[หนังโรงเรื่องที่ 185] The Fate of the Furious - Infinity War by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 185] The Fate of the Furious - Infinity War ; (F. Gary Gray, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ :  A-* (จากสเกล D-A)

**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ : ความป่วงเกิดขึ้นเมื่ออาชญากรแฮ็กเกอร์สาวลึกลับนางหนึ่งได้กระทำการโจรกรรมบรรดาสุดยอดเทคโนโลยีของโลกอย่างต่อเนื่อง ร้อนไปถึงทีมนักซิ่งของ "ดอมินิก ทอเร็ตโต้" (Vin Diesel) ต้องถูกระดมพลมากอบกู้ชาติอีกครั้ง แต่ก็มีเหตุพลิกผันอีกเมื่อดอมได้หักหลังทำร้ายครอบครัวของตัวเองและแปรพักต์ไปเข้าฝ่ายศัตรู การห้ำหั่นกันเองระหว่างครอบครัวที่เหนียวแน่นจึงเกิดขึ้น

*คำเตือน: ตามธรรมเนียมของการดูหนังตระกูล F&F, คะแนนและความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังจะไม่เกี่ยวข้องกับความคมคายหรือความสมจริงของหนังใดใดทั้งสิ้น จะรีวิวแง่ความมันส์และความบันเทิงอย่างเดียว

ไม่เสียชื่อกับเสียงเชียร์ทั่วบ้านทั่วเมืองจริงๆ คือหนังมันสนุกมากกกกกกกกก สนุกในแง่ของความวายป่วง, ความแอคชั่น และความวินาศสันตะโรคุณภาพ HD ด้วยงบประมาณไร้ขีดจำกัดจากค่ายตัวเองผสานพลังจากนายทุนจีน ทำให้สเกลของหนังมันใหญ่มาก กว้างมาก และส่งผลให้อารมณ์ของคนดูอย่างพวกเรามันพีคไปในทิศทางเดียวกันตลอดเรื่องด้วย

โดยเฉพาะในช่วง 5 นาทีแรกของหนังที่อินโทรด้วยการแข่งรถนี่ก็ถือว่าพีคมากแล้ว เป็นการเกริ่นเรื่องที่สามารถสะกดคนดูไว้ได้อยู่หมัดด้วยเสน่ห์ของการแข่ง Drag อันเป็นเอกลักษณ์ของหนังชุดนี้ เช่นเดียวกับช่วงการไล่ล่าในนิวยอร์กก็ดี และสงครามเรือดำน้ำก็ดี ทุกไคลแม็กซ์ถูกถ่ายทอดออกมาได้เฟี้ยวฟ้าวสะใจมาก ขอคารวะงามๆให้สไตล์ของผู้กำกับหน้าใหม่ที่มาคุมบังเหียนอย่าง "F. Gary Gray" ที่สามารถดันผลงานที่ก้าวข้ามภาคเก่าๆไปได้ไกลขนาดนี้ (โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบฉาก World War Z เวอร์ชั่นรถสปอร์ตที่สุด)

แน่นอนว่าในส่วนของสตอรี่ที่มาที่ไปของการต่อสู้ห้ำหั่นกันเองระหว่างครอบครัวนั้นก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีพอใช้ได้ อาจจะดูดรอปๆไปหน่อยถ้าเทียบกับ plotline ของภาคที่ผ่านๆมาแต่รวมๆก็ยังถือว่าโอเค จบแล้ว อันนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึงจริงๆ ขอข้ามนะ (หัวเราะ)

ส่วนที่ผู้เขียนรู้สึกโอเคจริงๆก็คือการที่ผู้กำกับ 'วางสถานการณ์' ให้การต่อสู้มันมีเหตุมีผลสอดรับกับ 'การซิ่งรถ' มากขึ้น ผิดจากภาคที่แล้วที่ในหลายๆฉากเราก็อดจะคิดไม่ได้ว่า "ภารกิจเอ็งจะง่ายกว่านี้มั้ยวะ? ถ้าเอ็งลงจากรถมาเดินเท้าดีๆเนี่ย" ... พอมาภาคนี้มันดูเมคเซนส์ไปหมดเลย คือแบบเออเว้ย มันต้องใช้รถจริงๆนะ มันต้องใช้ทักษะการซิ่งรถของทีมดอมจริงๆนะ ซึ่งพอไอ้ส่วนตรงนี้มันขายเราได้เนี่ย หนังมันก็เลยดูแน่นขึ้นเยอะเลย

ถ้าถามถึงส่วนที่ไม่ชอบ ก็คงจะเป็น 'ความล้น' ของตัวละครร้ายบลอนดี้ที่มาชักชวนดอมเข้าด้านมืดนี่แหละ (สรุปจะเป็นแฮกเกอร์หรือซิธลอร์ด?) คือในช่วงแรกๆมันก็ดู convincing ดีว่าเออ ตัวละครนี้มันโหดนะ มันเลือดเย็น แลดูน่าเกรงขามเหลือเกิน ... แต่ไปๆมาๆชักเริ่มเยอะ เริ่มพึมพำกับตัวเองบ้าง เริ่มจุ๊กจิ๊กๆอยู่คนเดียวบ้าง เลยกลายเป็นบารมีที่สั่งสมมาตลอดชั่วโมงแรกมันก็ค่อยๆเฟดไปแบบน่าเสียดาย จริงๆถ้าคุมโทนไดอะล็อกของตัวละครนี้ให้มินิมอลกว่านี้หน่อย น่าจะน่าจดจำได้มากกว่านี้

ในส่วนของดารารับเชิญหน้าใหม่หน้าเก่าที่หมุนเวียนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ "ครอบครัว" ก็ยังไม่ค่อยนำพาซักเท่าไหร่ พูดง่ายๆคือบารมีสู้รุ่นเก๋าๆไม่ได้ แล้วช่องบทไม่พอให้สร้างคาแร็กเตอร์ให้ตัวเองน่าสนใจอีกด้วย .. ยกเว้น "เจสัน สเตแตม!!" ที่ต้องยอมรับเลยว่าโกยความเอ็นดูของบรรดาแม่ยกไปได้หมดน่าตักจริงๆในฐานะนักบู๊-ตัวกวนสมทบ ที่สอบผ่านทุกโจทย์ไม่ว่าจะเป็นทั้งความฮา และคิวบู๊ที่ลื่นไหลสวยงาม คือความปังของเจสันนี่ทำให้คอนเฟิร์มได้เลยว่าตัวละคร "เด็กการ์ด ชอว์" นี่จะต้องอยู่ในหนังชุดนี้ไปอีกนานแน่ๆ

.
..

สรุปแล้ว Fast 8 ก็ถือว่าเป็นหนังที่สอบผ่านในโจทย์ของมันแบบไม่ต้องมีข้อกังขา ในความเป็นหนังแอคชั่นที่สเกลใหญ่โตและดุเดือดจนน่าทึ่ง และในขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็นเหตุเป็นผลในความเลอะเทอะของมันจนอยู่ในจุดที่เราต้องยอม ยอมให้มันเป็นหนังจำพวก superheroes แบบ Justice League หรือ Avengers ไปเลย ... หลังจากนี้ก็คาดหวังว่าสเกลหนังมันจะขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆแบบยอมรับแมนๆเลยว่าต่อให้มันไปสู้กันในระดับชั้นบรรยากาศ-อวกาศเราก็จะไม่ปริปากบ่นซักคำ

คือถ้านายมาทางนี้แล้ว ก็ให้มันสุดกาแล็กซี่ไปเลยที่รัก!

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่