จะเรียกว่ามหากาพย์ก็ไม่เกินจริงไปนะครับ เพราะตอนนี้มีผู้เสียหายหลายกลุ่มมาก
ข่าวเริ่มมาจากข่าวนี้นะครับ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_295657
แล้วตามด้วยข่าวนี้นะครับ เพราะ มีเคสที่คล้ายๆกันเกิดขึ้น คุณหมอ P เลยติดต่อผมเข้ามาครับ จากนั้นก็ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แล้วคุณหมอก็ได้ไปแจ้งความตามข่าวนี้เลยครับ
http://www.matichon.co.th/news/531105
เดี๋ยวผมขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมมองของผมนะครับ
ตัวละครที่ 1 : O
ผมกับ O สนิทกันครับ O เป็นคนนิสัยดี รู้จักกันมาเป็นสิบๆปีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นครับ อาจจะมีไม่ได้เจอกันในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่พอเฟสบุ๊คเริ่มใช้กันแพร่หลายก็เลยได้มาเจอกันอีกครั้งครับ ก็คุยกันติดต่อกันตลอด
ตัวละครที่ 2 : F
ผมกับ F ไม่ค่อยสนิทกันครับ แต่ก็รู้จักกันมาเป็นสิบๆปีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นครับ F กับ O เริ่มต้นคบกันเป็นแฟนตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เรียนที่เดียวกัน
ปัจจุบัน F ทำงานเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ปลายปี 58 O มาขอให้ร่วมลงทุนในธุรกิจขายน้ำผลไม้ กระจายตามจุดต่างๆในตลาดขายส่ง เช่น ตลาดไท สี่มุมเมือง ตอนนี้รายได้ดีมาก แต่เนื่องจากใช้เงินหมุนเยอะ เลยมาขอให้ช่วยออกทุนให้ โดยบอกว่าจะปันผลให้ 15% ผมมานั่งคำนวนค่าใช้จ่ายและกำไรแล้ว คิดว่าไม่คุ้ม เลยปฏิเสธไป จากนั้นไม่ได้ติดตามว่าเพื่อนทำธุรกิจตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่ได้ยินมาว่าเพื่อนเปิดธุรกิจอีกตัวเป็นธุรกิจขาย voucher ท่องเที่ยว รายได้กำลังดี
เดือนมีนาคม 2559
ผมได้มาเจอ O อีกครั้งในวันแต่งงานของ O กับ F มีเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนเข้าร่วมงานจากนั้นมาเพื่อนที่ห่างหายไปก็เริ่มกลับมาติดต่อกันอีกครั้งนึง
จากนั้น O ได้เข้ามาคุยกับผมอีกครั้งหนึ่งหลังวันแต่งงาน ว่าอยากให้มาร่วมลงทุนในธุรกิจทัวร์
ซึ่งชวนแต่เพื่อนสนิทจริงๆเท่านั้น ธุรกิจนี้เป็นการแตกไลน์จากธุรกิจขาย voucher ที่เน้นการขายภายในประเทศเป็นหลัก ธุรกิจไลน์ใหม่นี้เป็นการจัดหาที่พักให้กับกรุ๊ปทัวร์จากต่างประเทศ แต่เนื่องจากต้องสำรองจ่ายค่าที่พักให้กับนักท่องเที่ยวล่วงหน้าเลยต้องใช้เงินหมุนค่อนข้างเยอะ การปันผลจะปันผลให้ในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน จะมีการปันผลให้ 6% ซึ่งการปันผล 6% นี้สำหรับผมถือว่าเป็นการปันผลที่น้อยมากๆ เพราะ ธุรกิจขายตุ๊กตาที่เราทำอยู่ กำไรอย่างน้อยๆหลังหักค่าใช้จ่ายกำไรก็เกิน 50% แล้ว ซึ่ง 6% ไม่ใช่ตัวเลขที่เกินจริงนัก ประกอบกับได้ลองสอบถามเพื่อนๆที่เคยใช้บริการจากบริษัททัวร์ของเพื่อน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแถมได้พักในราคาที่ถูกมากๆด้วย ผมเลยได้ร่วมลงทุนกับเพื่อนโดยคิดแค่ว่าเป็นการสนับสนุนเพื่อน ส่วนกำไรก็เป็นแค่ผลพลอยได้ จะขาดทุนหรืออะไรก็ถือว่าได้ช่วยสนับสนุนเพื่อน
