“F*ck you… บ้านรู้จักฟุตบอลไหม เล่นบอลเป็นเปล่า หรือมีแต่ขี่วัวขี่ควาย?” ดีทมาร์ ฮามันน์ ตะโกนด่า “คาร์” เกียรติประวุฒิ สายแวว จากกลางสนามระหว่างซ้อม มันทำให้เขาจุกเล็กน้อยว่าทำไมคนที่เขาเคยชื่นชอบและติดตามทางโทรทัศน์ ถึงใช้คำพูดที่รุนแรงกับเขาแบบนี้
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้สักเล็กน้อยประมาณ 1 เดือน...ระหว่างที่ “คาร์” เกียรติประวุฒิ สายแวว กองหลังอนาคตไกล กำลังพักผ่อนอย่างสบายใจอยู่ที่บ้านพักของตัวเอง หลังกลับจากการแข่งขันเอเชี่ยน คัพ 2007 โทรศัพท์มือถือดังขึ้น...เขากดรับแบบไม่คิดอะไร “ฮัลโหล” คาร์รับสาย
“เตรียมตัวให้พร้อมนะ เดี๋ยวเดินทางไปอังกฤษ เพื่อเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้” นี่ คือ ข้อความที่เขาพอจับใจความได้จากปลายสาย ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
“ครับ ครับ ครับ” เกียรติประวุฒิ สายแวว พูดตามน้ำไป...แต่ในใจคิดว่า “กูโดนเพื่อนอำซินะ เอาให้สบายใจเลยละกัน”
"เอาตรงๆนะ…ตอนนั้นผมไม่เชื่อหรอกว่าจะมีนักเตะไทยได้ไปค้าแข้งที่อังกฤษ” เกียรติประวุฒิ สายแวว กองหลังวัย 29 ปีของเชียงรายในปัจจุบัน เริ่มเล่าให้ FFT TH ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตเมื่อปี 2007 “มันต้องเป็นเรื่องตลกล้อเล่นแน่นอน ยิ่งเป็นตัวผม...ไม่มีทางเลย จนพี่นพ (อรรณพ สิงห์โตทอง ผู้บริหารของชลบุรี เอฟซี) โทรมาแจ้งว่าผมจะต้องเดินทางไปอังกฤษ ผมถึงได้เชื่อว่าผมกำลังจะได้ไปอังกฤษ แต่ก็ยังคิดว่า ได้โควต้าไปท่องเที่ยวเยี่ยมชมสโมสรแมนฯ ซิตี้ แต่พอหลังจากนั้นผมมารู้ว่าได้ไปร่วมทีมแมนฯ ซิตี้...บอกๆตรง ผมอึ้งไป 3-4 วัน"
ยุคปี 2007 คือ ช่วงเวลาที่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกรัฐประหาร ได้เข้าไปเทคโอเวอร์ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้… แน่นอนว่านักธุรกิจอย่างเขา ไม่ได้ซื้อสโมสรฟุตบอลมาเป็นของเล่น และการนำนักเตะไทยไปเซ็นสัญญากับทีมดังแดนผู้ดี ก็นับเป็นเป็นการตลาดที่ชาญฉลาดที่สุดอย่างหนึ่ง แม้กระนั้นคนฟุตบอลต่างรู้ดีว่ามันเป็นไม่ได้ที่นักเตะไทย ทั้ง 3 คน ได้แก่ เกียรติประวุฒิ สายแวว, สุรีย์ สุขะ และ ธีรศิลป์ แดงดา จะได้ลงสนาม เพราะเงื่อนไขเกี่ยวกับใบรับรองอนุญาตทำงาน และอื่นๆ อีกมากมาย
"ความจริงก่อนไปอังกฤษ ผมได้โทรคุยกับ “พี่เฮง” วิทยา เลาหกุล แล้วด้วยซ้ำว่าจะได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่นกับต็อตโตริ ถ้าไม่มีโปรแกรมไปอังกฤษมาปาดหน้า ผมได้ไปญี่ปุ่นแล้ว”
“ผมเคยไปที่นั่น (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เป็นการเก็บตัวกับทีมชาตินะ อย่างไรก็ตามครั้งนี้แตกต่างกันออกไป ผมรู้อยู่แล้วว่าการเดินทางไปแมนฯ ซิตี้ เราไม่ได้เล่นที่อังกฤษหรอก คงได้แค่การฝึกซ้อมเท่านั้น แต่มันก็ยังตื่นเต้น แม้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าจะได้ลงสนาม เพราะติดเงื่อนไขปัญหามากมาย ซึ่งผู้ใหญ่ก็บอกเราว่าจะส่งเราไปเล่นกับสโมสรพันธมิตรทีมอื่นๆในยุโรป”
