สวัสดีทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน เนื้อหานี้อาจจะยาวมากๆ แต่จะพยายามเรียบเรียงให้สั้นที่สุดครับ ภาษาไทยผมก้ไม่แข็งแรงครับ เรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริง
ผมอายุ 24 จะ 25 เร็วๆนี้แล้ว ในเดือนกันยา
ขออธิบาย นิสัยส่วนตัวก่อนนะครับ
แต่ก่อน เป้นคนเก็บกฏ มีอะไรไม่ยอมบอกคนทางบ้าน
ตอนนี้ ชอบทำตัวมีนิสัยเหมือนเด็ก อยู่ไม่สุข ต้องมีอะไรให้ทำ (บางทีเผลอไปทำตอนมีคนหมู่มาก แล้วมาเห็นเข้า ผมก็ไม่แคยสนใจในสายตาที่เขามอง) เวลาคุยจะไม่สพหน้าคุย จะเลี่ยงสายตาหรือใบหน้าตลอดเวลา พูดไม่คิด
ตลอดเวลา เหมือนคนขาดความอบอุ่น ไม่รู้จักคำว่า"กอด"แม่มีพ่อหลายคน ส่วนตัวผมเป็นคนโตสุดของบ้าน เนื่องจากฐาณะทางบ้านไม่ค่อยดี แลยต้องอยู่กันหลายๆคน ทั้งหมดในบ้านมี 8 คน มี ตา ยาย(แคยมี 2 ท่านแต่เสียไปแล้ว) น้าสาว น้าชาย ตัวผม น้องชาย 2 น้องสาว(ลูกของน้าชาย) แม่(ที่ไปๆมาๆ) ส่วนพ่อ พ่อผมเป็นหัวหน้าช่างเจอล่าสุดเมือ 5 ปีที่แล้ว พ่อของน้องรอง ไม่ค่อยเห็นหน้า(แต่ทางน้องรองกะพ่อยังคุยกันอยู่) ของน้องเล็ก เสียไปแล้วตอนนี้มีแต่พ่อเลี้ยง
ตัวผมนั้นแคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะ 1.งานไม่มีทำเพราะรู้สึกกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้น 2.การที่มองตัวเองนั้นไร้ค่าในครอบครัว เพราะเป็นพี่โตสุดแถมงานก็ไม่มีประกอบกับโรคที่เป็นเหมือนเป็นภาระด้วยซ้ำ 3. ฐาณะทางบ้านที่ลุ่มๆดอนๆ 4. อยู่บ้านเช่าไม่มีบ้านเป็นของตนเอง 5. เพื่อนคนอื่นๆได้ดีหมดแล้ว
เป็นโรคจิตไหม สำหรับผมผมคิดว่าผมเป็นครับ แคยเรียกร้องความสนใจ แคยคิดฆ่าตัวตาย มีปัญหาทางอารมณ์ ทางสังคม การเจอเรื่องกระทบกระเทือนอาจทำให้ได้เห็นอาการนี้จากผมนะครับ ตอนที่พิมพ์อยู่นี้อาจดูเหมือนคนปรกติ แต่ในชีวิตประจำวัน มันต่างกันครับ โรคนี้หายขาดได้ ซึ่งตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่า หายแบบ 100% ไหม
ฐาณะทางบ้าน ณ ตอนนี้ ก็จะเรียกว่า เป็นหนี้เป็นสิน เกือบไม่มีกินแต่ยังดำรงอยู่ได้แบบเดือนต่อเดือน ไม่รู้ว่าในอณาคต จะสามารถไปต่อได้ไหม ถ้าทางบ้านแย่จัดๆผมคงคิดอะไรฟุ้งซ่านอีกเหงๆ