การชักชวนลงทุนนี้ไม่ได้ให้เราไปชวนใครต่อหรืออะไรทั้งสิ้น
จากนั้นเพื่อนได้มีการขอให้ร่วมลงทุนเพิ่มอีกเป็นระยะๆ เราก็เห็นว่าเพื่อนทำธุรกิจอยู่ตัวแล้ว ก็เลยลงทุนเพิ่มให้ไม่ได้คิดอะไร ไปๆมาๆก็ 800K เข้าไปแล้ว ส่วนปันผลก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะเพื่อนได้มีการขอลดการปันผลจาก 6% เป็น 4% ในช่วงเดือนตุลาคม 2559 เราก็คิดแค่ว่าดีกว่าฝากธนาคาร และ ช่วยเพื่อนไปในตัว อีกอย่างภรรยาเพื่อนก็เป็นแพทย์ด้วย เลยไม่น่าจะตัดอนาคตตัวเองมาโกงเงินเพื่อน
***J เป็นลูกพี่ลูกน้องของ O นามสกุลเดียวกับ O ****
ช่วงราวๆ สิ้นเดือนมีนาคม 2560
O บอกว่าโดนลูกพี่ลูกน้องโกงเงินไป ชื่อ J
ผมไม่เคยเจอ J มาก่อนไม่เคยเจอและได้ยินชื่อ J
O เล่าว่า ในการประกอบธุรกิจ O ต้องส่งเงินลงทุนให้ J เป็นลอตๆ ซึ่ง J จะนำเงินไปจองที่พัก และ เป็นตัวกลางการรับเงินจาก Agency ชาวจีน
ส่วน O จะเป็นคนระดมทุน และ คอยรับเงินต่อจาก J แล้วมาแจกจ่ายเพื่อน
เรายอมรับเหตุผลนี้ไม่ได้ ซึ่ง O ก็แสดงความบริสุทธิ์ใจโดยการไปแจ้งความ พร้อมรวบรวมผู้เสียหายทั้งหมดเข้ามาในกรุ๊ปไลน์ เป็นจำนวนถึง 250 คน
พอมีการรวบรวมข้อมูลแล้วมันทำให้ผมรู้สึกช๊อค ไม่คิดว่าจะมีผู้ร่วมลงทุนกันมากมายขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่ามีการระดมทุนแค่ 5-6 คนเท่านั้น
เพื่อนสมัยมัธยมอยู่ในกลุ่มผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก เราเลยนัด O ออกมาชี้แจง
จากการชี้แจงด้วยเอกสารต่างๆ ทำให้เราได้รับรู้ว่า
- O ทำธุรกิจจริง แต่เหมือนทำธุรกิจบังหน้ามากกว่า (ตามความรู้สึก อ้างอิงจากเอกสาร)
- O หาลูกค้าหรือระดมทุนได้เท่าไหร่ ต้องส่งเงินให้ J เพื่อไปจองที่พักต่อ จากคำบอกเล่าของ O
- O ไม่เคยเห็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ มีการกล่าวอ้างว่า J เป็นคนดำเนินการทั้งหมด
- คนชื่อ J อาจจะมีตัวตนและไม่มีตัวตน
- O นั่งยันกระโดดยันว่า J โกงไปจริงๆ
- O เริ่มถูกคุกคาม มีขู่ฆ่า และ ขู่ทำร้าย
สุดท้ายเรารวบรวมรายชื่อผู้เสียหายได้ 250 คน วงเงินความเสียหายเฉลี่ยคนละ 1 ล้าน คนที่ผมรู้จักมีประมาณ 40 คน ผู้เสียหายบางคนบอกว่าเคยเจอคนชื่อ J จริง และได้ลงทุนกับ J โดยตรง เลยได้มีการแยกกลุ่มกันแจ้งความ ซึ่งทางผมแจ้งความ O และ ส่วนอีกกลุ่ม จะ แจ้งความ J
เราได้เดินทางไปร้องเรียนที่ DSI เกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งหลังจากออกข่าวก็มีผู้เสียหายที่รู้สึกว่าโดนหลอกให้ลงทุนเช่นเดียวกัน ติดต่อมาทางเฟสบุ๊ค
จากนั้น
O อ้างว่าJ เอาเงินทั้งหมดไป (แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรเอาเงินเราไปใช้นอกวัตถุประสงค์)
O ทำธุรกิจจริง แต่เหมือนทำธุรกิจบังหน้ามากกว่า (ตามความรู้สึก อ้างอิงจากเอกสาร)