“ผมจำได้เลย… ไปถึงวันแรก เข้าไปเห็นสถานที่ฝึกซ้อมที่คาร์ริงตัน ทั้งสนามซ้อม, อากาศ, สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มันสุดยอดและเป็นมืออาชีพมาก ยิ่งที่เมืองไทยสมัยก่อนนั้นมันไม่มีอะไรเลยด้วย มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันดีไปหมด ภายใต้การทำทีมของ สเวน โกรัน อิริคส์สัน ผมได้เห็นผู้เล่นอย่าง ดีทมาร์ ฮามันน์ ที่ติดตามทางโทรทัศน์และชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กๆ, ดาริอุส วาสเซลล์, จอร์จอร์จ ซามาราส, แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่ตอนนั้นยังเป็นแค่มือ 2”
“และถัดมาอีกวันเราก็ไปนั่งชมเกมดาร์บี้แมตช์ ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับแมนฯ ยูไนเต็ด” คาร์ เริ่มเล่าอย่างอารมณ์ดีทุกอย่างดูแสนสวยงาม… คาร์-เกียรติประวุฒิ ไปพร้อมเพื่อนคนไทยกับ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าทีมชาติรุ่นน้อง กับ “เปรม” สุรีย์ สุขะ กองหลังทีมชาติรุ่นพี่ ทำให้การใช้ชีวิต ณ เมืองแมนเชสเตอร์ ดินแดนทางตอนเหนือของอังกฤษ ไม่หว้าเหว่ เขากระสันอยากจะลงฝึกซ้อมไวๆ แต่ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาพร่ำๆ ในวันแรกของการซ้อม ก็ทำให้เราเศร้าหมองลงไปนิดๆ…
“ผมจำได้เลยวันแรกที่ไปสนามซ้อม ฝนตกปรอยๆ เราเล่นแบ่งข้างกัน 2 ทีม แต่เรารู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเลย ผมแย่งบอลพวกเขาไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว ทุกจังหวะเรารู้สึกว่า ช้าไปกว่าพวกเขาก้าวหนึ่งหมด พอเราวิ่งเข้าหา เขาก็จ่ายบอลหนีออกไปแล้ว” เกียรติประวุฒิ เริ่มพูดถึงการซ้อมวันแรกที่คาร์ริงตัน
“มีครั้งหนึ่ง ผมทำบอลเสียง่ายๆ เชื่อไหม ดีทมาร์ ฮามันน์ ตะโกนด่าผมอย่างหนักจากกลางสนามเลย เขาพูดประมาณว่า บ้านมีฟุตบอลไหม...ยังขี่ควายกันอยู่เหรอ! พูด F*ck you อะไรแบบนี้เลย คือ...ทีแรกผมก็ตกใจเหมือนกัน “พอหลังซ้อมเสร็จเขาก็เดินมากอดคอผม แล้วพูดว่าถ้าผมอยากจะเก่ง ผมก็ต้องยอมรับให้ได้ ผมต้องพัฒนา ที่นี่เราเป็นแบบนี้ อย่าเสียบอลง่ายๆ เช่นเดียวกันถ้าเขาทำบอลเสีย ก็ให้ผมตะโกนด่าเขา แบบที่เขาด่าได้เลย จะด่าอะไรก็ได้ จริงๆนอกสนาม เขาเป็นรุ่นพี่ที่นิสัยดีมากๆ พอจบซ้อมแล้วก็คือจบ ซึ่งที่เราเรียนรู้ได้ชัดเจนก็คือความเอาจริงเอาจังกับการซ้อมที่นั่น”
“แต่ผมก็รู้นะทำไมเขา (ฮามันน์) ไม่ค่อยอยากให้เราเสียบอลง่ายๆ คือ เขาก็ขี้เกียจวิ่งไล่บอลเหมือนกัน พวกนักบอลแก่ๆก็แบบนี้ (ฮา) ซึ่งที่นั่นการที่บอลอยู่ในการครอบครองของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วต้องแย่งกลับมามันยากจริงๆ” คาร์ แอบแซวอดีตรุ่นพี่ในแมนฯซิตี้ เล็กน้อย
เกียรติประวุฒิ สายแวว เริ่มใช้เวลาในการปรับตัวกับสปีดบอลในการฝึกซ้อมที่เมืองผู้ดีอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เขาเริ่มทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับผู้เล่นไทยอีก 2 คน โดยเฉพาะ สุรีย์ สุขะ ที่เล่นได้สุดแสนจะกลมกลืนกับนักเตะชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้
