หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[SR] ลองไปดิ เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔ (Malika R.E.124 The Siamese Living Heritage Town)
กระทู้รีวิว
" ล อ ง ไ ป ดิ " l o n g p a i d e' t h e e x p l o r e r
สวัสดีทุกคน "ขอรับ" ครั้งนี้ผมพาทุกคนไปเที่ยวย้อนยุคกับบรรยากาศในสมัยรัชกาลที่ 5 กันที่ " เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔ "
สำหรับเมืองมัลลิกา ร.ศ.124 จัดสร้างขึ้นภายในเนื้อที่กว่า 60 ไร่ ใน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและวิถีชน ผ่านงานสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาวสยามในอดีตอันแสนงดงามในช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ซึ่งมีการประกาศเลิกทาส และกลายเป็นยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ ซึ่งทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการตั้งเมืองนี้ขึ้นเพื่อถ่ายทอดถึงวิถีชีวิต และภูมิปัญญาของชาวไทยสมัยโบราณ ส่งต่อความทรงจำอันงดงามในอดีตที่เกือบจะเลือนหายสู่คนรุ่นหลัง
สำหรับการเดินทางมา เมืองมัลลิกาตั้งอยู่ตรงทางเข้าประสาทเมืองสิงห์ ติดปั๊มบางจาก ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ห่างจากตัวเมืองกาญประมาณ 32 กม.
เมื่อมาถึงจะพบกับประตูใหญ่โตอลังการ พร้อมกำแพงเมืองที่ทอดยาวและผู้คนที่ดูแต่งตัวแปลกตาไปจากยุคปัจจุบัน จะรออะไรเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ไปซื้อตั๋ว และเช่าชุดเปลี่ยนโดยไวเลย
สำหรับอัตราค่าเข้าโปรโมชั่นค่าเข้าชมเดือนเมษายน 2560
ผู้ใหญ่ 200 บาท/ เด็ก, ผู้สูงอายุและผู้พิการ 100 บาท
ค่าเข้าชม+ สำรับเย็น + ชมการแสดง ราคา ผู้ใหญ่ 700 บาท เด็ก 350 บาท (โปรโมชั่นลด 10%)
เด็ก - ความสูงต่ำกว่า 100 cm. เข้าฟรี
เด็กความสูงตั้งแต่ 100 - 130 cm. และผู้สูงอายุ - อายุ 70 ปีขึ้นไปใช้ราคาเด็ก
ที่ขาดไม่ได้คือต้องแลกเงินเข้าไปใช้จับจ่ายด้วยนะขอรับ อัตราแลกเงิน5 บาท = 1 สตางค์
ส่วนค่าเช่าชุดไทย ผู้หญิงแบบสไบ 200 บาท / แบบลูกไม้สีขาวแขนยาวสมัย ร. 5 : 300 บาท, ผู้ชาย 100 บาท / ผู้ชายแบบราชปะแตน 300 บาท และ เด็ก 50 บาท ขอรับ
เมื่อผ่านประตูเมืองเข้าไปจุดแรกที่พบคือ"สะพานหัน"เพื่อข้ามไปยังในเมือง ชื่อนี้เรียกตามจากลักษณะของตัวสะพานที่สมัยก่อนนั้น จะเป็นไม้แผ่นเดียวพาดข้ามคลอง ปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ ส่วนอีกข้างจะไม่ตอกติด จับหันไปมาได้เพื่อให้เรือแล่นผ่านได้
ภายในสะพานก็จะพบกับพ่อค้าแม่ค้ามาวางของขายซึ่งนั่นบอกเลยว่าเรากำลังเข้าสู่"ย่านการค้า"นั่นเอง
ระหว่างเดินข้ามสะพานหัน ก็จะได้ยินเสียงพูดจา “เจ้าคะ” “เจ้าค่ะ” “ขอรับ”เพื่อเชื้อเชิญให้ลองชิมอาหาร ทุกคนต่างใส่โจงกระเบนและผ้าแถบรัดอกสีน้ำตาล ทุกคนดูอินมากรวมถึงตัวผมด้วย "ขอรับ" ฮ่าๆๆ
จากนั้นจะพบกับการจำลองย่านการค้าที่คึกคักในสมัยนั้น เช่น ย่านสามแพร่ง ย่านเยาวราช ย่านบางรัก ที่มีร้านรวงมากมายไม่ว่าจะเป็น ร้านข้าวโพดคั่ว ร้านขนมไทยโบราณ เช่น ขนมจ่ามงกุฏ ขนมทองเอก ขนมหยกมณี ขนมบุหลันดั้นเมฆ ขนมครก ขนมน้ำดอกไม้ ขนมเรไร ขนมบ้าบิ่น ข้าวไข่ปลา เป็นต้น ซึ่งอาหารทุกอย่างที่จำหน่ายภายในเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นสูตรจากชาววังขนานแท้
ระหว่างเดินในย่านการค้าจะเห็นวิธีการผลิตอย่างละเอียด ด้วยการใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิมที่ยากต่อการควบคุมอุณหภูมิไฟให้คงที่ สะท้อนความวิริยะและความพิถีพิถันในการประกอบอาหารคาวหวานของคนสมัยก่อน
เดินไปสักพักรู้ตัวอีกทีก็ต่อแถวซื้อชิมไปทุกร้านแล้วขอรับ ฮ่าๆ
นอกจากนี้ยังมีร้านยำส้มโอ ร้านหมูสะเต๊ะ ร้านนวดแผนไทย ร้านเครื่องเผา ถ้วยชาม ร้านน้ำอบ-น้ำหอม