O หาลูกค้าได้เท่าไหร่ ต้องส่งเงินให้ J เพื่อไปจองที่พักต่อ 0ากคำบอกเล่าของ O
พอผมออกสื่อ ก็มีผู้เสียหายบางคนรู้สึกว่าขั้นตอนกระบวนการฉ้อโกง คล้ายๆ กัน เลยติดต่อผมมา
ทำให้รู้ว่า มีการลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง
ผู้เสียหายคนนี้ชื่อ P บอกว่า โดน ฺ B โกง (ยังไม่แน่ใจว่าโกง)
- B เป็นแพทย์ทำงานที่โรงพยาบาล
- C เป็นเพื่อน B ตั้งแต่มัธยมต้น
- C บอกว่าเพื่อน B ที่เป็นแพทย์เหมือนกัน ลงทุนกับ B เยอะมาก 20 กว่าคน มูลค่า 60 ล้าน
- B เป็นแฟน J
- B เปิดบริษัททัวร์ และเริ่มทำการระดมทุน
- กลุ่มผู้เสียหาย ทาง B ยังไม่ได้รับเงินปันผล ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผมโดน (ช่วงเดือนมีนา)
- B ลางานไป ตปท ทั้งครอบครัวตั้งแต่ปลายมีนาคม
- B บอกเพื่อนว่าให้รอหน่อย อีก 2 เดือนจะเครียร์ให้ (พฤษภาคม)
- C เล่าว่า B ต้องหนีไปต่างประเทศ เพราะโดนไล่ล่า พร้อมระบุว่า J โดน O โกง
- J หนีไปไหนไม่รู้ แต่เช็คที่ ตม ยังอยู่ที่ไทย โทรศัพท์ยังเปิดเครื่อง แต่ไม่รับสาย
- เราเริ่มรับรู้ได้ว่า J มีตัวตน
- หรือ O จะโดนโกงจริง
- หรือ ทั้งคู่ สมรู้ร่วมคิดกัน
ทางคุณ C ได้ให้ผมติดต่อคุณ P และแลกเปลี่ยนเรื่องราวทั้งหมด ผลสรุปออกมาว่า
คุณ P ได้เดินทางไปแจ้งความตามที่ปรากฏในข่าว
การลงทุนในครั้งนี้ไม่ได้มีการแนะนำให้ชักชวนสมาชิกแต่อย่างใด การตัดสินใจร่วมลงทุน คือ เพราะอยากจะช่วยเพื่อนเป็นหลักไม่ได้ยึดหลักผลประโยชน์หรือความโลภเป็นสำคัญ
มหากาพย์!!การต้มตุ๋นครั้งใหญ่ 250+60 ล้าน โดยใช้คำว่าเพื่อนคำเดียว
ข่าวเริ่มมาจากข่าวนี้นะครับ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_295657
แล้วตามด้วยข่าวนี้นะครับ เพราะ มีเคสที่คล้ายๆกันเกิดขึ้น คุณหมอ P เลยติดต่อผมเข้ามาครับ จากนั้นก็ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แล้วคุณหมอก็ได้ไปแจ้งความตามข่าวนี้เลยครับ
http://www.matichon.co.th/news/531105
เดี๋ยวผมขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมมองของผมนะครับ
ตัวละครที่ 1 : O
ผมกับ O สนิทกันครับ O เป็นคนนิสัยดี รู้จักกันมาเป็นสิบๆปีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นครับ อาจจะมีไม่ได้เจอกันในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่พอเฟสบุ๊คเริ่มใช้กันแพร่หลายก็เลยได้มาเจอกันอีกครั้งครับ ก็คุยกันติดต่อกันตลอด
ตัวละครที่ 2 : F
ผมกับ F ไม่ค่อยสนิทกันครับ แต่ก็รู้จักกันมาเป็นสิบๆปีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นครับ F กับ O เริ่มต้นคบกันเป็นแฟนตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เรียนที่เดียวกัน
