**คำเตือน**
รีวิวนี้เต็มไปด้วยตัวหนังสือ อาจมีภาพน้อยกว่ากระทู้ท่องเที่ยวทั่วไป โปรดใช้ความอดทนในการติดตาม ขอบคุณค่ะ : D

สำหรับเรา การจะออกเดินทางซักทริปนึงมันต้องมีแรงบันดาลใจ เพื่อเป็นเป้าหมายกว้างๆ ให้เราได้ท้าทายตัวเอง ทริปนี้ก็เช่นกัน...
ครอบครัวของฉันเป็นบ้านที่ชอบเที่ยวมาก ไม่ว่าที่ไหนของประเทศไทย พ่อกับแม่พาฉันไปเกือบทุกที่แล้วตั้งแต่ฉันและน้องยังเด็กๆ (ยกเว้นทะเลภาคใต้ ด้วยเหตุผลว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบเที่ยวทางน้ำซักเท่าไหร่) เวลาผ่านไป โอกาสนำพาให้เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศโอมาน เป็นประเทศที่เราไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าหน้าตามันเป็นยังไง ด้วยความเป็นประเทศตะวันออกกลาง ไม่มีอะไรที่เหมือนกับประเทศที่เราเคยอยู่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ทุกอย่างจึงแปลกใหม่และมหัศจรรย์ไปหมด โดยเฉพาะ ‘ทะเลทราย’ ก็เหมือนเด็กภูเขาที่ไม่เคยเห็นทะเลนั่นแหละ เมื่อได้ไปถึงจริงๆ ก็รู้สึกชอบมากแล้วก็มีความคิดขึ้นมาว่า อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นในสิ่งที่เราเห็นนี้ด้วยจัง ความคิดนี้จึงเก็บเป็น wish list ในใจตลอดมาไม่เคยบอกใคร จนเมื่อโอกาสและเงินเก็บมีมากพอ ทริปนี้จึงเกิดขึ้น
ตอนที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ เรามีรายได้และอิสรภาพมากพอที่จะไปในที่ๆ เราฝันอยากจะไปได้แล้ว ก็เริ่มออกท่องเที่ยวคนเดียว ครั้งแรกที่ออกเดินทางคนเดียวจริงๆ มันท้าทายจิตใจเรามาก สามารถไปอ่านจากกระทู้เก่าเราได้ : ) แต่ตอนนี้เราค้นพบแล้วว่า สิ่งที่ท้าทายกว่าการไปเที่ยวคนเดียวคือ การพาพ่อแม่เที่ยวเอง นี่แหละ ท้าทายไปอีกขั้น เราเลยเริ่มต้นที่ประเทศที่เราคุ้นเคยก่อน คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เพราะเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็อยู่แค่ในดูไบ) แต่ละสถานที่ที่เราเลือกจะไปก็เลยมาจากหลายๆ อย่างประกอบกันคือ ที่ที่เราอยากไปเห็น + ที่ที่เราอยากให้พ่อกะแม่ได้เห็น + และที่ที่ต้องไปเห็นเพื่อให้พ่อแม่ไปเล่าให้เพื่อนเค้าฟังได้ 555 และมีเหตุผลอีกหลายข้อที่เลือกไปที่นี่นอกเหนือจากที่ว่ามาคือ
1. ช่วงปลายปี 2016 สายการบิน FlyDubai เพิ่งเปิดเส้นทางมาลงที่ BKK จึงมีตั๋วโปรมากมาย ทางเราจึงรีบกดจองอย่างไม่รอช้า (ค่าตั๋ว 4 คน + ซื้อน้ำหนักกระเป๋า 1 คน ไป-กลับ รวมแล้ว 33,xxx บาท)
2. UAE เป็นประเทศที่เดินทางง่าย Taxi มีมิเตอร์ (Taxi ที่โอมานไม่มีมิเตอร์ หายนะมากๆ XD) และมีความเจริญ สะดวกสบายมากพอสำหรับคนสูงอายุ เช่น ร้านอาหารดีๆ ถนนหนทาง ที่ชอปปิ้ง บรรยากาศต่างๆ เป็นต้น
3. ยังมีอีกหลายที่ใน UAE ที่เรายังไม่เคยไป
ก่อนเดินทาง ด้วยความที่พ่อกะแม่เราเสพข่าวเยอะมาก ก็จะกังวลเรื่อง ISIS บ้าง อากาศบ้าง อาหารบ้าง และเรื่องกลิ่น ซึ่งเราจะขออธิบายตามนี้