เรื่องมีอยู่ว่า ตัวผมนั้นได้เข้าไปเรียน ณ โรงเรียนมัธยมไกล้บ้านแห่งหนึ่งลองไปสอบเข้าระแวกนั้นก็สอบเข้าไม่ได้ โดยส่วนตัวผมนั้น ผมไม่ใช่คนขยัน บางทีก็อาศัยลอกเพื่อน ไม่ค่อยฉลาดมากนัก เกลียดเรื่องตัวเลขมากๆโดยเฉพาะหาค่า x1+y2=z3 ก็ตายแล้ว เกรียดการสอบ คะแนน o-net a-net สอบวัดผล บลาๆๆๆๆ (แม้งสอบทำมะเขือเปาะเปะ แค่เอาคะแนนตรงนั้นไปเรียนที่ดังๆเนี่ยนะ)
แต่เกรดออกมาดี เพราะขยันส่งการบ้านนี่หละ (แม้งยุคมืดการศึกษา ที่อะไรต้องวัดด้วยเกรดและตัวเลขในกระดาษ ที่ไม่ได้วัดผลอะไรจากตัวนักเรียนจริงๆแลย) สังคมโดยรอบ เพื่อน การบ้าน ช่วง ม.1 ม.2 ไปได้ด้วยดี เสียอย่างเดียว ระบบการศึกษาไทยที่แบ่งแยกชนชั้นเรียนดีเรียนเย่นี่หละ มันทำให้หลายๆอย่างหลายๆคนเปลี่ยนไปแลย
ม.3 สิ่งที่พบเจอ เนื่องจาก อยู่ห้อง topคือ 1-3 (ห้องถูก แบ่งตามเกรดเฉลี่ย ห้อง 1 มากสุด ห้อง 10 ต่ำสุด)
1.การบ้านเท่าภูเขา 1 วัน 5-7 วิชา 5 งานต่อวัน ขยันสั่งกันจัง เอ็งรู้ไหมว่าตรูทำ+ลอกไม่ทัน ด้วยสมองอันน้อยนิดและแต่ละอย่างที่สั่งมา โอ้ชีวิต
2.การโดนทำโทษแทบจะรายวันเพราะไม่ส่งการบ้าน โดนวัน 4-7 ครั้ง มันแย่มากๆแลย
3.เนื่องจากนิสัยคนในห้อง ที่ต่างคนต่างอยู่ ผู้ที่อ่อนแอมันจะถูกเมิน ใครเข้ากะเพื่อนในห้องไม่ได้ตายลูกเดียว ซึ่งผมเป็นคนเดียวในห้องนั้นแลยก็ว่าได้ รู้สึกเหมือนเป็นแกะดำแลยด้วยซ้ำ
3.1นิสัยเพื่อนที่รู้จักกัน ที่เรียนเก่ง+เรียนด้วยกันมา ทักไปเขาไม่แคยตอบ แค่อย่างน้อยก้ทักกลับมาก็ยังดี เขาอยู่ห้อง 1กับ2 ตั้งแต่ ม.1-3 เหมือน เรากับเขาไม่แคยรู้จักกันมาก่อน แคยไปทักตอนที่เขาคุยกะเพื่อน แล้วได้ผลกลับมาว่า กรูไม่หน้าไป

กับเขาแลย(อารมณ์คล้ายๆ เครื่องบิน กะหมาวัด)
ผมเรียนแทบไม่รู้เรื่องแลย ทนๆเรียนไปให้จบไปวันๆ หยุดเรียนโดยไร้สาเหตุก็มี จนกระทั้ง ผมทนไม่ใหว ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ระเบิดตู้มกลายเป้นโกโก้...ฮ่วย จนสมองทนกะความเครียดที่แบก+เก็บไว้มานานไม่ไหว ตอนนั้นผม ร้องให้เหมือนเด็ก7ขวบ ทำลายข้าวของ(สะส่วนใหญ่) ทำร้ายร้างกาย(บางครั้ง) ผมขอให้ทางบ้าน ให้ผมอยู่บ้าน ผมเกลียดการเรียน เกลียดการบ้าน เกลียดครูผู้สอน(ตอนแรกๆแถบจะไม่มองหน้าแลย) ไปแลย ผมขาดเรียน 2 สัปดาห์ แล้วได้มีโครงการ"พาเพื่อนกลับมาเรียน" ผมก็ได้บ้ายอกลับไปเรียน ผลคือแม้งเหมือนเดิมแลยครับตามข้อ 1-3 ผมกำลังจะลาออกครับ แต่ช่วงนั้นมีกิจกรรมเข้าค่ายผมแลยขอไปด้วย (กะว่าหาความสุขครั้งสุดท้าย) ได้ยินจากเหล่าครู+เพื่อนที่เล่าให้ผมฟังว่า "เอ็งจะออกแล้วทำไมเอ็งต้องไปเข้าค่ายด้วย" ผมไม่ใส่ใจครับ แล้วไปเข้าค่าย สนุกให้สุดๆ พอกลับมาได้สักพัก ก็ออกจากการเรียนไปเรียนต่อ กศน. โดยรับการรักษาจาก จิตเพทย์ที่ ศิหริราช ด้วยยา+สังคมรอบข้าง รักษาได้ 1 ปีกว่าๆ ผมได้กลับไปเรียนต่อที่ โรนเรียนช่างกลไกล้บ้าน เรียนไปได้ 1 เทอม ครึ่ง ก็ออกจากโรงเรียนอีกแล้วครับ เพราะเจอ การบ้านเท่าภูเขา การโดนทำโทษรายวัน สังคมเพื่อนที่คล้ายๆกัน (แต่ก็ดีกว่า มัธยม) ผมก็อยากจะทนเรียนนะครับ แต่ผลพวงจาก สิ่งที่พบเจอใน มัธยม มันทำให้ผมขอออกจากโรงเรียน และช่วงที่จะเลิกเรียนนั้น อาการก็เหมือนเดิมครับ ร้องให้เหมือนเด็ก7ขวบ ทำลายข้าวของทำร้ายร้างกาย ผมต้องไปรักษาที่เดิม ไปเรียน กศน. 1 ปี ครึ่ง เพื่อเอาวุธ ม.6 และหลังจากนั้นได้สักพัก ฐาณะทางบ้านเริ่ม ดรอปลง มันทำให้ผมคิดมาก อยากฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็ได้ กำลังใจจากคนในบ้าน+การกินยา ผมทำให้ ยาย น้าสาว(เป็นหนักสุดเพราะรักผมเหมือนลูกคนหนึ่ง) ร้องให้ (
ตอนนี้ผมนั่งย้อนคิดดูว่า ผมจะบาปมากไหม)
ณ ตอนนี้ ผมใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ก้เป็นคนดีของบ้าน ทำตัวอยู่ในหลักศีลธรรม เชื่อในกฏเห่งกรรม ไม่ชอบการโพศ"สาธุรวย"แม้นบอกความหน้ารักข่าวคลิ้กแบท ถึงแม้จะหื่นบ้าง(แต่ก็ไม่ได้รบกวรใครตามภาษาผู้ชาย) ไม่กินเหล้า ไม่สูปบุหรี่
ช่วยงานวัด เล่นคอมเรื่อยๆ ส่วนสภาพคอม ตามยัตถากรรม
มีวันหนึ่ง ผมเพ้อ บ่นผ่านเฟส มีคนมาบอกผมให้ ผ่านมันไปให้ได้ อย่าคิดถับถมตัวเอง อย่างมองในแง่งบ ทุกๆอย่างมีการเรียนรู้ได้
ผมบอกไม่มีงานทำ ไม่ได้เรียน เขาบอกให้ลองเรียนดู แต่ไอ้กความกลัวที่อยู่ในใจ ทิฐิมันจะหายไหมนี่สิ ประกอบกับ ฐาณะทางบ้าน
ช่วงหนึ่งมีคนบอกให้ทำงานผ่านคอม(ที่ไม่ใช่ทำงาน2-3ชั่วโมงเทือกนั้งนะ) ผมตอบกลับไปว่า ทั้ง ฐาณะ + สภาพคอมผมช่วงนี้ ที่ผมขอเรียกว่า คอมมันฝรั่ง เป็นเครื่องรุ่น dell ความเร็ว 1.82 Ghz อายุ(ไม่ทราบ เพราะเป็นมือ2 เล่นมา 1 ปี)[แรม 1+1G อายุ 8 ปี จุ 420Gอายุ8ปี gtx630อายุ 5 ปี] ถามว่ามีตังซื้อใหม่ไหมก็ไม่ ต้องอาศัยน้าชายอย่างเดียว
หัวหลักของบ้าน น้าชาย น้าสาว ในอณาคต น้องสาว น้องชาย ส่วนผมอะหรอ คงไม่วายอดตาย ถ้าขืนยังกลัวแบบนี้