ถัดจากย่านการค้ามาที่เรือนชาวบ้านซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนา มีหน้าที่ผลิตปัจจัยพื้นฐานในการยังชีพด้วยการ ทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกผัก ณ เรือนนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง ตั้งแต่การเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งต่อไปใช้ในเรือนครัว กระบวนการสีและตำข้าวแบบโบราณ เพื่อให้ได้ข้าวสารมาบริโภค
วิธีหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ หุงด้วยเตาถ่าน ไปได้จังหวะข้าวสุกหอมกำลังดี ขอชิมนิดนึงโอ้โหอร่อยมากขอรับ
ว่าแล้วก็ขอแอบไปดูในครัวกันเลยว่าเค้าทำอะไรกันอยู่จริงๆจะเนียนขอชิมฮ่าๆๆ
รอยยิ้มจากคุณป้าน่ารักมาก ป้าเรียกเข้ามาเลยเจ้าค่าาาา มาชิมเลยจะช้าอยู่ใย ฮ่าๆๆ
สิ่งนึงที่เห็นมากกว่าการได้มาเที่ยวคือทุกคนที่นี่เค้าอยู่กันได้เองจริงๆทุกอย่างต้องช่วยกันทำจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ถ้าไม่มีคนทำนา ก็ไม่มีข้าวให้คนในเมืองกิน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าเห็นรอยยิ้มเห็นการพึ่งพาอาศัยกัน
จากใต้ถุนขึ้นไปบนเรือนกันบ้าง
เรือนคหบดี ซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชั้นปกครอง กิจกรรมบนเรือนแห่งนี้จะเน้นงานไปที่งานฝีมือ เช่น งานใบตอง งานดอกไม้ งานเครื่องแขวน งานแกะสลัก ซึ่งเป็นผลงานศิลปะแสนประณีตที่หาชมได้ยาก
แน่นอนแต่งตัวมาขนาดนี้ต้องได้ลองขอเป็นท่านเจ้าคุณซักหน่อย ฮ่าๆๆ
ถัดจากเรือนท่านเจ้าคุณ ไปขึ้นเรือนเพื่อนข้างบ้านกันดูบ้างขอรับ
ชื่อสินค้า:
เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔
คะแนน:
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ : 1.4 พัน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[SR] ลองไปดิ เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔ (Malika R.E.124 The Siamese Living Heritage Town)
สวัสดีทุกคน "ขอรับ" ครั้งนี้ผมพาทุกคนไปเที่ยวย้อนยุคกับบรรยากาศในสมัยรัชกาลที่ 5 กันที่ " เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔ "
สำหรับเมืองมัลลิกา ร.ศ.124 จัดสร้างขึ้นภายในเนื้อที่กว่า 60 ไร่ ใน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและวิถีชน ผ่านงานสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาวสยามในอดีตอันแสนงดงามในช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ซึ่งมีการประกาศเลิกทาส และกลายเป็นยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ ซึ่งทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการตั้งเมืองนี้ขึ้นเพื่อถ่ายทอดถึงวิถีชีวิต และภูมิปัญญาของชาวไทยสมัยโบราณ ส่งต่อความทรงจำอันงดงามในอดีตที่เกือบจะเลือนหายสู่คนรุ่นหลัง
สำหรับอัตราค่าเข้าโปรโมชั่นค่าเข้าชมเดือนเมษายน 2560
ผู้ใหญ่ 200 บาท/ เด็ก, ผู้สูงอายุและผู้พิการ 100 บาท
ค่าเข้าชม+ สำรับเย็น + ชมการแสดง ราคา ผู้ใหญ่ 700 บาท เด็ก 350 บาท (โปรโมชั่นลด 10%)
เด็ก - ความสูงต่ำกว่า 100 cm. เข้าฟรี
เด็กความสูงตั้งแต่ 100 - 130 cm. และผู้สูงอายุ - อายุ 70 ปีขึ้นไปใช้ราคาเด็ก
ส่วนค่าเช่าชุดไทย ผู้หญิงแบบสไบ 200 บาท / แบบลูกไม้สีขาวแขนยาวสมัย ร. 5 : 300 บาท, ผู้ชาย 100 บาท / ผู้ชายแบบราชปะแตน 300 บาท และ เด็ก 50 บาท ขอรับ
เมื่อผ่านประตูเมืองเข้าไปจุดแรกที่พบคือ"สะพานหัน"เพื่อข้ามไปยังในเมือง ชื่อนี้เรียกตามจากลักษณะของตัวสะพานที่สมัยก่อนนั้น จะเป็นไม้แผ่นเดียวพาดข้ามคลอง ปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ ส่วนอีกข้างจะไม่ตอกติด จับหันไปมาได้เพื่อให้เรือแล่นผ่านได้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น