1. จากการคอยเช็คข่าวและมีเพื่อนอยู่ในประเทศแถบนี้ ก็ค่อนข้างหายห่วงเรื่องความปลอดภัย ฉะนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในช่วงที่เดินทาง
2. ประเทศทะเลทราย ต้องร้อนแน่ๆ ซึ่งไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะช่วงเดือน ธ.ค.-มี.ค. อากาศจะเย็นเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเลย และมีฝนตกประปราย หรืออาจจะเจอพายุทราย หากใครจะเดินทางช่วงนี้ก็ให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย และแว่นตากันแดดคือห้ามลืม เพราะแดดค่อนข้างเข้มและลมแรงกว่าบ้านเรา ส่วนการใช้ชีวิตของคนที่นี่จะไม่ค่อยอยู่กลางแจ้งเพราะเค้าก็กลัวร้อนเหมือนกัน ร้านอาหารร้านค้าต่างๆ จะปิดบริการช่วงบ่ายและเปิดอีกทีตอนเย็น (ยกเว้นในห้างฯ จะเปิดตลอดค่ะ)
3. อาหารอารบิกที่นิยมส่วนใหญ่จะทำจาก เนื้อไก่ เนื้อวัว และเนื้อแกะ และมักจะทำให้สุกด้วยการย่าง กินกับแผ่นแป้งปิ้งหรือข้าว แต่ก็ไม่ได้มีแต่อาหารอารบิกเท่านั้น ที่นี่สามารถหาอาหารไทย จีน อินเดีย อิตาเลียน กินได้ครบทุกชาติเลยล่ะ
4. กลิ่น ขึ้นชื่อว่าแขก ทุกคนกลัวเรื่องกลิ่นมาก่อน แต่ตั้งแต่เราไปอยู่เมืองแขก เราขอแก้ต่างให้แขกว่า ไม่ใช่แขกทุกคนจะตัวเหม็น 5555 แขกที่มีกลิ่นตัวนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดีย เน้นว่าส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทุกคนนาจาาา (ขออนุญาตพาดพิง) ส่วนแขกชาวอาหรับนั้นจะเป็นกลิ่นเครื่องหอมที่เรียกว่า กำยาน (Frankincense) เวลาไปตามที่ต่างๆ แม้แต่ห้างสรรพสินค้าก็จะได้กลิ่นนี้ตลอด เพราะฉะนั้นต้องแยกว่าเป็นแขกจากถิ่นไหนจ้าาา
เกริ่นมายาวละ ออกเดินทางกันเถอะ!
จองตั๋วและขอวีซ่า
การขอวีซ่าเข้า UAE นั้นง่ายมาก โดยการทำผ่านการจองตั๋วบินกับสายการบินแขก บริษัททัวร์ หรือโรงแรมใน UAE ของเราคือจองตั๋วกับ FlyDubai ก็เลยทำวีซ่ากับเค้าด้วยเลย เราส่งเอกสารผ่านทางอีเมล ไม่ต้องไปยื่นเอกสารที่สถานทูตด้วยตัวเอง โอนเงิน และก็ได้วีซ่ากลับมาทางอีเมล สะดวกมากๆ ค่ะ
เริ่มกางตารางกันเลยดีกว่า
UAE นั้นก็มีลักษณะคล้ายๆ อเมริกา คือแบ่งเป็นรัฐ มีสองรัฐที่เราคุ้นหูที่สุดก็คือ กรุงอาบูดาบีเป็นเมืองหลวงซึ่งกินพื้นที่ใหญ่ที่สุด และดูไบ (เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้ทำงานแถวนี้ เราเข้าใจว่าเป็นประเทศมาตลอด) และรัฐอื่นๆ อีก 5 รัฐ ดังนั้นเราจึงเน้นที่สองเมืองนี้มากที่สุดจ้า
Day 1
วันแรกเป็นการชมเมืองทั้งในดูไบและอาบูดาบี หลังจากเช็คอิน เก็บข้าวของไว้ที่โรงแรม เราก็เช่ารถพร้อมคนขับจากโรงแรม คิดราคาอยู่ที่ 700 AED ซึ่งบางคนอาจจะซื้อ One day tour จากที่นั่นเลย แต่เรามีสถานที่ๆ เราอยากไปอยู่แล้ว บางที่เราไม่อยากไปก็ตัดได้ เลยคิดว่าเช่ารถพร้อมคนขับนี่แหละสบายใจสุด