ฐาณะของบ้าน ต้องส่งน้องทั้ง 2 คนเรียน ส่วนน้องรอง ติดปีกบินไปแล้ว(แต่ยังกลับมาบ้านบางครั้ง) รายวัน ไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือเป็นหนี้จนยายผมร้องให้ ผมก็อดสงสารยายผมไม่ได้ และดูเหมือนมันจะตอกย้ำผมยังไงไม่รู้ เรื่องที่ผมจะเรียนต่อมหาลัย ผมยังวนหลูป กลัวสิ่งต่างๆ ไม่กล้าเสี่ยง กลัวเรื่องค่าใช้จ่ายรายวัน บลาๆๆๆ
ส่งท้าย ถ้าผมคิดย้ายห้องตอน ม.3 บอกความในใจไม่เก็บกฏ ผมคงไปได้ไกลกว่านี้แล้ว
ส่งท้าย1 ผมไม่อยากได้กำลังใจจากท่าน เอาจริงๆอยากได้ความสนใจ ตามภาษาคนขาดความอบอุ่น(แต่ไม่ถึงขั้นแบบที่เห็นได้ตามแฟสบุ๊คนะ) อยากได้ความช่วยเหลือ
ส่งท้าย2 ผมรู้ว่ายังมีคนที่แย่กว่าผมเยอะจนบางทีการที่ผมคิดแบบนี้บ่อยๆ (ตามที่เขาบอกมา ห้ามพูดคำนี้กับคนที่เป็นโรคเหล่านี้บ่อยๆอาจทำให้คนที่เป็นโรคแย่ลงได้) มันทำให้ผมนั้นไม่อยากมีชีวิตต่อไปแลยก็มี จนผมต้องคิดเรื่องนี้เป็นบางครั้งเพื่อเตือนสติตนเอง
ส่งท้าย3 ช่วงที่ผมเพ้อผ่านเฟสบุ๊ค มีคนช่วยเหลือ ถ้าไม่มีคนเหล่านั้น คอยเตือนคอยสอน ผมอาจจะแย่กว่านี้
ถ้าใครอยากจะช่วยเหลือ ครอบครัวผม ก็แจ้งในนี้ครับ ผมจะพิจารณาจาก ผลตอบรับ และ ความคิดเห็น ส่วนใหญ่ ครับ รับฟังทุกความคิดเห็น คำแนะนำเรื่องงาน เรื่องเรียนต่อมหาลัยที่ควรเรียน สิ่งที่ควรทำ ครับ
ขอระบาย ขอบคุณการศึกษาไทย ระดับ มัธยม ครับ
ผมอายุ 24 จะ 25 เร็วๆนี้แล้ว ในเดือนกันยา
ขออธิบาย นิสัยส่วนตัวก่อนนะครับ แต่ก่อน เป้นคนเก็บกฏ มีอะไรไม่ยอมบอกคนทางบ้าน
ตอนนี้ ชอบทำตัวมีนิสัยเหมือนเด็ก อยู่ไม่สุข ต้องมีอะไรให้ทำ (บางทีเผลอไปทำตอนมีคนหมู่มาก แล้วมาเห็นเข้า ผมก็ไม่แคยสนใจในสายตาที่เขามอง) เวลาคุยจะไม่สพหน้าคุย จะเลี่ยงสายตาหรือใบหน้าตลอดเวลา พูดไม่คิด
ตลอดเวลา เหมือนคนขาดความอบอุ่น ไม่รู้จักคำว่า"กอด"แม่มีพ่อหลายคน ส่วนตัวผมเป็นคนโตสุดของบ้าน เนื่องจากฐาณะทางบ้านไม่ค่อยดี แลยต้องอยู่กันหลายๆคน ทั้งหมดในบ้านมี 8 คน มี ตา ยาย(แคยมี 2 ท่านแต่เสียไปแล้ว) น้าสาว น้าชาย ตัวผม น้องชาย 2 น้องสาว(ลูกของน้าชาย) แม่(ที่ไปๆมาๆ) ส่วนพ่อ พ่อผมเป็นหัวหน้าช่างเจอล่าสุดเมือ 5 ปีที่แล้ว พ่อของน้องรอง ไม่ค่อยเห็นหน้า(แต่ทางน้องรองกะพ่อยังคุยกันอยู่) ของน้องเล็ก เสียไปแล้วตอนนี้มีแต่พ่อเลี้ยง ตัวผมนั้นแคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะ 1.งานไม่มีทำเพราะรู้สึกกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้น 2.การที่มองตัวเองนั้นไร้ค่าในครอบครัว เพราะเป็นพี่โตสุดแถมงานก็ไม่มีประกอบกับโรคที่เป็นเหมือนเป็นภาระด้วยซ้ำ 3. ฐาณะทางบ้านที่ลุ่มๆดอนๆ 4. อยู่บ้านเช่าไม่มีบ้านเป็นของตนเอง 5. เพื่อนคนอื่นๆได้ดีหมดแล้ว