“ช่วงหลังผมเล่นปรับตัวได้ เสียบอลยากขึ้น แล้วเห็นคนอื่นในทีมเสียบอล ผมก็ด่ามั่งแล้ว (ฮา) แต่มันก็ขำๆกัน พออกจากสนามซ้อมก็ไม่มีอะไร ส่วน มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ แต่ก็เริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนที่กลมกลืนกว่าใครเพื่อน คือ “พี่เปรม” (สุรีย์ สุขะ) โอ้โห ขานั้นเล่นเหมือนกับอยู่ที่นั่นมานานแล้วเลย”
"ตอนซ้อมที่แมนฯ ซิตี้ ผมคิดว่าผมมีความสุขมากนะ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขกับการซ้อมบอลมากที่สุดในชีวิต แม้ว่าการซ้อมจะเข้มข้นกว่าและหนักกว่าที่เมืองไทยเยอะ แต่ผมรู้สึกมันมีพลังงานบางอย่างที่ออกมาจากตัวผม เพราะการล้อมรอบด้วยแข้งระดับพรีเมียร์ลีก มันทำให้ผมต้องเต็มที่ การฝึกซ้อมจะหมดสนุก หากผมกลายเป็นตัวภาระของเพื่อนร่วมทีม...นักเตะแมนฯ ซิตี้ หลายคนที่มีอัธยาศัยดีมาก พยายามมาพูดคุยกับพวกผม ทั้งพวก ไมก้า ริชาร์ด, โจ ฮาร์ท และ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แต่ผมดันพูดอังกฤษ ไม่แข็งแรง จึงทำให้ความสนิทสนมกับนักเตะในทีมน้อยไปหน่อย” คาร์ เล่าต่อ…
แต่ชีวิตที่เริ่มมีความสุขในแดนผู้ดีของ คาร์-เกียรติประวุฒิ สั้นเพียง 3 เดือน…กราสฮ็อปเปอร์ ซูริค หนึ่งในสโมสรพันธมิตรและทีมชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ เลือก ธีรศิลป์ แดงดา กับ สุรีย์ สุขะ ไปร่วมทีม แต่เขาถูกแยกจาก...ต้องเดินทางไปเบลเยี่ยม เพื่อร่วมทีม คลับ บรูช ของเบลเยี่ยม เพียงลำพัง…
ณ เมืองบรูจส์ สถานที่ตั้งของสโมสร คลับ บรูช เป็นดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเบลเยี่ยม มันเป็นเมืองที่สวยงาม ถูกยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์จากยูเนสโก มันเงียบสงบ ท่ามกลางประชากรเพียงแสนกว่าคน แต่ทีมฟุตบอลอย่าง คลับ บรูช เองก็คว้าแชมป์ลีกได้มากมายถึง 13 สมัย และเป็นรองแชมป์ลีกอีก 21 สมัย แต่ความสวยงามของบ้านเมือง ไม่ได้ทำให้ความเดียวดาย อ้างว้าง และว่างเปล่าของเขาลดน้อยลงกับการใช้ชีวิตในที่ที่เขาไม่สามารถสื่อสารกับใครได้…
“

! นี่ คำแรกที่ผมนึกขึ้นได้เลย พอรู้ว่าต้องไปอยู่คนเดียวที่เบลเยี่ยม” เกียรติประวุฒิ เริ่มเล่าเรื่องราวตอนที่ต้องไปอยู่คนเดียว
“การไปที่เบลเยี่ยมคนเดียว มันคือเรื่องใหญ่ของผมเลยล่ะ แม้ทีแรกผมจะแอบคิดว่ามันคงจะมีอะไรสนุกๆ ที่เบลเยี่ยม แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย เมืองเงียบๆ และก็ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกันได้สักเท่าไหร่ แม้ผมจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แข็งแรง แต่การอยู่อังกฤษ มันก็ยังพอถูๆไถๆได้ แต่ผมเลือกเองไม่ได้”
“อย่างบอกว่าแมนฯซิตี้ เขาก็มีสโมสรพันธมิตรในยุโรปอีกหลายทีม พวกเขาก็จะส่งวิดีโอการเล่น การซ้อมของผม ไปให้หลายๆทีมดู แล้วกราสฮ็อปเปอร์ ก็เลือก มุ้ยกับพี่เปรม ส่วนผม คลับ บรูช ดึงตัวไป เรื่องจะได้เล่นหรือไม่ได้เล่น ค่อยว่ากัน แต่พวกเขาเอาเราไปซ้อมก่อน”
“เชื่อไหมว่า… ผมร้องไห้เกือบทุกวัน ทั้งที่ทางสโมสรได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับเราไว้อย่างดี ผมได้นอนโรงแรมที่ดีที่สุดในเมือง เป็นห้องชุด มี 1 ห้องรับแขก 2 ห้องนอน และ 1 ห้องสันทนาการ แต่ผมกลับไม่มีความสุข”