พี่คนขับของเราเป็นชาวอินเดียที่สุภาพมาก เค้าแนะนำสถานที่และพาเราไปแบบไม่หงุดหงิดเลย เพราะบางที่เราก็เฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่มันเป็น ‘ที่ที่ต้องไปเห็นเพื่อให้พ่อแม่ไปเล่าให้เพื่อนเค้าฟังได้’ คือ Jumeirah Beach, Burj Al Arab Hotel, The Palm-Atlantis Hotel จากนั้นเค้าก็ขับพาชมวิวไปตามโค้งของ The Palm Jumeirah จนสุดโค้ง ก็เริ่มเบื่อละ เพราะมันมีแต่โรงแรม รีสอร์ท ทั้งที่สร้างเสร็จและกำลังสร้าง ห้าดาวหกดาวสลับกันไป เลยบอกเค้าว่าขอไปที่เป้าหมายของวันนี้เลยละกัน คือ Sheikh Zayed Grand Mosque
เราเดินทางออกจากดูไบสู่อาบูดาบีใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ ถนนที่นี่ดีมากกก กว้างขวาง ไม่มีหลุมบ่อขรุขระ แต่ด้วยความที่ถนนดีมาก รถก็จะขับกันเร็ว ดังนั้นแต่ละช่วงก็จะมีกล้องคอยจับความเร็วเป็นระยะๆ ซึ่งมันเวิร์คมากกับที่นี่ เพราะเมื่อคนขับเห็นกล้องนี่ก็จะลดความเร็วลงทันที แต่พอพ้นระยะก็เร่งความเร็วเหมือนเดิมสลับไปมาตลอดทาง นอกจากกล้องที่มีประสิทธิภาพแล้ว ที่มันเวิร์คมากเพราะค่าปรับเค้าโหดด้วย ค่าปรับสำหรับความผิดขับเร็วเกินกำหนดอยู่ที่ 600-800 AED(ประมาณ 6000-8000 บาท) ถ้าอยากรู้ว่าเค้าปรับข้อหาอะไรบ้างและโหดแค่ไหน ลองดูที่นี่เลยค่ะ
http://www.khaleejtimes.com/nation/transport/list-of-traffic-violations-and-fines-in-dubai
ก่อนจะถึง Sheikh Zayed Grand Mosque เราขอแวะ Heritage Village and Museum ก่อน
Heritage Village and Museum
มิวเซียมนี้ไม่ใหญ่มาก ข้างในก็เป็นการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ วิถีชีวิตในทะเลทราย ซึ่งไม่เสียค่าเข้าและนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร ในช่วงที่เราไปเค้าปิดถนน เลยต้องเดินร่วม 2 กม. จากที่จอดรถ ถ้ามาเองแบบไม่มีคนพามานี่คงท้อใจไม่เดิน แต่เห็นว่าใครๆ ก็เดิน ก็ต้องเดิน! 555
แต่จุดที่เราชอบนั้นไม่ได้อยู่ในมิวเซียมเลย แต่เป็นด้านหลัง ซึ่งถ้าไม่เดินไปเข้าห้องน้ำก็คงไม่เห็นภาพนี้
หาดทรายสีขาว น้ำทะเลสีฟ้าใส กับฝูงนกนางนวล และฉากหลังเป็นตึกสูง อากาศเย็นๆ อีก ดีสุดๆ ไปเรยยย
Sheikh Zayed Grand Mosque
หลังจากเดินเท้ากลับออกมาจากมิวเซียมอีกร่วม 2 กม. ก็เดินทางไปมุ่งสู่ Sheikh Zayed Grand Mosque ก่อนจะเข้าเรื่องนั้น ก็ต้องอธิบายเรื่องการเตรียมตัวอันเต่า

ของตัวเราก่อน อะไรที่ว่าแน่ก็แพ้ความหยิ่งผยองมั่นใจของตนเองว่าเคยไปมัสยิดที่โอมานมาแล้ว ก่อนเดินทาง เราได้บรีฟทุกคนเรื่องการแต่งตัวเข้ามัสยิดว่า ผู้ชายแต่งยังไงก็ได้ขอแค่สุภาพ คือใส่เสื้อแขนสั้น/กางเกงขาสั้น ได้ แต่ผู้หญิงต้องแขนยาว ขายาว และมีผ้าคลุมหัว เราแม่ลูกก็จัดการ match look ของตัวเองอย่างดี ตัดภาพมาที่ทางเข้ามัสยิด จะมีอาคารเล็กๆ ที่แยกทางเข้าเป็นชาย/หญิง เพื่อเข้าเครื่องตรวจเหมือนในสนามบิน ถัดมาก็เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อคลุม เราก็ไม่ได้สนใจเพราะมั่นใจว่าแต่งตัวมาถูกเป๊ะ ก็เดินออกมาเรื่อยๆ จนถึงตัวมัสยิด ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาหา
จนท.: ยูต้องไปเปลี่ยนชุด
เรา: (ก็งงดิ นี่ก็ขายาว แขนยาว แล้วนะ ผ้าคลุมหัวก็มี) ทำไมต้องเปลี่ยนอะ จนท.ในนั้น (มือชี้ไปที่อาคารที่เพิ่งออกมา) ไม่เห็นบอกเลยว่าต้องเปลี่ยน
จนท.: (ชี้มาที่แขนเสื้อเรา) ชุดนี้เข้าไม่ได้ แขนเสื้อยูยาวไม่พอ
เรา: แต่คนในนั้นไม่เห็นบอกเลยว่ามันผิด (ยังพยายามเถียง)
จนท.: คนในนั้นไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน ไอคือคนตัดสิน
เรา: หืมมม (ข่ะ ก็ได้ข่ะ ก้มหน้ามองแขนเสื้อตัวเองที่ยาวแค่สามส่วน ปิดไม่ถึงข้อมือ ดึงยังไงก็ไม่รอดค่ะ T___T)
ก็เลยเดินเซ็งๆ ไปที่เดิมเพื่อไปเอาชุดนักเรียนฮอกวอตส์มาใส่ทับ 555 ส่วนคนอื่นรอดสบ๊ายย
ที่มัสยิดนี้มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลค่อนข้างเข้มงวดคอย แม้แต่เวลาเราเดินไปมาแล้วหมวกเสื้อคลุมมันอยู่แค่ครึ่งหัว เค้าก็จะเดินมาเตือนละ จะทำอะไรก็ต้องค่อนข้างสำรวมค่ะ
จุดเด่นของที่นี่คือ หินอ่อนสีขาวและลวดลายดอกไม้กับ Islamic pattern ที่ประดับอยู่ตามพื้น เสา ผนัง กระจก เพดาน สวยงามอ่อนช้อย ซึ่งต่างจาก Sultan Qaboos Grand Mosque ที่โอมาน ที่นั่นจะไม่มีลวดลายตามที่ต่างๆ เลย ขาวๆ คลีนๆ
นอกจากนี้ยังมีความใหญ่โตอลังการอีกสองอย่างคือ พรมที่อยู่ในโถงใหญ่นั้นเป็นพรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาถึง 2 ปีในการทำตั้งแต่ออกแบบลวดลาย ถัก และนำมาประกอบเป็นผืนเดียวกัน และโคมไฟ Chandelier ทั้งหมด 7 โคม โคมที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ Main prayer hall หนักถึง 12 ตัน ส่วนอีก 6 โคมนั้นจะมี design เหมือนกัน แต่ต่างสีต่างขนาดกัน
ด้วยความที่เราไปถึงที่มัสยิดบ่ายเกือบเย็นแล้ว ก็เลยได้ถ่ายชอตมัสยิดพร้อมกับพระอาทิตย์ตกด้วย : )
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการแนะนำร้านอาหารอารบิกในดูไบค่ะ ชื่อร้าน Reem Al Bawadi อยู่ย่าน Downtown อาหารอร่อยทุกอย่าง ตามภาพนี้เสียหายไป 308 AED ค่ะ
หลังจากเดินออกมาจากร้าน หันหลังกลับไป เราจะเจอกับภาพนี้ค่ะ : )
Day 2
ยอมรับเลยว่าการค้างคืนในทะเลทรายนั้นเป็นกิจกรรมบังคับจากเราเอง 555+ เพราะเราเคยไปมาแล้วมันดีจริงๆ และครั้งนี้มันเหนือความคาดหมายจากประสบการณ์ของเรามากๆ
ทะเลทรายใน UAE นั้น อธิบายง่ายๆ ก็คือมีให้เลือกแบบ ทะเลบางแสนกับทะเลสิมิลัน แบบทะเลบางแสนก็จะใกล้ดูไบ ใช้เวลาแค่วันเดียว ค้างหรือไม่ค้างคืนก็ได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีการแสดงให้ดู เป็นต้น แต่สำหรับเรา ไหนๆ ก็มาแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด The Empty Quarter
[CR] The Empty Quarter กับชีวิตกลางทะเลทรายจริงๆ ครั้งแรก
รีวิวนี้เต็มไปด้วยตัวหนังสือ อาจมีภาพน้อยกว่ากระทู้ท่องเที่ยวทั่วไป โปรดใช้ความอดทนในการติดตาม ขอบคุณค่ะ : D
สำหรับเรา การจะออกเดินทางซักทริปนึงมันต้องมีแรงบันดาลใจ เพื่อเป็นเป้าหมายกว้างๆ ให้เราได้ท้าทายตัวเอง ทริปนี้ก็เช่นกัน...
