เหตุการณ์แปลกๆตอนบวช

สวัสดีครับทุกท่านที่แวะผ่านเข้ามาอ่าน เรื่องนี้ผมถ่ายทอดมาจากเรื่องตอนที่ผมบวช และทำให้เกิดสัมผัสต่างๆชัดเจนขึ้น(แล้วแต่ความเชื่อนะครับ)
(ภาพนี้ผมวาดหลังจากบวชแต่มาตกแต่งและลงชื่อเมื่อไม่นานมานี้นะครับ)
    ด้วยตัวผมเป็นคนมีความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรตามภาษาเด็ก จินตนาการสูง ตัวผมเองเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่บ้างแต่เริ่มชัดในช่วงบวช ครั้งนี้(ช่วงผมอายุ22-23ตอนนี้ผม30)
    ตัวผมเองเคยบวชมาครั้งนึงแล้วแต่ไม่เจออะไร แต่ในครั้งที่ 2 นี้บวชอีกวัดนึงแต่ไปพักอีกวัดที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งในวัดเองก็มีสถานที่ปฎิบัติธรรม จะขออธิบายเกี่ยวกับพื้นที่วัดก่อนถ้าเราเข้าประตูวัดไปด้านขวาจะเป็นหอฉันท์ ถัดไปเป็นศาลาที่โยมใช้ปฎิบัติธรรมมี 2 ชั้น ด้านหลังศาลาเป็นที่พัก สำหรับแม่ชีและผู้มาปฎิบัติธรรมผู้หญิง(ส่วนนี้ผมไม่เคยเข้าไป) ซ้ายเป็นหอสมุด ถัดไปเป็นศาลาเมรุ ซึ่งมีต้นไทรหลายคนโอบติดอยู่หลังเมรุเลย ถัดมาอีกหน่อยเป็นกุฎิเจ้าอาวาสองค์เก่าซึ่งท่านถูกฆาตรกรรมที่กุฎินี้ เนื่องจากโจรมาขโมยเงินกฐินหรือผ้าป่านี่แหละ (กุฎิใหญ่และร้าง)  ถัดไปเป็นหลังโบสถ์ ต่อไปเป็นที่เก็บกระดูก(โกฐ) ข้างโบสถ์ด้านขวาจะมีลานปฎิบัตรธรรมและมีทางเชื่อมกับสระน้ำซึ่งมีรูปปั้นพญานาค 3 เศียร อยู่กลางสระ มีสะพานเชื่อมถึงด้านหน้าพญานาค (มาทราบทีหลังว่าสระนี้เคยเป็นคลอง คนสมัยก่อนใช้ทางคลองนี้เป็นเส้นหลักและเป็นหน้าวัดสมัยก่อนตัดถนน)ต่อจากลานเป็นกุฎิเจ้าอาวาส หอระฆัง และเป็นกุฎิห่างๆกันเข้าไปในป่าพื้นที่ของวัด ล้อมด้วยนา
   วันแรกที่ผมเข้าไปพักที่วัดก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว จึงรีบไปกราบบอกกล่าวขออาศัยกับเจ้าอาวาส หลังจากท่านอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ ท่านได้ให้พระลูกวัดพาไปหากุฎิที่พัก ตอนกลางวันไม่เท่าไรครับ และจึงได้รับมอบหมายให้ตีระฆัง ตอนตี 4 หลังจากทำวัตรเย็นลงมาจากศาลาบรรยากาศช่างต่างจากกลางวันนัก มีไฟแค่ดวงเดียว กว่าจะเดินเข้าไปถึงกุฎิ(ลืมเอาไฟฉายไป) ด้วยความมืด และความติดรกๆ จึงเกรงๆบ้างแต่ไม่ได้กลัวอะไร คืนแรกผ่านไปผมตั้งนาฬิกาไว้เพื่อตีระฆัง และไปทำวัตรเช้าตี3.30 สงัดมากครับ ห้องน้ำเป็นห้องรวมหลายๆห้องติดกัน ไฟไม่มีอีกแล้วครับ ก็หวั่นๆ ตอนไปตีระฆังหอระฆังที่นี่เป็น2ชั้นที่แคบๆขึ้นบรรไดมาเดินก้าวเดียวถึงระฆังเลย พอตีไปครั้งแรก เท่านั้นแหละครับ!! เสียงตังซู่ม!!!!!ดังมากและมีอะไรจำนวนมากออกจากหอระฆังจากด้านบนหัวผม ผมตกใจเกือบตกหอระฆัง แต่ตั้งสติว่ามันคือพิราบจำนวนมากที่อาศัยในหอระฆัง แตกฮือ บินหนีเสียงระฆัง หมาหอนนี่คงเรื่องปกติ ผมทำใจและเดินไปทำวัตรเช้า ช่วงที่ผมไปอยู่ที่วัดนั้นจะไม่ได้ไปบิณฑบาตร(จะมีโยมมาทำบุญทุกวัน) เนื่องจากมีการบวชเณรภาคฤดูร้อน แต่ตอนนี้เณรไปธุดงค์ ก่อนหน้านี้แล้ว จะกลับมาก่อนสงกรานต์