ชีวิตที่เบลเยี่ยมของ เกียรติประวุฒิ สายแวว ไม่สนุกเอาเสียเลย สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหายจะอาการเหงา, คิดถึงบ้าน, ครอบครัวและเพื่อนฝูง คือ “ฟุตบอล” ทุกๆ ครั้งที่เขาฝึกซ้อม เขาจะลืมทุกเรื่องราว… ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับ คลับ บรูช คือช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2007/2008 มันเหลือเกมให้เขาลงเล่นให้ทีมสำรองอีกไม่นานนัก และเขาแทบนับวันเวลาเฝ้ารอให้ปิดฉากฤดูกาลให้เร็วที่สุด
“วงจรชีวิตที่เบลเยี่ยม น่าเบื่อสุดๆ ทำอะไรเดิมๆแทบจะทุกวัน ซ้อมเช้า ซ้อมเย็น กับทีมสำรอง เชื่อมั๊ย ตอนอยู่ที่นั่นผมเฝ้ารอเวลา 9 โมงเช้าทุกวัน เพื่อที่จะได้ฝึกซ้อม จะได้ลืมทุกๆอย่าง แต่พอถึงเวลากลับบ้าน มันก็ว่างเปล่าอีกแล้ว บางครั้งผมโทรไปหาพี่เปรม (สุรีย์ สุขะ) ที่สวิตเซอร์แลนด์ ที่นั่นยังมีคนไทยอยู่กันเยอะกว่า แกก็ชอบแกล้งผม บอกนี่พี่กับมุ้ยอยู่กับคนไทยที่นี่นะ กำลังกินส้มตำกันอยู่”
“ส่วนผมน่ะเหรอ? บางครั้งพอหลังซ้อมเสร็จ ผมก็เดินไปกินร้านอาหารไทยคนเดียว กินมื้อนึง 2,000-4,000 บาท ถ้าคิดเป็นเงินไทย แล้วก็เดินกลับที่พักคนเดียวระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ที่เดินกลับ ไม่ใช่อะไรหรอก คือ มันไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเดินเล่นไป แต่บ้านเมืองที่นั่นสวยและน่าอยู่มากๆ จริงๆ อันนี้ผมยอมรับ” แข้งวัย 29 ปีอธิบายถึงชีวิตที่เบลเยี่ยม
“ผมโทรกลับมาร้องไห้กับน้องผม กับพี่นพ (อรรณพ สิงห์โตทอง) และพี่เฮง (วิทยา เลาหกุล) บ่อยๆ ผมอยากกลับบ้าน ผมหมดเงินค่าโทรศัพท์ร่วม 2 แสนบาท ตลอดช่วงเวลาประมาณ 2 เดือนที่นั่น และแมตช์สุดท้ายของฤดูกาลของทีมสำรอง เราต้องไปเยือนทีมอะไรสักทีม ซึ่งต้องนั่งรถไปไกลถึง 5 ชั่วโมง… ทันทีที่บอลเตะจบ ผมรีบไปสนามบินและกลับเมืองไทยทันที โดยไม่ได้เก็บของจากห้องพักมาแม้แต่ชิ้นเดียว มันเป็นสโมสรเดียวที่ผมไม่มีของที่ระลึกเก็บไว้ในความทรงจำแม้กระทั่งรูปถ่ายสักใบ”
การกลับมาเมืองไทย ทำให้เขาคลายความเศร้า หายคิดถึงสิ่งที่สะดวกสบาย… เขากลับมาฝึกซ้อมกับชลบุรี เอฟซี ก่อนที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าจนกลายเป็นการบาดเจ็บเรื้อรังในเวลาต่อมา และเมื่อลองมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาในเบลเยี่ยม เขากลับรู้สึกเสียดายสุดชีวิต ว่าทำไมเขาถึงไม่สู้ต่อกับวิถีลูกหนังในยุโรป…
“ผมคิดว่า อาจเป็นเพราะผมยังเด็กเกินไป แต่ผมเสียดายทุกครั้ง ที่ผมไม่อยู่ต่อ ผมเชื่อนะ ถ้าได้มีโอกาสสู้ในทีมสำรองอีกสักปี ผมน่าจะมีโอกาสได้เล่นให้กับทีมชุดใหญ่ หรือถ้าไม่ได้เล่น ผมก็ยังมีโอกาสที่จะได้เล่นทีมอื่นๆ ยุโรป หรือในเบลเยี่ยม ซึ่งมันจะทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้ ทั้งฝีเท้าและความคิด”
“พอกลับมาคิดๆ ที่นั่น (เบลเยี่ยม) ก็สวยงามมากจริงๆนะ ถ้าผมแต่งงานผมคงจะพา (ว่าที่) ภรรยา ไปที่นั่น” เกียรติประวุฒิ พูดแบบหัวเราะเบาๆ
"และหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ยอมแพ้กลับเมืองไทย ผมจะสู้ต่อที่ยุโรป..." เกียรติประวุฒิ สายแวว สารภาพความในใจทิ้งท้าย