ครอบครัวของฉันเป็นบ้านที่ชอบเที่ยวมาก ไม่ว่าที่ไหนของประเทศไทย พ่อกับแม่พาฉันไปเกือบทุกที่แล้วตั้งแต่ฉันและน้องยังเด็กๆ (ยกเว้นทะเลภาคใต้ ด้วยเหตุผลว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบเที่ยวทางน้ำซักเท่าไหร่) เวลาผ่านไป โอกาสนำพาให้เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศโอมาน เป็นประเทศที่เราไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าหน้าตามันเป็นยังไง ด้วยความเป็นประเทศตะวันออกกลาง ไม่มีอะไรที่เหมือนกับประเทศที่เราเคยอยู่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ทุกอย่างจึงแปลกใหม่และมหัศจรรย์ไปหมด โดยเฉพาะ ‘ทะเลทราย’ ก็เหมือนเด็กภูเขาที่ไม่เคยเห็นทะเลนั่นแหละ เมื่อได้ไปถึงจริงๆ ก็รู้สึกชอบมากแล้วก็มีความคิดขึ้นมาว่า อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นในสิ่งที่เราเห็นนี้ด้วยจัง ความคิดนี้จึงเก็บเป็น wish list ในใจตลอดมาไม่เคยบอกใคร จนเมื่อโอกาสและเงินเก็บมีมากพอ ทริปนี้จึงเกิดขึ้น
ตอนที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ เรามีรายได้และอิสรภาพมากพอที่จะไปในที่ๆ เราฝันอยากจะไปได้แล้ว ก็เริ่มออกท่องเที่ยวคนเดียว ครั้งแรกที่ออกเดินทางคนเดียวจริงๆ มันท้าทายจิตใจเรามาก สามารถไปอ่านจากกระทู้เก่าเราได้ : ) แต่ตอนนี้เราค้นพบแล้วว่า สิ่งที่ท้าทายกว่าการไปเที่ยวคนเดียวคือ การพาพ่อแม่เที่ยวเอง นี่แหละ ท้าทายไปอีกขั้น เราเลยเริ่มต้นที่ประเทศที่เราคุ้นเคยก่อน คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เพราะเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็อยู่แค่ในดูไบ) แต่ละสถานที่ที่เราเลือกจะไปก็เลยมาจากหลายๆ อย่างประกอบกันคือ ที่ที่เราอยากไปเห็น + ที่ที่เราอยากให้พ่อกะแม่ได้เห็น + และที่ที่ต้องไปเห็นเพื่อให้พ่อแม่ไปเล่าให้เพื่อนเค้าฟังได้ 555 และมีเหตุผลอีกหลายข้อที่เลือกไปที่นี่นอกเหนือจากที่ว่ามาคือ
1. ช่วงปลายปี 2016 สายการบิน FlyDubai เพิ่งเปิดเส้นทางมาลงที่ BKK จึงมีตั๋วโปรมากมาย ทางเราจึงรีบกดจองอย่างไม่รอช้า (ค่าตั๋ว 4 คน + ซื้อน้ำหนักกระเป๋า 1 คน ไป-กลับ รวมแล้ว 33,xxx บาท)