    ผมได้มีโอกาสพบพระองค์นึง ซึ่งสนทนากันแล้วถูกคอกันท่านมางานปริวาสที่วัดนี้และกำลังมองหาสถานที่ธุดงค์ต่อ (ท่านเป็นพระธุดงค์ไปทั่วทั้งประเทศแล้ว) ท่านเล่าถึงป่าบ้าง ถ้ำบ้างเรื่องลี้ลับที่พบเจอบ้างให้ผมฟัง(ท่านบอกท่านไม่โกหกหรอก ท่านเป็นพระ ท่านเจอเอง) ผมสนทนากับท่านเรื่องพญานาค ที่ครูบาอาจารย์ท่านพบเจอ ผมเกิดความสนใจมากจึงเอ่ยปาก บอกถ้ามีโอกาสก็อยากพบเจอ ท่านจึงบอกว่า"ท่านลองไปนั่งสมาธิหน้ารูปปั้นพญษนาค สิช่วงตี2ตี3 แล้วอธิฐานว่าถ้ามีบุญขอให้พบเจอ ลองดูสิอาจเจออะไรดีๆก็ได้ผมไม่โกหกหรอก" คืนวันนั้นผมจึงตัดสินใจตื่นมาตอนตี 3 ห่มคลุม(กันยุง) และเอาก.ย.ทาหัวและเดินพร้อมไฟฉายผ่านลาน(ในลานเป็นต้นไม้ห่างกันเป็นระเบียบ ต้นไม้คลุมลานทั้งหมด) ผมเห็นเงาเหมือนขายาวๆคือเห็นแต่ขา ผมพยามไม่คิดอะไรหลบสายตาจากทางนั้น ก่อนถึงสระต้องผ่านที่เก็บกระดูก ผมไม่มองเลยหมาก็หอน ผมตรงดิ่งไปที่สระอย่างเดียวเลย พอถึงสระผมลงไปนั่งประจันหน้ากับรูปปั้นพญานาค เสียงอื่นๆหายไปหมด ผมหลับตาอธิฐาน "ถ้าผมมีบุญขอให้ประสบพบเจอพญานาค หรือจะมาเป็นสัญญาณใดๆก็ได้ แต่มาดีๆนะครับ ผมไม่ได้มาลบหลู่แต่อย่างใด " ผมจึงเริ่มนั่งสมาธิไปด้วยความเชื่อที่สั่งสมมาทำให้เรารู้สึกกลัว แต่ก็ข่มใจ หายใจ เข้า - ออก สมาธิเกิดอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่นาน ผมได้ยินเสียง "จ๋อม จ๋อม!!" ข้างๆตัว(สระนั้นผมเคยมองอยู่นานตอนกลางวัน ไม่เคยเห็นวงน้ำ คิดว่าไม่มีปลาด้วยซ้ำ) หลังจากนั้นมีลมผ่านตัวผม เหมือนมีลมหายใจเข้าออกผ่านตั้งแต่ ไหล่ลงไปถึงก้น คือถ้าเป็นสัตว์ก็ต้องตัวใหญ่มาก หายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีเสียงใดๆ สักพักนึงก็หายไป แปลกที่ลมหายใจนั้นไม่ผ่านบริเวณศรีษะเลย ผมเริ่มกลัวจึงตั้งสมาธิต่อและอยู่ดีๆตัวผมเองรู้สึกว่าตัวเองมีเขี้ยวงอก ออกมาใหญ่มากและหดเข้าไปอย่างรวดเร็ว งอก-หด อยู่อย่างนั้น จนอยู่ดีๆได้ยินเสียงกวาดลานวัดผมจึงหยุดและออกจากสมาธิลืมตาขึ้นมาก็มีแสงแล้วเห็ฯโยม มาช่วยกันกวาดวัดแล้ว ผมจึงแผ่เมตตาและรีบลุกจากสระเพื่อรีบไปทำกิจต่างๆ เหตุที่เกิดขึ้นผมก็เก็บความสงสัยไว้ อีก 2-3วัน เณรก็กลับมา จะวุ่นวายหน่อยเนื่องจาก ทุกๆเช้าจะต้องรีบมาช่วยห่มจีวรให้เณรน้อย จึงไม่ค่อยได้คุยกับหลวงพี่ที่แนะนำให้ไปนั่งสมธิมากนัก
    บ่ายวันนึงผมไปนั่งสมาธิในพื้นที่ป่า มีแคร่ ผมอธิฐาน ให้เจ้าที่เจ้าทางช่วยดูแลให้ปลอดภัยในช่วงนั่งสมาธิ หลังจากนั่งได้สักพักอยู่ดีๆก็รู้สึงเหมือนมีแมลงตัวใหญ่มาไต่บริเวณหน้า ผมกลัวเป็นสัตว์มีพิษจึงรีบลุก หลังจากผมลุกจากแคร่ กิ่งไม้ขนาดใหญ่พอควรก็หล่นล่งมาโครม!!ตรงแคร่ พอดี ไม่รู้ว่าบังเอิญ หรือเจ้าที่ท่านช่วยผมจึงขอบคุณและแผ่เมตตาให้
