงแล้วก็หารถไป เมืองมัลลิกาต่อคะ ก็จะมีสองแบบคือ รถตู้ กับรถแดง รถตู้ลืมราคาไปแล้วว่าเค้าคิดเท่าไหร่
แต่พี่ๆเค้าแนะนำให้ขึ้นรถแดงไปคะ ตอนนั้นไปถึงก็เกือบๆเที่ยงรอประมาณสิบนาที รถก็ออกคะ
ค่าโดยสารไปเมืองมัลลิกา ๓๐ บาทคะ
เข้าไปก็มีที่นั่งหลังคนขับว่างอีกสองที่กับที่ข้างหลัง แต่ไม่เอาคะ
นั่งกับเพื่อนนั่งตรงที่มันนูนๆร้อนๆหน่อยข้างคนขับนะคะ ระหว่างนั่งก็ดีนะคะ คราวนี้ได้ชมบรรยากาศรอบๆ
แรกๆก็ยังเป็นเมืองแต่ก็มีทิวเขาโล้นๆให้เห็นบ้าง จนเข้ามาข้างในทิวเขาก็เริ่มเจอเขียวๆมากขึ้น
มองไปเรื่อยๆ จนประมาณ ๔๕ นาที เห็นปั้มบางจากลิบๆอยู่ฝั่งทางซ้ายมือ
มาถึงแล้วจ้าเมืองมัลลิกา (ตอนนั้นเวลาเกือบบ่าย ร้อนๆๆอากาศโดยรอบร้อนแห้งร้อนเฮือกเลย แนะนำว่าควรทาครีมคะ ไม่ได้กันดำนะคะ เพราะไม่น่ารอด แต่อยากให้ทาเพื่อไม่ให้ผิวต้องรับความร้อนรังสีจากแดดมากเกินไป)
ด้านหน้าจะมีพี่ รปภ.ดูอยู่คะ แนะนำทางเข้าสำหรับคนที่ไม่ได้เอารถมา
(เนื่องจากถ่ายไกลๆเลยไม่ได้ปิดหน้านะคะ รบกวนอย่าซูมคะถ้าไม่อยากตกใจ ๕๕ คุณพระ!! ฉันกัดตัวเอง)
จากรูปนะคะ มองเข้าไปด้านใน เดินไปเลยคะ ยาวๆ ทางขวามือจะมีช่องขายบัตรคะ
ราคาบัตร ผู้ใหญ่ ๒๐๐ บาท เด็ก (ขอโทษคร้าบ เค้าลืม)
พอจ่ายค่าบัตรเข้าจริงๆก็เดินไปได้เลยนะ หรือจะแลกเป็นเงินสตางค์ก่อนก็ได้ แต่ข้างในก็มีให้แลกอีกนะคะ
อัตราค่าเงินการแลก ตามนี้เจ้าคะ ภาพเงาๆสะท้อนหน่อยนะเจ้าคะ
ส่วนอิฉัน ชะนีสามคน ไม่เอาแค่บัตรเข้าแน่นอน เราพากันเดินย้อนไปยังห้องเปลี่ยนชุด
ห้องเปลี่ยนชุดพอเปิดไปปุบ คือดีอ่ะ อากาศข้างในเป้นแอร์คะ คนละเรื่องกับด้านนอกเลย
ด้านในก็จะแบ่งชุดให้เป็นโชนต่างๆคะ ภายในตรงนี้ไม่ได้ถ่ายมาให้นะคะ ขอสงวนหน่อย
ชุดท่านชาย ชุดแม่หญิง สไป โจงกระเบนแบ่งเป็นสีๆ ของเด็กของผู้ใหญ่
ทางดิฉันและผองเพื่อน เราตัดสินใจใส่สไบเจ้าคะ
เลือกสีสไบ โจงกระเบนเสร็จ ก็เข้าไปด้านในจ่ายค่าเช่าชุด ๒๐๐ บาท
สิ่งที่จะได้จากการเช่าชุดนะเจ้าคะ
๑ ชุดเจ้าคะ
๒ เครื่องประดับ ประกอบด้วย สร้อย กำไร ๒ ชิ้น ต่างหู ๑ คู่ และ เข็มขัด
๓ ร่มเจ้าคะ มีสีให้เลือกมากมาย อิฉันเลือกสีขาว อันนี้คิดเองนะ พอใส่กับชุดไทยถ่ายรูปแล้ว มันดูไม่เยอะไปดีเจ้าคะ
ไม่งั้นคงออกมาสามสี ตอนแรกก็เลือกร่มสี พอมองตัวเองที่เตี้ยๆตันๆเลยรู้สึกเหมือนขนมชั้นหรือสลิ่ม
ยังไงก็ไม่รู้เลยไปขอเปลี่ยนเป็นสีขาวมาแทน (^@@^)
๔ กุญแจล็อคเกอร์ สำหรับเก็บของ อันนี้พอย้อนไปแล้วต้องขอโทษพนักงานจริงๆคะ เพราะเราไปกันสามคนและเป้ก็สามใบ
คิดว่าล็อคเดียวไม่พอแน่ๆ แต่พนักงานก็ยืนยันนะคะว่าให้ล็อคเกอร์ใหญ่แล้วยังไงก็พอ
จนไปลอง เออ พอจริงว่ะ (ขอโทษด้วยนะคะ ที่อยากได้เพิ่ม)
พอได้เครื่องครบแล้ว ก็เอาไปแต่งสิคะ รออะไร ข้างในจะมีพนักงานแต่งให้เจ้าคะ ซึ่งตอนแรกคืออาย