2. UAE เป็นประเทศที่เดินทางง่าย Taxi มีมิเตอร์ (Taxi ที่โอมานไม่มีมิเตอร์ หายนะมากๆ XD) และมีความเจริญ สะดวกสบายมากพอสำหรับคนสูงอายุ เช่น ร้านอาหารดีๆ ถนนหนทาง ที่ชอปปิ้ง บรรยากาศต่างๆ เป็นต้น
3. ยังมีอีกหลายที่ใน UAE ที่เรายังไม่เคยไป
ก่อนเดินทาง ด้วยความที่พ่อกะแม่เราเสพข่าวเยอะมาก ก็จะกังวลเรื่อง ISIS บ้าง อากาศบ้าง อาหารบ้าง และเรื่องกลิ่น ซึ่งเราจะขออธิบายตามนี้
1. จากการคอยเช็คข่าวและมีเพื่อนอยู่ในประเทศแถบนี้ ก็ค่อนข้างหายห่วงเรื่องความปลอดภัย ฉะนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในช่วงที่เดินทาง
2. ประเทศทะเลทราย ต้องร้อนแน่ๆ ซึ่งไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะช่วงเดือน ธ.ค.-มี.ค. อากาศจะเย็นเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเลย และมีฝนตกประปราย หรืออาจจะเจอพายุทราย หากใครจะเดินทางช่วงนี้ก็ให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย และแว่นตากันแดดคือห้ามลืม เพราะแดดค่อนข้างเข้มและลมแรงกว่าบ้านเรา ส่วนการใช้ชีวิตของคนที่นี่จะไม่ค่อยอยู่กลางแจ้งเพราะเค้าก็กลัวร้อนเหมือนกัน ร้านอาหารร้านค้าต่างๆ จะปิดบริการช่วงบ่ายและเปิดอีกทีตอนเย็น (ยกเว้นในห้างฯ จะเปิดตลอดค่ะ)
3. อาหารอารบิกที่นิยมส่วนใหญ่จะทำจาก เนื้อไก่ เนื้อวัว และเนื้อแกะ และมักจะทำให้สุกด้วยการย่าง กินกับแผ่นแป้งปิ้งหรือข้าว แต่ก็ไม่ได้มีแต่อาหารอารบิกเท่านั้น ที่นี่สามารถหาอาหารไทย จีน อินเดีย อิตาเลียน กินได้ครบทุกชาติเลยล่ะ
4. กลิ่น ขึ้นชื่อว่าแขก ทุกคนกลัวเรื่องกลิ่นมาก่อน แต่ตั้งแต่เราไปอยู่เมืองแขก เราขอแก้ต่างให้แขกว่า ไม่ใช่แขกทุกคนจะตัวเหม็น 5555 แขกที่มีกลิ่นตัวนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดีย เน้นว่าส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทุกคนนาจาาา (ขออนุญาตพาดพิง) ส่วนแขกชาวอาหรับนั้นจะเป็นกลิ่นเครื่องหอมที่เรียกว่า กำยาน (Frankincense) เวลาไปตามที่ต่างๆ แม้แต่ห้างสรรพสินค้าก็จะได้กลิ่นนี้ตลอด เพราะฉะนั้นต้องแยกว่าเป็นแขกจากถิ่นไหนจ้าาา
เกริ่นมายาวละ ออกเดินทางกันเถอะ!
