หลังจากเปิดตัวมาได้สักพักแล้ว สำหรับ Macbook Pro รุ่นใหม่ ที่เป็นที่ฮือฮากัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง touch bar ที่หลายคนมักบอกว่า ทำเป็น touch screen เถอะ หรือพอร์ท USB ที่หลายคนโอดครวน แม้กระทั่ง ช่องเสียบ SD Card สุดที่รักของช่างภาพทั้งหลายที่หายไป #DongleLife รวมถึงช่องหูฟังที่ใช้กับ iPhone 7 ไม่ได้ (เสียใจด้วย) และแน่นอนว่า ผมก็ได้เครื่องมานานแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ยักจะมีคนรีวิวเท่าไหร่เลยแฮะ เลยคิดว่า วันนี้มารีวิวสักหน่อยละกัน


ขอบอกเลยว่า เครื่องที่ผมใช้อยู่เป็นรุ่นที่ถูกที่สุดที่มี touch bar ซึ่งการที่ต้องจ่ายเพิ่มกว่า 11,000 บาท ไม่ใช่แค่เพื่อ touch bar กับ port Thunderbolt ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 พอร์ท แต่รวมถึง CPU ที่แรงขึ้นและ RAM ที่เร็วขึ้นด้วย ซึ่งภายในกล่องดูสะอาดมาก มีสายชาร์จกับอแดปเตอร์แปลงไฟให้ ละก็สมุดข้อมูลการรับประกัน คู่มือ กับสติ๊กเกอร์ 2 ดวง อย่าสงสัยนะครับว่าตัวเครื่องหายไปไหน เอามาพิมพ์กระทู้นี้อยู่

สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่สามารถบอกได้จาก blind test คือ keyboard และ trackpad ที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดและแทร็คแพ็ดโน้ตบุ๊คทั่วไป โดย clickpad ตัวนี้ เวลาคลิก ให้ความรู้สึกเท่ากันทั้งแผ่น ไม่ว่านิ้วจะอยู่ตรงไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ apple นำเบรนด์อื่นอยู่ และคีย์บอร์ด ที่เพื่อนผมบอกว่าเสียงดังมากกกกก ดังกว่าโน้ตบุ๊คเกมมิ่งของมันซะอีก บางคนอาจจะไม่ชิน แต่เชื่อผม ใช้แค่วันเดียวก็ชินแล้ว กดง่ายกว่าคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊คทั่วไปมาก เพราะปุ่มใหญ่กว่า และเว้นช่องระหว่างแต่ละปุ่มได้กำลังดี แต่ที่ผมไม่ชอบคือปุ่มลูกศร โดยเฉพาะขึ้นกับลง เพราะมันขนาดไม่เท่ากัน จริงๆถ้าทำให้เท่ากับปุ่มอื่นๆแล้วย้ายลงมาอีกแถวนึง ถึงจะสวยน้อยกว่านี้แต่กดง่ายกว่า ผมจะชอบมากกว่านี้. อีกอย่างนึงที่ผมมีปัญหาบ่อยๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมใช้โน้ตบุ๊ค windows คือ ปุ่ม fn มันไปอยู่ตรงตำแหน่งที่เครื่องอื่นวาง ctrl เหมือนกับคีย์บอร์ดของ IBM สมัยก่อนๆ ก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่แต่ก็ยอมรับได้

ต่อไปเป็นเรื่องจอ ขอบอกเลยว่าสีสดและแม่นยำจริงๆ เหมาะสำหรับการทำงานด้านกราฟฟิกส์มากๆ แต่จะมีปัญหาคอนทราสต์ดรอปเวลาหรี่แสงจอจนสุดสักพักแล้วดันขึ้นสุด เพราะสีที่ควรจะมืด กลับดูสว่างขึ้น ทำให้จอดูซีดลง ส่วนตัวคิดว่าเป็นปัญหาของซอฟต์แวร์จัดการการแสดงผลที่มากับระบบ ซึ่งปล่อยทิ้งไว้สักพักก็เป็นปกติของมันเอง ส่วนความคมของมันก็อยู่ในระดับที่กำลังดีในขนาดของมัน ที่ 2560x1600 ไอค่อนต่างๆ ตัวอักษรก็ไม่ได้มีขนาดเล็กจนเกินไป
ส่วนด้าน color reproduction ยังไม่ได้ทดสอบ แต่ apple เคลมว่าสามารถแสดงผลสีได้ครบ 100% ในสเกลสี sRGB และ DCI-P3 ความสว่างก็ถือว่าดีงาม แต่ถ้าเจอแสงแดดจัดๆอาจดูลำบากนึดนึง เพราะเป็นจอแบบ glossy สะท้อนแสง แต่ที่ผมใช้อยู่แสงมันสะท้อนมากกว่าปกติ เพราะเอาไปติดฟิล์มมา ฟิล์มถูก มันเลยกาก จับฝุ่น แถมสะท้อนแสงเยอะกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะไม่ติดฟิล์มก็โดนพ่อบ่นว่าไม่กลัวจอเป็นรอยรึไง