ปัจจุบัน F ทำงานเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ปลายปี 58 O มาขอให้ร่วมลงทุนในธุรกิจขายน้ำผลไม้ กระจายตามจุดต่างๆในตลาดขายส่ง เช่น ตลาดไท สี่มุมเมือง ตอนนี้รายได้ดีมาก แต่เนื่องจากใช้เงินหมุนเยอะ เลยมาขอให้ช่วยออกทุนให้ โดยบอกว่าจะปันผลให้ 15% ผมมานั่งคำนวนค่าใช้จ่ายและกำไรแล้ว คิดว่าไม่คุ้ม เลยปฏิเสธไป จากนั้นไม่ได้ติดตามว่าเพื่อนทำธุรกิจตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่ได้ยินมาว่าเพื่อนเปิดธุรกิจอีกตัวเป็นธุรกิจขาย voucher ท่องเที่ยว รายได้กำลังดี
เดือนมีนาคม 2559
ผมได้มาเจอ O อีกครั้งในวันแต่งงานของ O กับ F มีเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนเข้าร่วมงานจากนั้นมาเพื่อนที่ห่างหายไปก็เริ่มกลับมาติดต่อกันอีกครั้งนึง
จากนั้น O ได้เข้ามาคุยกับผมอีกครั้งหนึ่งหลังวันแต่งงาน ว่าอยากให้มาร่วมลงทุนในธุรกิจทัวร์
ซึ่งชวนแต่เพื่อนสนิทจริงๆเท่านั้น ธุรกิจนี้เป็นการแตกไลน์จากธุรกิจขาย voucher ที่เน้นการขายภายในประเทศเป็นหลัก ธุรกิจไลน์ใหม่นี้เป็นการจัดหาที่พักให้กับกรุ๊ปทัวร์จากต่างประเทศ แต่เนื่องจากต้องสำรองจ่ายค่าที่พักให้กับนักท่องเที่ยวล่วงหน้าเลยต้องใช้เงินหมุนค่อนข้างเยอะ การปันผลจะปันผลให้ในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน จะมีการปันผลให้ 6% ซึ่งการปันผล 6% นี้สำหรับผมถือว่าเป็นการปันผลที่น้อยมากๆ เพราะ ธุรกิจขายตุ๊กตาที่เราทำอยู่ กำไรอย่างน้อยๆหลังหักค่าใช้จ่ายกำไรก็เกิน 50% แล้ว ซึ่ง 6% ไม่ใช่ตัวเลขที่เกินจริงนัก ประกอบกับได้ลองสอบถามเพื่อนๆที่เคยใช้บริการจากบริษัททัวร์ของเพื่อน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแถมได้พักในราคาที่ถูกมากๆด้วย ผมเลยได้ร่วมลงทุนกับเพื่อนโดยคิดแค่ว่าเป็นการสนับสนุนเพื่อน ส่วนกำไรก็เป็นแค่ผลพลอยได้ จะขาดทุนหรืออะไรก็ถือว่าได้ช่วยสนับสนุนเพื่อน
การชักชวนลงทุนนี้ไม่ได้ให้เราไปชวนใครต่อหรืออะไรทั้งสิ้น
จากนั้นเพื่อนได้มีการขอให้ร่วมลงทุนเพิ่มอีกเป็นระยะๆ เราก็เห็นว่าเพื่อนทำธุรกิจอยู่ตัวแล้ว ก็เลยลงทุนเพิ่มให้ไม่ได้คิดอะไร ไปๆมาๆก็ 800K เข้าไปแล้ว ส่วนปันผลก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะเพื่อนได้มีการขอลดการปันผลจาก 6% เป็น 4% ในช่วงเดือนตุลาคม 2559 เราก็คิดแค่ว่าดีกว่าฝากธนาคาร และ ช่วยเพื่อนไปในตัว อีกอย่างภรรยาเพื่อนก็เป็นแพทย์ด้วย เลยไม่น่าจะตัดอนาคตตัวเองมาโกงเงินเพื่อน
***J เป็นลูกพี่ลูกน้องของ O นามสกุลเดียวกับ O ****
ช่วงราวๆ สิ้นเดือนมีนาคม 2560
O บอกว่าโดนลูกพี่ลูกน้องโกงเงินไป ชื่อ J
ผมไม่เคยเจอ J มาก่อนไม่เคยเจอและได้ยินชื่อ J
O เล่าว่า ในการประกอบธุรกิจ O ต้องส่งเงินลงทุนให้ J เป็นลอตๆ ซึ่ง J จะนำเงินไปจองที่พัก และ เป็นตัวกลางการรับเงินจาก Agency ชาวจีน
ส่วน O จะเป็นคนระดมทุน และ คอยรับเงินต่อจาก J แล้วมาแจกจ่ายเพื่อน
เรายอมรับเหตุผลนี้ไม่ได้ ซึ่ง O ก็แสดงความบริสุทธิ์ใจโดยการไปแจ้งความ พร้อมรวบรวมผู้เสียหายทั้งหมดเข้ามาในกรุ๊ปไลน์ เป็นจำนวนถึง 250 คน
พอมีการรวบรวมข้อมูลแล้วมันทำให้ผมรู้สึกช๊อค ไม่คิดว่าจะมีผู้ร่วมลงทุนกันมากมายขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่ามีการระดมทุนแค่ 5-6 คนเท่านั้น