จนน้องที่แต่งให้บอกไม่ต้องอายคะพี่ แหม ไม่ให้เขินได้ไง เห็นพี่ทั้งข้างบนข้างล่าง นี่ก็ร้อนไงเลยไม่ใส่ซับในเลย
แต่น้องที่แต่งให้ดีนะคะ รัดแน่นไม่ต้องกลัวหลุดเลยคะ
เพราะป้าเองก็ลิงมาก สุดท้ายชุดแค่ลุ้ยนะคะ ไม่หลุด ^^
ต่อไปก็เป็น บรรยากาศด้านในแล้วน้า ไปกันเลย
ด้านหน้าจะมีเจ้าหน้าที่ที่รับคอยรับบัตรผ่านนะคะ
ช่วงที่เข้ามาเป็นช่วงทัวร์ลงพอดี คนเลยเยอะมาก แต่ไม่ได้แต่งชุดไทยด้วยกันนะคะ รูปเลยดูไม่กลืนกันเล็กน้อย
พอเดินเข้าไปช่วงแรกจะเจอซุ้ม (ไม่น่าจะใช่ แต่เป็นลักษณะ อุโมงค์บ้านให้เดินผ่านก่อนนะคะ
ตลอดทางก็จะมีขายผลไม้และ พวกขนมใส่โหลนะคะ (ไม่ได้ถ่ายตรงนี้แหละ ช่วงนั้นหิว แทบไม่มีสติจะหยิบกล้อง)
เข้ามาก็จะเป้บรรยายกาศ ภายในคะ
อันนี้ทีแรกเงินเพิ่มเจ้าคะ เข้าซุ้มกระดิ่งมาก็เจอเลยจ๊ะ
เข้ามาแล้วมาแล้วคือ หน้ามืดคะ หิว ลุยหาที่นั่งกินกันก่อน ต้องเดิอนเข้ามาด้านในถึงจะเจอ
ตอนแรกคืนหิวน้ำมาก ฟาดรัวชามะนาว หนึ่งแก้วไม่ได้ถ่ายนะเจ้าคะ ราคา ๔ สตางค์
ตามด้วยขนมจีน จานด้านข้างเลอะ เพราะมัวแต่ดูอย่างอื่น ทำหกเจ้าคะ T^T
ถ้าจำไม่ผิดจานนี้ ๕ สตางค์
มีความคลาสิค ที่จานสังกะสี และช้อนเขียว
เมนูคลายร้อน เฉาก๋วย หอมน้ำตาลทรายแดง อันนี้คืนแค่ช้อน แถมถ้วยเจ้าคะ แต่แบกไม่ไหวเลยต้องทิ้ง ราคา ๗ สตางค์
และขนมถ้วยหอมกระทิและหวานมัน เพื่อนซื้อ ลืมราคาเจ้าคะ น่าจะไม่เกิน ๕ สตางค์
จริงๆยังมีอีกหลายเมนูนั้งก๊วยเตี๋ยวและอื่นๆ แต่เมื่อวานดันไปดึงเหล็กดันฟันมา
ความสามารถในการกระทบอาหารในปากจึงหายไปถึง ๘๐ เปอร์เซ็น คราวหน้าจะไม่ไปดึงฟันก่อนไปเที่ยวล่ะ T^T
ลืมโชว์เงินเจ้าคะ แลกมาทั้งสิ้น สองร้อยบาท ได้กี่สตางค์ไม่รู้ไม่ได้นับ ^^
อันนี้บรรยาากาศที่นั่งกินเจ้าคะ ข้อเสียอีกอย่างของแหล่งอาหาร นอกจากอากาศร้อนก็แมลงวันนี่แหละ เยอะจนชะนีแทบคลั่ง
แต่เอาเถอะบรรยากาศ แบบนี้ยังไงก็ต้องเจอ อย่าไปซีคะ เรามากินบรรยากาศกันนี่นา
อันนี้ด้านหลังคือที่ๆเรานั่งหาไรกินเมื่อครู่
กินเสร็จก็พากันมาแชะต่อรัวๆ เนื่องจากเพื่อนอีกคนต้องกลับ กทม. และอิฉันกับเพื่อนอีกคนต้องไปสังขละต่อ
ตอนแรกคิดไว้ หนึ่งชั่งโมงสำหรับถ่ายรูป โอ๊ย สบาย แปบเดี๋ยว
พอเอาเข้าจริงคือไม่พอนะ สองร้อยสำหรับการเข้ามาที่นี่ สำหรับอิฉันคิดว่ามันคุ้มมาก มุมให้ถ่ายก็มีตั้งเยอะ นี่ก็ยังถ่ายกันไม่พอเลย
บรรยากาศคร่าวๆของเมืองมัลลิกาก็มีประมาณนี้ จริงๆถ่ายได้แค่ประมาณ ๒๐ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นเอง มุมสวยๆจริงยังมีอีกเยอะนะคะ
ถ้ามีโอกาสมาจริงๆแนะนำให้ใช้เวลามากกว่าครึ่งวันที่นี่ได้เลยคะ นี่ยังมีที่เป็นดินเนอร์ช่วงเย็นอีกนะคะ
แต่ไม่ได้ไปต่อแหละ ต้องแยกย้ายกับเพื่อน เพื่อไป สังขละต่อ
เดี๋ยวมาเล่าการเดินทางไปสังขละต่อนะคะ ^^