ขอบคุณเคดิตจาก
https://www.fourfourtwo.com/th/features/kaalkhranghnuengainyuorp-khamsaarphaaphkhngekiiyrtiprawuthi-saayaeww
กาลครั้งหนึ่งในยุโรป : คำสารภาพของ...เกียรติประวุฒิ สายแวว
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้สักเล็กน้อยประมาณ 1 เดือน...ระหว่างที่ “คาร์” เกียรติประวุฒิ สายแวว กองหลังอนาคตไกล กำลังพักผ่อนอย่างสบายใจอยู่ที่บ้านพักของตัวเอง หลังกลับจากการแข่งขันเอเชี่ยน คัพ 2007 โทรศัพท์มือถือดังขึ้น...เขากดรับแบบไม่คิดอะไร “ฮัลโหล” คาร์รับสาย
“เตรียมตัวให้พร้อมนะ เดี๋ยวเดินทางไปอังกฤษ เพื่อเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้” นี่ คือ ข้อความที่เขาพอจับใจความได้จากปลายสาย ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
“ครับ ครับ ครับ” เกียรติประวุฒิ สายแวว พูดตามน้ำไป...แต่ในใจคิดว่า “กูโดนเพื่อนอำซินะ เอาให้สบายใจเลยละกัน”
"เอาตรงๆนะ…ตอนนั้นผมไม่เชื่อหรอกว่าจะมีนักเตะไทยได้ไปค้าแข้งที่อังกฤษ” เกียรติประวุฒิ สายแวว กองหลังวัย 29 ปีของเชียงรายในปัจจุบัน เริ่มเล่าให้ FFT TH ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตเมื่อปี 2007 “มันต้องเป็นเรื่องตลกล้อเล่นแน่นอน ยิ่งเป็นตัวผม...ไม่มีทางเลย จนพี่นพ (อรรณพ สิงห์โตทอง ผู้บริหารของชลบุรี เอฟซี) โทรมาแจ้งว่าผมจะต้องเดินทางไปอังกฤษ ผมถึงได้เชื่อว่าผมกำลังจะได้ไปอังกฤษ แต่ก็ยังคิดว่า ได้โควต้าไปท่องเที่ยวเยี่ยมชมสโมสรแมนฯ ซิตี้ แต่พอหลังจากนั้นผมมารู้ว่าได้ไปร่วมทีมแมนฯ ซิตี้...บอกๆตรง ผมอึ้งไป 3-4 วัน"
ยุคปี 2007 คือ ช่วงเวลาที่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกรัฐประหาร ได้เข้าไปเทคโอเวอร์ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้… แน่นอนว่านักธุรกิจอย่างเขา ไม่ได้ซื้อสโมสรฟุตบอลมาเป็นของเล่น และการนำนักเตะไทยไปเซ็นสัญญากับทีมดังแดนผู้ดี ก็นับเป็นเป็นการตลาดที่ชาญฉลาดที่สุดอย่างหนึ่ง แม้กระนั้นคนฟุตบอลต่างรู้ดีว่ามันเป็นไม่ได้ที่นักเตะไทย ทั้ง 3 คน ได้แก่ เกียรติประวุฒิ สายแวว, สุรีย์ สุขะ และ ธีรศิลป์ แดงดา จะได้ลงสนาม เพราะเงื่อนไขเกี่ยวกับใบรับรองอนุญาตทำงาน และอื่นๆ อีกมากมาย
"ความจริงก่อนไปอังกฤษ ผมได้โทรคุยกับ “พี่เฮง” วิทยา เลาหกุล แล้วด้วยซ้ำว่าจะได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่นกับต็อตโตริ ถ้าไม่มีโปรแกรมไปอังกฤษมาปาดหน้า ผมได้ไปญี่ปุ่นแล้ว”
“ผมเคยไปที่นั่น (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เป็นการเก็บตัวกับทีมชาตินะ อย่างไรก็ตามครั้งนี้แตกต่างกันออกไป ผมรู้อยู่แล้วว่าการเดินทางไปแมนฯ ซิตี้ เราไม่ได้เล่นที่อังกฤษหรอก คงได้แค่การฝึกซ้อมเท่านั้น แต่มันก็ยังตื่นเต้น แม้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าจะได้ลงสนาม เพราะติดเงื่อนไขปัญหามากมาย ซึ่งผู้ใหญ่ก็บอกเราว่าจะส่งเราไปเล่นกับสโมสรพันธมิตรทีมอื่นๆในยุโรป”