เพื่อนสมัยมัธยมอยู่ในกลุ่มผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก เราเลยนัด O ออกมาชี้แจง
จากการชี้แจงด้วยเอกสารต่างๆ ทำให้เราได้รับรู้ว่า
- O ทำธุรกิจจริง แต่เหมือนทำธุรกิจบังหน้ามากกว่า (ตามความรู้สึก อ้างอิงจากเอกสาร)
- O หาลูกค้าหรือระดมทุนได้เท่าไหร่ ต้องส่งเงินให้ J เพื่อไปจองที่พักต่อ จากคำบอกเล่าของ O
- O ไม่เคยเห็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ มีการกล่าวอ้างว่า J เป็นคนดำเนินการทั้งหมด
- คนชื่อ J อาจจะมีตัวตนและไม่มีตัวตน
- O นั่งยันกระโดดยันว่า J โกงไปจริงๆ
- O เริ่มถูกคุกคาม มีขู่ฆ่า และ ขู่ทำร้าย
สุดท้ายเรารวบรวมรายชื่อผู้เสียหายได้ 250 คน วงเงินความเสียหายเฉลี่ยคนละ 1 ล้าน คนที่ผมรู้จักมีประมาณ 40 คน ผู้เสียหายบางคนบอกว่าเคยเจอคนชื่อ J จริง และได้ลงทุนกับ J โดยตรง เลยได้มีการแยกกลุ่มกันแจ้งความ ซึ่งทางผมแจ้งความ O และ ส่วนอีกกลุ่ม จะ แจ้งความ J
เราได้เดินทางไปร้องเรียนที่ DSI เกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งหลังจากออกข่าวก็มีผู้เสียหายที่รู้สึกว่าโดนหลอกให้ลงทุนเช่นเดียวกัน ติดต่อมาทางเฟสบุ๊ค
จากนั้น
O อ้างว่าJ เอาเงินทั้งหมดไป (แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรเอาเงินเราไปใช้นอกวัตถุประสงค์)
O ทำธุรกิจจริง แต่เหมือนทำธุรกิจบังหน้ามากกว่า (ตามความรู้สึก อ้างอิงจากเอกสาร)
O หาลูกค้าได้เท่าไหร่ ต้องส่งเงินให้ J เพื่อไปจองที่พักต่อ 0ากคำบอกเล่าของ O
พอผมออกสื่อ ก็มีผู้เสียหายบางคนรู้สึกว่าขั้นตอนกระบวนการฉ้อโกง คล้ายๆ กัน เลยติดต่อผมมา
ทำให้รู้ว่า มีการลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง
ผู้เสียหายคนนี้ชื่อ P บอกว่า โดน ฺ B โกง (ยังไม่แน่ใจว่าโกง)
- B เป็นแพทย์ทำงานที่โรงพยาบาล
- C เป็นเพื่อน B ตั้งแต่มัธยมต้น
- C บอกว่าเพื่อน B ที่เป็นแพทย์เหมือนกัน ลงทุนกับ B เยอะมาก 20 กว่าคน มูลค่า 60 ล้าน
- B เป็นแฟน J
- B เปิดบริษัททัวร์ และเริ่มทำการระดมทุน
- กลุ่มผู้เสียหาย ทาง B ยังไม่ได้รับเงินปันผล ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผมโดน (ช่วงเดือนมีนา)
- B ลางานไป ตปท ทั้งครอบครัวตั้งแต่ปลายมีนาคม
- B บอกเพื่อนว่าให้รอหน่อย อีก 2 เดือนจะเครียร์ให้ (พฤษภาคม)
- C เล่าว่า B ต้องหนีไปต่างประเทศ เพราะโดนไล่ล่า พร้อมระบุว่า J โดน O โกง
- J หนีไปไหนไม่รู้ แต่เช็คที่ ตม ยังอยู่ที่ไทย โทรศัพท์ยังเปิดเครื่อง แต่ไม่รับสาย
- เราเริ่มรับรู้ได้ว่า J มีตัวตน
- หรือ O จะโดนโกงจริง
- หรือ ทั้งคู่ สมรู้ร่วมคิดกัน
ทางคุณ C ได้ให้ผมติดต่อคุณ P และแลกเปลี่ยนเรื่องราวทั้งหมด ผลสรุปออกมาว่า
คุณ P ได้เดินทางไปแจ้งความตามที่ปรากฏในข่าว
การลงทุนในครั้งนี้ไม่ได้มีการแนะนำให้ชักชวนสมาชิกแต่อย่างใด การตัดสินใจร่วมลงทุน คือ เพราะอยากจะช่วยเพื่อนเป็นหลักไม่ได้ยึดหลักผลประโยชน์หรือความโลภเป็นสำคัญ