เป็นโรคจิตไหม สำหรับผมผมคิดว่าผมเป็นครับ แคยเรียกร้องความสนใจ แคยคิดฆ่าตัวตาย มีปัญหาทางอารมณ์ ทางสังคม การเจอเรื่องกระทบกระเทือนอาจทำให้ได้เห็นอาการนี้จากผมนะครับ ตอนที่พิมพ์อยู่นี้อาจดูเหมือนคนปรกติ แต่ในชีวิตประจำวัน มันต่างกันครับ โรคนี้หายขาดได้ ซึ่งตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่า หายแบบ 100% ไหม
ฐาณะทางบ้าน ณ ตอนนี้ ก็จะเรียกว่า เป็นหนี้เป็นสิน เกือบไม่มีกินแต่ยังดำรงอยู่ได้แบบเดือนต่อเดือน ไม่รู้ว่าในอณาคต จะสามารถไปต่อได้ไหม ถ้าทางบ้านแย่จัดๆผมคงคิดอะไรฟุ้งซ่านอีกเหงๆ
เรื่องมีอยู่ว่า ตัวผมนั้นได้เข้าไปเรียน ณ โรงเรียนมัธยมไกล้บ้านแห่งหนึ่งลองไปสอบเข้าระแวกนั้นก็สอบเข้าไม่ได้ โดยส่วนตัวผมนั้น ผมไม่ใช่คนขยัน บางทีก็อาศัยลอกเพื่อน ไม่ค่อยฉลาดมากนัก เกลียดเรื่องตัวเลขมากๆโดยเฉพาะหาค่า x1+y2=z3 ก็ตายแล้ว เกรียดการสอบ คะแนน o-net a-net สอบวัดผล บลาๆๆๆๆ (แม้งสอบทำมะเขือเปาะเปะ แค่เอาคะแนนตรงนั้นไปเรียนที่ดังๆเนี่ยนะ)
แต่เกรดออกมาดี เพราะขยันส่งการบ้านนี่หละ (แม้งยุคมืดการศึกษา ที่อะไรต้องวัดด้วยเกรดและตัวเลขในกระดาษ ที่ไม่ได้วัดผลอะไรจากตัวนักเรียนจริงๆแลย) สังคมโดยรอบ เพื่อน การบ้าน ช่วง ม.1 ม.2 ไปได้ด้วยดี เสียอย่างเดียว ระบบการศึกษาไทยที่แบ่งแยกชนชั้นเรียนดีเรียนเย่นี่หละ มันทำให้หลายๆอย่างหลายๆคนเปลี่ยนไปแลย
ม.3 สิ่งที่พบเจอ เนื่องจาก อยู่ห้อง topคือ 1-3 (ห้องถูก แบ่งตามเกรดเฉลี่ย ห้อง 1 มากสุด ห้อง 10 ต่ำสุด)
1.การบ้านเท่าภูเขา 1 วัน 5-7 วิชา 5 งานต่อวัน ขยันสั่งกันจัง เอ็งรู้ไหมว่าตรูทำ+ลอกไม่ทัน ด้วยสมองอันน้อยนิดและแต่ละอย่างที่สั่งมา โอ้ชีวิต
2.การโดนทำโทษแทบจะรายวันเพราะไม่ส่งการบ้าน โดนวัน 4-7 ครั้ง มันแย่มากๆแลย
3.เนื่องจากนิสัยคนในห้อง ที่ต่างคนต่างอยู่ ผู้ที่อ่อนแอมันจะถูกเมิน ใครเข้ากะเพื่อนในห้องไม่ได้ตายลูกเดียว ซึ่งผมเป็นคนเดียวในห้องนั้นแลยก็ว่าได้ รู้สึกเหมือนเป็นแกะดำแลยด้วยซ้ำ