“ผมจำได้เลย… ไปถึงวันแรก เข้าไปเห็นสถานที่ฝึกซ้อมที่คาร์ริงตัน ทั้งสนามซ้อม, อากาศ, สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มันสุดยอดและเป็นมืออาชีพมาก ยิ่งที่เมืองไทยสมัยก่อนนั้นมันไม่มีอะไรเลยด้วย มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันดีไปหมด ภายใต้การทำทีมของ สเวน โกรัน อิริคส์สัน ผมได้เห็นผู้เล่นอย่าง ดีทมาร์ ฮามันน์ ที่ติดตามทางโทรทัศน์และชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กๆ, ดาริอุส วาสเซลล์, จอร์จอร์จ ซามาราส, แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่ตอนนั้นยังเป็นแค่มือ 2”
“และถัดมาอีกวันเราก็ไปนั่งชมเกมดาร์บี้แมตช์ ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับแมนฯ ยูไนเต็ด” คาร์ เริ่มเล่าอย่างอารมณ์ดีทุกอย่างดูแสนสวยงาม… คาร์-เกียรติประวุฒิ ไปพร้อมเพื่อนคนไทยกับ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าทีมชาติรุ่นน้อง กับ “เปรม” สุรีย์ สุขะ กองหลังทีมชาติรุ่นพี่ ทำให้การใช้ชีวิต ณ เมืองแมนเชสเตอร์ ดินแดนทางตอนเหนือของอังกฤษ ไม่หว้าเหว่ เขากระสันอยากจะลงฝึกซ้อมไวๆ แต่ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาพร่ำๆ ในวันแรกของการซ้อม ก็ทำให้เราเศร้าหมองลงไปนิดๆ…
“ผมจำได้เลยวันแรกที่ไปสนามซ้อม ฝนตกปรอยๆ เราเล่นแบ่งข้างกัน 2 ทีม แต่เรารู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเลย ผมแย่งบอลพวกเขาไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว ทุกจังหวะเรารู้สึกว่า ช้าไปกว่าพวกเขาก้าวหนึ่งหมด พอเราวิ่งเข้าหา เขาก็จ่ายบอลหนีออกไปแล้ว” เกียรติประวุฒิ เริ่มพูดถึงการซ้อมวันแรกที่คาร์ริงตัน
“มีครั้งหนึ่ง ผมทำบอลเสียง่ายๆ เชื่อไหม ดีทมาร์ ฮามันน์ ตะโกนด่าผมอย่างหนักจากกลางสนามเลย เขาพูดประมาณว่า บ้านมีฟุตบอลไหม...ยังขี่ควายกันอยู่เหรอ! พูด F*ck you อะไรแบบนี้เลย คือ...ทีแรกผมก็ตกใจเหมือนกัน “พอหลังซ้อมเสร็จเขาก็เดินมากอดคอผม แล้วพูดว่าถ้าผมอยากจะเก่ง ผมก็ต้องยอมรับให้ได้ ผมต้องพัฒนา ที่นี่เราเป็นแบบนี้ อย่าเสียบอลง่ายๆ เช่นเดียวกันถ้าเขาทำบอลเสีย ก็ให้ผมตะโกนด่าเขา แบบที่เขาด่าได้เลย จะด่าอะไรก็ได้ จริงๆนอกสนาม เขาเป็นรุ่นพี่ที่นิสัยดีมากๆ พอจบซ้อมแล้วก็คือจบ ซึ่งที่เราเรียนรู้ได้ชัดเจนก็คือความเอาจริงเอาจังกับการซ้อมที่นั่น”
“แต่ผมก็รู้นะทำไมเขา (ฮามันน์) ไม่ค่อยอยากให้เราเสียบอลง่ายๆ คือ เขาก็ขี้เกียจวิ่งไล่บอลเหมือนกัน พวกนักบอลแก่ๆก็แบบนี้ (ฮา) ซึ่งที่นั่นการที่บอลอยู่ในการครอบครองของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วต้องแย่งกลับมามันยากจริงๆ” คาร์ แอบแซวอดีตรุ่นพี่ในแมนฯซิตี้ เล็กน้อย
เกียรติประวุฒิ สายแวว เริ่มใช้เวลาในการปรับตัวกับสปีดบอลในการฝึกซ้อมที่เมืองผู้ดีอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เขาเริ่มทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับผู้เล่นไทยอีก 2 คน โดยเฉพาะ สุรีย์ สุขะ ที่เล่นได้สุดแสนจะกลมกลืนกับนักเตะชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้