จองตั๋วและขอวีซ่า
การขอวีซ่าเข้า UAE นั้นง่ายมาก โดยการทำผ่านการจองตั๋วบินกับสายการบินแขก บริษัททัวร์ หรือโรงแรมใน UAE ของเราคือจองตั๋วกับ FlyDubai ก็เลยทำวีซ่ากับเค้าด้วยเลย เราส่งเอกสารผ่านทางอีเมล ไม่ต้องไปยื่นเอกสารที่สถานทูตด้วยตัวเอง โอนเงิน และก็ได้วีซ่ากลับมาทางอีเมล สะดวกมากๆ ค่ะ
เริ่มกางตารางกันเลยดีกว่า
UAE นั้นก็มีลักษณะคล้ายๆ อเมริกา คือแบ่งเป็นรัฐ มีสองรัฐที่เราคุ้นหูที่สุดก็คือ กรุงอาบูดาบีเป็นเมืองหลวงซึ่งกินพื้นที่ใหญ่ที่สุด และดูไบ (เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้ทำงานแถวนี้ เราเข้าใจว่าเป็นประเทศมาตลอด) และรัฐอื่นๆ อีก 5 รัฐ ดังนั้นเราจึงเน้นที่สองเมืองนี้มากที่สุดจ้า
Day 1
วันแรกเป็นการชมเมืองทั้งในดูไบและอาบูดาบี หลังจากเช็คอิน เก็บข้าวของไว้ที่โรงแรม เราก็เช่ารถพร้อมคนขับจากโรงแรม คิดราคาอยู่ที่ 700 AED ซึ่งบางคนอาจจะซื้อ One day tour จากที่นั่นเลย แต่เรามีสถานที่ๆ เราอยากไปอยู่แล้ว บางที่เราไม่อยากไปก็ตัดได้ เลยคิดว่าเช่ารถพร้อมคนขับนี่แหละสบายใจสุด
พี่คนขับของเราเป็นชาวอินเดียที่สุภาพมาก เค้าแนะนำสถานที่และพาเราไปแบบไม่หงุดหงิดเลย เพราะบางที่เราก็เฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่มันเป็น ‘ที่ที่ต้องไปเห็นเพื่อให้พ่อแม่ไปเล่าให้เพื่อนเค้าฟังได้’ คือ Jumeirah Beach, Burj Al Arab Hotel, The Palm-Atlantis Hotel จากนั้นเค้าก็ขับพาชมวิวไปตามโค้งของ The Palm Jumeirah จนสุดโค้ง ก็เริ่มเบื่อละ เพราะมันมีแต่โรงแรม รีสอร์ท ทั้งที่สร้างเสร็จและกำลังสร้าง ห้าดาวหกดาวสลับกันไป เลยบอกเค้าว่าขอไปที่เป้าหมายของวันนี้เลยละกัน คือ Sheikh Zayed Grand Mosque
เราเดินทางออกจากดูไบสู่อาบูดาบีใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ ถนนที่นี่ดีมากกก กว้างขวาง ไม่มีหลุมบ่อขรุขระ แต่ด้วยความที่ถนนดีมาก รถก็จะขับกันเร็ว ดังนั้นแต่ละช่วงก็จะมีกล้องคอยจับความเร็วเป็นระยะๆ ซึ่งมันเวิร์คมากกับที่นี่ เพราะเมื่อคนขับเห็นกล้องนี่ก็จะลดความเร็วลงทันที แต่พอพ้นระยะก็เร่งความเร็วเหมือนเดิมสลับไปมาตลอดทาง นอกจากกล้องที่มีประสิทธิภาพแล้ว ที่มันเวิร์คมากเพราะค่าปรับเค้าโหดด้วย ค่าปรับสำหรับความผิดขับเร็วเกินกำหนดอยู่ที่ 600-800 AED(ประมาณ 6000-8000 บาท) ถ้าอยากรู้ว่าเค้าปรับข้อหาอะไรบ้างและโหดแค่ไหน ลองดูที่นี่เลยค่ะ http://www.khaleejtimes.com/nation/transport/list-of-traffic-violations-and-fines-in-dubai
ก่อนจะถึง Sheikh Zayed Grand Mosque เราขอแวะ Heritage Village and Museum ก่อน
Heritage Village and Museum
มิวเซียมนี้ไม่ใหญ่มาก ข้างในก็เป็นการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ วิถีชีวิตในทะเลทราย ซึ่งไม่เสียค่าเข้าและนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร ในช่วงที่เราไปเค้าปิดถนน เลยต้องเดินร่วม 2 กม. จากที่จอดรถ ถ้ามาเองแบบไม่มีคนพามานี่คงท้อใจไม่เดิน แต่เห็นว่าใครๆ ก็เดิน ก็ต้องเดิน! 555