   หลังจากนั้นช่วงบ่าย 3-4โมง ผมกะจะไปนั่งสมาธิหน้าเมรุ เดินไปเห็นน้องเณร นั่งสมาธิในศาลาส่วนนึง และอยู่หน้าห้องสมุดส่วนนึง จึงสอบถามเณรที่อยู่หน้าห้องสมุด ทราบว่า มีการแข่งขันนั่งสมาธิกันอยู่ผมจึงมองไปที่ศาลาเมรุ และกำลังจะหันมาคุยกับเณรคนเดิม หางตาผมเห็นคนใส่ชุดขาวเดินออกมาจากหลังต้นไทร ผมจึงหันควั่บไปดูอีกที ปรากฎว่าไม่มีใคร ไม่มีทางที่คนจะเดินออกมาจากทางนั้นได้แน่ๆเพราะรากใหญ่ต้นไทรและมีศาลไม้เล็กๆอยู่ข้างหน้า ติดกับด้านข้างเมรุเลยผมคิดจึงแผ่ส่วนบุญในใจให้ท่าน(คิดว่าเป็นเจ้าที่)
   หลังจากวันนั้นผมก็ปฎิบัติกิจตามปกติของผมไป จนสัปดาห์ก่อนวันสึก โยมแม่นิมนต์ให้มาวัดที่บ้านให้โยมตาใส่บาตรบ้าง ก่อนวันจะเดินทางกลับวัดไกล้บ้าน เช้าวันนั้นฟ้ามืดเหมือนฝนจะตก ผมจึงตัดสินใจไปนั่งสมาธิส่งท้ายตรงสระที่เดิมอีกครั้ง อธิฐานเหมือนเดิม นั่งไปได้สักชั่วโมงฝนลงเม็ดเล็กน้อย จึงแผ่เมตตาและลุก กำลังหันหน้าขึ้นฝั่ง ตัดพ้อในใจ "เราคงไม่มีบุญพอจะได้เห็นพญานาค" กำลังก้าวขาเท่านั้นแหละ ได้ยินเสียงตูม!!!!ตรงกลางสระน้ำ ผมรีบหันไปมองเหมือนมีอะไรไม่ขึ้นก็หล่นลงในน้ำอย่างแรง แต่ผมลืมบอกว่า รอบสระมีต้นไม้รอบเลยแต่ไม่มีต้นไหนเบนกิ่งเข้าไปในสระแม้แต่ต้นเดียว คือถ้าคิดว่าเป็นลูกมะพร้าวคงไม่ใช่ เพราะไม่มีต้นไหนโน้มเข้ามาในสระเลย
   ผมจึงสอบถามหลวงพี่รูปนั้นท่านกล่าวว่า "ท่านอาจจะยังมีตบะ มีบุญไม่พอละมัง เพราะบางคนที่พบกับพญานาคถ้าจิตแกร่งไม่พออาจเสียจริตได้เลย แต่เขาก็แสดงสัญญาณให้ท่านรับรู้แล้วนี่ว่าเขามีอยู่จริง ส่วนที่รู้สึกมีเขี้ยวนั้นคือสภาวะธรรม ตัวท่านเองอาจคิดแต่เรื่องนี้ หรือ ท่านเองอาจมีอดีตที่เกี่ยวข้องกับเขาเหล่านี้ก็ได้ ใครจะรู้ ท่านต้องค้นหาเอาเองนะ" หลังจากนั้นผมจึงกราบลาเจ้าอาวาสท่านก็เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนวัดนี้ใช้การสัญจรทางน้ำสังเกตุได้ว่าโบสถ์หันหน้าไปทางสระน้ำ สระน้ำเป็นคลองใหญ่แต่พอมีถนนจึงตัดผ่านคลองจึงเหลือกลายเป็นสระ และมีความเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าที่(เจ้าท่ามั้งผมคิดว่า)ของคลองเส้นนี้ และประวัติต่างๆของที่นี่ และได้มาพำนักที่วัดไกล้บ้านพร้อมกับหลวงพี่ที่แนะนำนั่งสมาธิจนวันที่ผมสึก ผมมีความสุขและสงบมากที่วัดนั้น จากความประทับใจจึงได้เขียนรูปพญานาค 3 เศียร ไว้และโชคดีเรื่อยๆมา
และพบเจอสิ่งลี้ลับเพิ่มมากขึ้นด้วย
เรื่องนี้ผมแค่อยากแชร์ประสบการณ์โดยตรงของผม ไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณของทุกท่านนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่