“ช่วงหลังผมเล่นปรับตัวได้ เสียบอลยากขึ้น แล้วเห็นคนอื่นในทีมเสียบอล ผมก็ด่ามั่งแล้ว (ฮา) แต่มันก็ขำๆกัน พออกจากสนามซ้อมก็ไม่มีอะไร ส่วน มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ แต่ก็เริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนที่กลมกลืนกว่าใครเพื่อน คือ “พี่เปรม” (สุรีย์ สุขะ) โอ้โห ขานั้นเล่นเหมือนกับอยู่ที่นั่นมานานแล้วเลย”
"ตอนซ้อมที่แมนฯ ซิตี้ ผมคิดว่าผมมีความสุขมากนะ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขกับการซ้อมบอลมากที่สุดในชีวิต แม้ว่าการซ้อมจะเข้มข้นกว่าและหนักกว่าที่เมืองไทยเยอะ แต่ผมรู้สึกมันมีพลังงานบางอย่างที่ออกมาจากตัวผม เพราะการล้อมรอบด้วยแข้งระดับพรีเมียร์ลีก มันทำให้ผมต้องเต็มที่ การฝึกซ้อมจะหมดสนุก หากผมกลายเป็นตัวภาระของเพื่อนร่วมทีม...นักเตะแมนฯ ซิตี้ หลายคนที่มีอัธยาศัยดีมาก พยายามมาพูดคุยกับพวกผม ทั้งพวก ไมก้า ริชาร์ด, โจ ฮาร์ท และ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แต่ผมดันพูดอังกฤษ ไม่แข็งแรง จึงทำให้ความสนิทสนมกับนักเตะในทีมน้อยไปหน่อย” คาร์ เล่าต่อ…
แต่ชีวิตที่เริ่มมีความสุขในแดนผู้ดีของ คาร์-เกียรติประวุฒิ สั้นเพียง 3 เดือน…กราสฮ็อปเปอร์ ซูริค หนึ่งในสโมสรพันธมิตรและทีมชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ เลือก ธีรศิลป์ แดงดา กับ สุรีย์ สุขะ ไปร่วมทีม แต่เขาถูกแยกจาก...ต้องเดินทางไปเบลเยี่ยม เพื่อร่วมทีม คลับ บรูช ของเบลเยี่ยม เพียงลำพัง…
ณ เมืองบรูจส์ สถานที่ตั้งของสโมสร คลับ บรูช เป็นดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเบลเยี่ยม มันเป็นเมืองที่สวยงาม ถูกยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์จากยูเนสโก มันเงียบสงบ ท่ามกลางประชากรเพียงแสนกว่าคน แต่ทีมฟุตบอลอย่าง คลับ บรูช เองก็คว้าแชมป์ลีกได้มากมายถึง 13 สมัย และเป็นรองแชมป์ลีกอีก 21 สมัย แต่ความสวยงามของบ้านเมือง ไม่ได้ทำให้ความเดียวดาย อ้างว้าง และว่างเปล่าของเขาลดน้อยลงกับการใช้ชีวิตในที่ที่เขาไม่สามารถสื่อสารกับใครได้…
“
“การไปที่เบลเยี่ยมคนเดียว มันคือเรื่องใหญ่ของผมเลยล่ะ แม้ทีแรกผมจะแอบคิดว่ามันคงจะมีอะไรสนุกๆ ที่เบลเยี่ยม แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย เมืองเงียบๆ และก็ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกันได้สักเท่าไหร่ แม้ผมจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แข็งแรง แต่การอยู่อังกฤษ มันก็ยังพอถูๆไถๆได้ แต่ผมเลือกเองไม่ได้”
“อย่างบอกว่าแมนฯซิตี้ เขาก็มีสโมสรพันธมิตรในยุโรปอีกหลายทีม พวกเขาก็จะส่งวิดีโอการเล่น การซ้อมของผม ไปให้หลายๆทีมดู แล้วกราสฮ็อปเปอร์ ก็เลือก มุ้ยกับพี่เปรม ส่วนผม คลับ บรูช ดึงตัวไป เรื่องจะได้เล่นหรือไม่ได้เล่น ค่อยว่ากัน แต่พวกเขาเอาเราไปซ้อมก่อน”
“เชื่อไหมว่า… ผมร้องไห้เกือบทุกวัน ทั้งที่ทางสโมสรได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับเราไว้อย่างดี ผมได้นอนโรงแรมที่ดีที่สุดในเมือง เป็นห้องชุด มี 1 ห้องรับแขก 2 ห้องนอน และ 1 ห้องสันทนาการ แต่ผมกลับไม่มีความสุข”