มาถึงฮาร์ดแวร์ด้านในกันบ้าง ตัวนี้ใช้ CPU Intel Core i5 gen 6 Skylake ความเร็ว 2.9 GHz พร้อม Intel Iris Graphics 550 ซึ่งเมื่อเปิด Intel Ark ดูแล้ว พบว่าตรงกับรุ่น Core i5-6267U ไม่มีการ์ดจอแยก แรม LPDDR3 ความเร็ว 2133MHz ขนาด 8 GB ส่วนจัดเก็บข้อมูลเป็น flash storage ขนาด 256 GB ความเร็ว อ่าน/เขียน ประมาณ 2000/1200 MB ต่อวินาที

ส่วน Software ตัวนี้มาพร้อมกับ macOS Sierra 10.12 ตั้งแต่แกะกล่องเลย มีฟีเจอร์ของ Mac ที่หลายๆคนอาจคุ้นเคย เช่น Mission Control, App Exposé ฯลฯ และซอฟต์แวร์ทำงานต่างๆที่ติดมากับเรื่องเลยก็มี Pages, Keynote, Numbers, GarageBand, iTunes, QuickTime ซึ่งสามารถจับภาพหน้าจอและบันทึกเป็นวิดีโอได้โดยไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม นอกจากนั้น โปรแกรมที่ฮิตๆกันใน Mac สามารถดาวน์โหลดได้ใน Mac App Store ยกเว้นโปรแกรมใหญ่ๆอย่าง Adobe หรือ Maya จะต้องดาวน์โหลดจากเว็บผู้ผลิตฯ ซึ่งบางแอพฯแค่ลากลงโฟลเดอร์ Application ก็เสร็จแล้ว แต่บางแอพต้องใช้ software เพื่อช่วยในการ install คล้ายๆกับบน Windows แต่สำหรับใครที่ย้ายมาจาก Windows แล้วติดการโหลดแคร็กมาลง ขอบอกเลยว่าหายากมาก และมีความเสี่ยงต่อการติด malware สูง แนะนำให้ใช้แอพฯฟรีที่ทำงานได้คล้ายๆกันบน App Store แทน ส่วนคนที่มีปัญหาเรื่อง microsoft word ที่พอเปิดใน mac แล้วหน้าตาจะแปลกออกไป ก็จะมี Microsoft Office Online ให้ใช้สำหรับคนที่มี hotmail, outlook หรือ microsoft account อื่นๆ และใครที่คิดว่า USB-C เป็นปัญหาต่อการถ่ายโอนไฟล์ แค่โยนขึ้น cloud ก็ไปเปิดที่ไหนก็ได้แล้ว แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ตัวแปลง USB-A หัวปกติ เป็น USB-C หัว Macbook ก็มีขายที่พันทิป เท่าที่ไปเดินๆมาเห็นถูกสุดอยู่ที่ 400-500 บาท (แล้วแต่สกิลการต่อราคาของแต่ละคน) ได้ USB-A 3.0 มา 4 ช่อง ก็พอใช้ได้

สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงเลยคือดีไซน์ (แปลกเนอะ ปกติจะเอาขึ้นก่อน แต่นี่หาที่ขึ้นไม่ได้เลยมาไว้ท้ายสุดเลยละกัน) ใครที่คิดจะซื้อ mac เพราะมี apple เปล่งแสงคงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ เพราะตั้งแต่เปิดตัว Macbook 12" มา ก็ไม่มี apple เปล่งแสงอีกแล้ว รวมถึงรุ่นนี้ด้วย นอกจากนั้นก็มีจอ 13" glossy ขอบบางลงกว่ารุ่นก่อน ให้ความรู้สึกว่าจอใหญ่ขึ้นในขณะที่บอดี้เล็กลง บางลง และเบาลงด้วย แต่การที่เปลี่ยนจาก clickpad ปกติมาเป็น force touch trackpad ทำให้สามารถเพิ่มขนาดของมันให้ใหญ่เต็มพื้นที่ได้ ส่วนบริเวณ touch bar เมื่อกดปุ่ม fn ค้างไว้ก็สามารถเข้าถึงปุ่ม F1-F12 ได้ ตัวเครื่องบางขนาดนี้แต่ก็มีพัดลมระบายความร้อนให้มาตั้ง 2 ตัว ซึ่งในการใช้งานปกติจะแทบไม่ได้ยินเสียงพัดลมเลย จนกว่าจะเรนเดอร์วิดีโอหรืองานที่ใช้กราฟฟิกส์สูง
[CR] รีวิว MacBook Pro 13" Retina with Touch Bar
ส่วนด้าน color reproduction ยังไม่ได้ทดสอบ แต่ apple เคลมว่าสามารถแสดงผลสีได้ครบ 100% ในสเกลสี sRGB และ DCI-P3 ความสว่างก็ถือว่าดีงาม แต่ถ้าเจอแสงแดดจัดๆอาจดูลำบากนึดนึง เพราะเป็นจอแบบ glossy สะท้อนแสง แต่ที่ผมใช้อยู่แสงมันสะท้อนมากกว่าปกติ เพราะเอาไปติดฟิล์มมา ฟิล์มถูก มันเลยกาก จับฝุ่น แถมสะท้อนแสงเยอะกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะไม่ติดฟิล์มก็โดนพ่อบ่นว่าไม่กลัวจอเป็นรอยรึไง