3.1นิสัยเพื่อนที่รู้จักกัน ที่เรียนเก่ง+เรียนด้วยกันมา ทักไปเขาไม่แคยตอบ แค่อย่างน้อยก้ทักกลับมาก็ยังดี เขาอยู่ห้อง 1กับ2 ตั้งแต่ ม.1-3 เหมือน เรากับเขาไม่แคยรู้จักกันมาก่อน แคยไปทักตอนที่เขาคุยกะเพื่อน แล้วได้ผลกลับมาว่า กรูไม่หน้าไป
ผมเรียนแทบไม่รู้เรื่องแลย ทนๆเรียนไปให้จบไปวันๆ หยุดเรียนโดยไร้สาเหตุก็มี จนกระทั้ง ผมทนไม่ใหว ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ระเบิดตู้มกลายเป้นโกโก้...ฮ่วย จนสมองทนกะความเครียดที่แบก+เก็บไว้มานานไม่ไหว ตอนนั้นผม ร้องให้เหมือนเด็ก7ขวบ ทำลายข้าวของ(สะส่วนใหญ่) ทำร้ายร้างกาย(บางครั้ง) ผมขอให้ทางบ้าน ให้ผมอยู่บ้าน ผมเกลียดการเรียน เกลียดการบ้าน เกลียดครูผู้สอน(ตอนแรกๆแถบจะไม่มองหน้าแลย) ไปแลย ผมขาดเรียน 2 สัปดาห์ แล้วได้มีโครงการ"พาเพื่อนกลับมาเรียน" ผมก็ได้บ้ายอกลับไปเรียน ผลคือแม้งเหมือนเดิมแลยครับตามข้อ 1-3 ผมกำลังจะลาออกครับ แต่ช่วงนั้นมีกิจกรรมเข้าค่ายผมแลยขอไปด้วย (กะว่าหาความสุขครั้งสุดท้าย) ได้ยินจากเหล่าครู+เพื่อนที่เล่าให้ผมฟังว่า "เอ็งจะออกแล้วทำไมเอ็งต้องไปเข้าค่ายด้วย" ผมไม่ใส่ใจครับ แล้วไปเข้าค่าย สนุกให้สุดๆ พอกลับมาได้สักพัก ก็ออกจากการเรียนไปเรียนต่อ กศน. โดยรับการรักษาจาก จิตเพทย์ที่ ศิหริราช ด้วยยา+สังคมรอบข้าง รักษาได้ 1 ปีกว่าๆ ผมได้กลับไปเรียนต่อที่ โรนเรียนช่างกลไกล้บ้าน เรียนไปได้ 1 เทอม ครึ่ง ก็ออกจากโรงเรียนอีกแล้วครับ เพราะเจอ การบ้านเท่าภูเขา การโดนทำโทษรายวัน สังคมเพื่อนที่คล้ายๆกัน (แต่ก็ดีกว่า มัธยม) ผมก็อยากจะทนเรียนนะครับ แต่ผลพวงจาก สิ่งที่พบเจอใน มัธยม มันทำให้ผมขอออกจากโรงเรียน และช่วงที่จะเลิกเรียนนั้น อาการก็เหมือนเดิมครับ ร้องให้เหมือนเด็ก7ขวบ ทำลายข้าวของทำร้ายร้างกาย ผมต้องไปรักษาที่เดิม ไปเรียน กศน. 1 ปี ครึ่ง เพื่อเอาวุธ ม.6 และหลังจากนั้นได้สักพัก ฐาณะทางบ้านเริ่ม ดรอปลง มันทำให้ผมคิดมาก อยากฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็ได้ กำลังใจจากคนในบ้าน+การกินยา ผมทำให้ ยาย น้าสาว(เป็นหนักสุดเพราะรักผมเหมือนลูกคนหนึ่ง) ร้องให้ (ตอนนี้ผมนั่งย้อนคิดดูว่า ผมจะบาปมากไหม)
ณ ตอนนี้ ผมใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ก้เป็นคนดีของบ้าน ทำตัวอยู่ในหลักศีลธรรม เชื่อในกฏเห่งกรรม ไม่ชอบการโพศ"สาธุรวย"แม้นบอกความหน้ารักข่าวคลิ้กแบท ถึงแม้จะหื่นบ้าง(แต่ก็ไม่ได้รบกวรใครตามภาษาผู้ชาย) ไม่กินเหล้า ไม่สูปบุหรี่