ชีวิตที่เบลเยี่ยมของ เกียรติประวุฒิ สายแวว ไม่สนุกเอาเสียเลย สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหายจะอาการเหงา, คิดถึงบ้าน, ครอบครัวและเพื่อนฝูง คือ “ฟุตบอล” ทุกๆ ครั้งที่เขาฝึกซ้อม เขาจะลืมทุกเรื่องราว… ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับ คลับ บรูช คือช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2007/2008 มันเหลือเกมให้เขาลงเล่นให้ทีมสำรองอีกไม่นานนัก และเขาแทบนับวันเวลาเฝ้ารอให้ปิดฉากฤดูกาลให้เร็วที่สุด
“วงจรชีวิตที่เบลเยี่ยม น่าเบื่อสุดๆ ทำอะไรเดิมๆแทบจะทุกวัน ซ้อมเช้า ซ้อมเย็น กับทีมสำรอง เชื่อมั๊ย ตอนอยู่ที่นั่นผมเฝ้ารอเวลา 9 โมงเช้าทุกวัน เพื่อที่จะได้ฝึกซ้อม จะได้ลืมทุกๆอย่าง แต่พอถึงเวลากลับบ้าน มันก็ว่างเปล่าอีกแล้ว บางครั้งผมโทรไปหาพี่เปรม (สุรีย์ สุขะ) ที่สวิตเซอร์แลนด์ ที่นั่นยังมีคนไทยอยู่กันเยอะกว่า แกก็ชอบแกล้งผม บอกนี่พี่กับมุ้ยอยู่กับคนไทยที่นี่นะ กำลังกินส้มตำกันอยู่”
“ส่วนผมน่ะเหรอ? บางครั้งพอหลังซ้อมเสร็จ ผมก็เดินไปกินร้านอาหารไทยคนเดียว กินมื้อนึง 2,000-4,000 บาท ถ้าคิดเป็นเงินไทย แล้วก็เดินกลับที่พักคนเดียวระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ที่เดินกลับ ไม่ใช่อะไรหรอก คือ มันไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเดินเล่นไป แต่บ้านเมืองที่นั่นสวยและน่าอยู่มากๆ จริงๆ อันนี้ผมยอมรับ” แข้งวัย 29 ปีอธิบายถึงชีวิตที่เบลเยี่ยม
“ผมโทรกลับมาร้องไห้กับน้องผม กับพี่นพ (อรรณพ สิงห์โตทอง) และพี่เฮง (วิทยา เลาหกุล) บ่อยๆ ผมอยากกลับบ้าน ผมหมดเงินค่าโทรศัพท์ร่วม 2 แสนบาท ตลอดช่วงเวลาประมาณ 2 เดือนที่นั่น และแมตช์สุดท้ายของฤดูกาลของทีมสำรอง เราต้องไปเยือนทีมอะไรสักทีม ซึ่งต้องนั่งรถไปไกลถึง 5 ชั่วโมง… ทันทีที่บอลเตะจบ ผมรีบไปสนามบินและกลับเมืองไทยทันที โดยไม่ได้เก็บของจากห้องพักมาแม้แต่ชิ้นเดียว มันเป็นสโมสรเดียวที่ผมไม่มีของที่ระลึกเก็บไว้ในความทรงจำแม้กระทั่งรูปถ่ายสักใบ”
การกลับมาเมืองไทย ทำให้เขาคลายความเศร้า หายคิดถึงสิ่งที่สะดวกสบาย… เขากลับมาฝึกซ้อมกับชลบุรี เอฟซี ก่อนที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าจนกลายเป็นการบาดเจ็บเรื้อรังในเวลาต่อมา และเมื่อลองมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาในเบลเยี่ยม เขากลับรู้สึกเสียดายสุดชีวิต ว่าทำไมเขาถึงไม่สู้ต่อกับวิถีลูกหนังในยุโรป…
“ผมคิดว่า อาจเป็นเพราะผมยังเด็กเกินไป แต่ผมเสียดายทุกครั้ง ที่ผมไม่อยู่ต่อ ผมเชื่อนะ ถ้าได้มีโอกาสสู้ในทีมสำรองอีกสักปี ผมน่าจะมีโอกาสได้เล่นให้กับทีมชุดใหญ่ หรือถ้าไม่ได้เล่น ผมก็ยังมีโอกาสที่จะได้เล่นทีมอื่นๆ ยุโรป หรือในเบลเยี่ยม ซึ่งมันจะทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้ ทั้งฝีเท้าและความคิด”
“พอกลับมาคิดๆ ที่นั่น (เบลเยี่ยม) ก็สวยงามมากจริงๆนะ ถ้าผมแต่งงานผมคงจะพา (ว่าที่) ภรรยา ไปที่นั่น” เกียรติประวุฒิ พูดแบบหัวเราะเบาๆ
"และหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ยอมแพ้กลับเมืองไทย ผมจะสู้ต่อที่ยุโรป..." เกียรติประวุฒิ สายแวว สารภาพความในใจทิ้งท้าย
ขอบคุณเคดิตจาก https://www.fourfourtwo.com/th/features/kaalkhranghnuengainyuorp-khamsaarphaaphkhngekiiyrtiprawuthi-saayaeww