แต่จุดที่เราชอบนั้นไม่ได้อยู่ในมิวเซียมเลย แต่เป็นด้านหลัง ซึ่งถ้าไม่เดินไปเข้าห้องน้ำก็คงไม่เห็นภาพนี้
หาดทรายสีขาว น้ำทะเลสีฟ้าใส กับฝูงนกนางนวล และฉากหลังเป็นตึกสูง อากาศเย็นๆ อีก ดีสุดๆ ไปเรยยย
Sheikh Zayed Grand Mosque
หลังจากเดินเท้ากลับออกมาจากมิวเซียมอีกร่วม 2 กม. ก็เดินทางไปมุ่งสู่ Sheikh Zayed Grand Mosque ก่อนจะเข้าเรื่องนั้น ก็ต้องอธิบายเรื่องการเตรียมตัวอันเต่า
จนท.: ยูต้องไปเปลี่ยนชุด
เรา: (ก็งงดิ นี่ก็ขายาว แขนยาว แล้วนะ ผ้าคลุมหัวก็มี) ทำไมต้องเปลี่ยนอะ จนท.ในนั้น (มือชี้ไปที่อาคารที่เพิ่งออกมา) ไม่เห็นบอกเลยว่าต้องเปลี่ยน
จนท.: (ชี้มาที่แขนเสื้อเรา) ชุดนี้เข้าไม่ได้ แขนเสื้อยูยาวไม่พอ
เรา: แต่คนในนั้นไม่เห็นบอกเลยว่ามันผิด (ยังพยายามเถียง)
จนท.: คนในนั้นไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน ไอคือคนตัดสิน
เรา: หืมมม (ข่ะ ก็ได้ข่ะ ก้มหน้ามองแขนเสื้อตัวเองที่ยาวแค่สามส่วน ปิดไม่ถึงข้อมือ ดึงยังไงก็ไม่รอดค่ะ T___T)
ก็เลยเดินเซ็งๆ ไปที่เดิมเพื่อไปเอาชุดนักเรียนฮอกวอตส์มาใส่ทับ 555 ส่วนคนอื่นรอดสบ๊ายย
ที่มัสยิดนี้มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลค่อนข้างเข้มงวดคอย แม้แต่เวลาเราเดินไปมาแล้วหมวกเสื้อคลุมมันอยู่แค่ครึ่งหัว เค้าก็จะเดินมาเตือนละ จะทำอะไรก็ต้องค่อนข้างสำรวมค่ะ
จุดเด่นของที่นี่คือ หินอ่อนสีขาวและลวดลายดอกไม้กับ Islamic pattern ที่ประดับอยู่ตามพื้น เสา ผนัง กระจก เพดาน สวยงามอ่อนช้อย ซึ่งต่างจาก Sultan Qaboos Grand Mosque ที่โอมาน ที่นั่นจะไม่มีลวดลายตามที่ต่างๆ เลย ขาวๆ คลีนๆ
นอกจากนี้ยังมีความใหญ่โตอลังการอีกสองอย่างคือ พรมที่อยู่ในโถงใหญ่นั้นเป็นพรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาถึง 2 ปีในการทำตั้งแต่ออกแบบลวดลาย ถัก และนำมาประกอบเป็นผืนเดียวกัน และโคมไฟ Chandelier ทั้งหมด 7 โคม โคมที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ Main prayer hall หนักถึง 12 ตัน ส่วนอีก 6 โคมนั้นจะมี design เหมือนกัน แต่ต่างสีต่างขนาดกัน
ด้วยความที่เราไปถึงที่มัสยิดบ่ายเกือบเย็นแล้ว ก็เลยได้ถ่ายชอตมัสยิดพร้อมกับพระอาทิตย์ตกด้วย : )
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการแนะนำร้านอาหารอารบิกในดูไบค่ะ ชื่อร้าน Reem Al Bawadi อยู่ย่าน Downtown อาหารอร่อยทุกอย่าง ตามภาพนี้เสียหายไป 308 AED ค่ะ
หลังจากเดินออกมาจากร้าน หันหลังกลับไป เราจะเจอกับภาพนี้ค่ะ : )
Day 2
ยอมรับเลยว่าการค้างคืนในทะเลทรายนั้นเป็นกิจกรรมบังคับจากเราเอง 555+ เพราะเราเคยไปมาแล้วมันดีจริงๆ และครั้งนี้มันเหนือความคาดหมายจากประสบการณ์ของเรามากๆ
ทะเลทรายใน UAE นั้น อธิบายง่ายๆ ก็คือมีให้เลือกแบบ ทะเลบางแสนกับทะเลสิมิลัน แบบทะเลบางแสนก็จะใกล้ดูไบ ใช้เวลาแค่วันเดียว ค้างหรือไม่ค้างคืนก็ได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีการแสดงให้ดู เป็นต้น แต่สำหรับเรา ไหนๆ ก็มาแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด The Empty Quarter
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น