ช่วยงานวัด เล่นคอมเรื่อยๆ ส่วนสภาพคอม ตามยัตถากรรม
มีวันหนึ่ง ผมเพ้อ บ่นผ่านเฟส มีคนมาบอกผมให้ ผ่านมันไปให้ได้ อย่าคิดถับถมตัวเอง อย่างมองในแง่งบ ทุกๆอย่างมีการเรียนรู้ได้
ผมบอกไม่มีงานทำ ไม่ได้เรียน เขาบอกให้ลองเรียนดู แต่ไอ้กความกลัวที่อยู่ในใจ ทิฐิมันจะหายไหมนี่สิ ประกอบกับ ฐาณะทางบ้าน
ช่วงหนึ่งมีคนบอกให้ทำงานผ่านคอม(ที่ไม่ใช่ทำงาน2-3ชั่วโมงเทือกนั้งนะ) ผมตอบกลับไปว่า ทั้ง ฐาณะ + สภาพคอมผมช่วงนี้ ที่ผมขอเรียกว่า คอมมันฝรั่ง เป็นเครื่องรุ่น dell ความเร็ว 1.82 Ghz อายุ(ไม่ทราบ เพราะเป็นมือ2 เล่นมา 1 ปี)[แรม 1+1G อายุ 8 ปี จุ 420Gอายุ8ปี gtx630อายุ 5 ปี] ถามว่ามีตังซื้อใหม่ไหมก็ไม่ ต้องอาศัยน้าชายอย่างเดียว
หัวหลักของบ้าน น้าชาย น้าสาว ในอณาคต น้องสาว น้องชาย ส่วนผมอะหรอ คงไม่วายอดตาย ถ้าขืนยังกลัวแบบนี้
ฐาณะของบ้าน ต้องส่งน้องทั้ง 2 คนเรียน ส่วนน้องรอง ติดปีกบินไปแล้ว(แต่ยังกลับมาบ้านบางครั้ง) รายวัน ไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือเป็นหนี้จนยายผมร้องให้ ผมก็อดสงสารยายผมไม่ได้ และดูเหมือนมันจะตอกย้ำผมยังไงไม่รู้ เรื่องที่ผมจะเรียนต่อมหาลัย ผมยังวนหลูป กลัวสิ่งต่างๆ ไม่กล้าเสี่ยง กลัวเรื่องค่าใช้จ่ายรายวัน บลาๆๆๆ
ส่งท้าย ถ้าผมคิดย้ายห้องตอน ม.3 บอกความในใจไม่เก็บกฏ ผมคงไปได้ไกลกว่านี้แล้ว
ส่งท้าย1 ผมไม่อยากได้กำลังใจจากท่าน เอาจริงๆอยากได้ความสนใจ ตามภาษาคนขาดความอบอุ่น(แต่ไม่ถึงขั้นแบบที่เห็นได้ตามแฟสบุ๊คนะ) อยากได้ความช่วยเหลือ
ส่งท้าย2 ผมรู้ว่ายังมีคนที่แย่กว่าผมเยอะจนบางทีการที่ผมคิดแบบนี้บ่อยๆ (ตามที่เขาบอกมา ห้ามพูดคำนี้กับคนที่เป็นโรคเหล่านี้บ่อยๆอาจทำให้คนที่เป็นโรคแย่ลงได้) มันทำให้ผมนั้นไม่อยากมีชีวิตต่อไปแลยก็มี จนผมต้องคิดเรื่องนี้เป็นบางครั้งเพื่อเตือนสติตนเอง
ส่งท้าย3 ช่วงที่ผมเพ้อผ่านเฟสบุ๊ค มีคนช่วยเหลือ ถ้าไม่มีคนเหล่านั้น คอยเตือนคอยสอน ผมอาจจะแย่กว่านี้
ถ้าใครอยากจะช่วยเหลือ ครอบครัวผม ก็แจ้งในนี้ครับ ผมจะพิจารณาจาก ผลตอบรับ และ ความคิดเห็น ส่วนใหญ่ ครับ รับฟังทุกความคิดเห็น คำแนะนำเรื่องงาน เรื่องเรียนต่อมหาลัยที่ควรเรียน สิ่งที่ควรทำ ครับ