อยากแชร์ความคิดเห็นเรื่อง 30บาทรักษาทุกโรคกับการขาดทุนของโรงพยาบาล

หลายวันก่อน มีเรื่องเกี่ยวกับ การที่โรงพยาบาลรัฐขาดทุนหลายแห่ง ซึ่งมีการโยงมาเกี่ยวกับเรื่อง30บาท แน่นอนว่ามักมีการโยนหินถามทางหลายรอบจนหินจะกองเท่าภุเขาอยู่แล้ว ในความเป็นไปได้ในการ ปรับเปลี่ยน หรือยกเลิก โครงการนี้ไปซะ เพราะมันทำให้รัฐขาดทุน จนถึงโรงพยาบาลขาดทุน

ผมจะไม่พูดถึงเรื่องกึ๋นในการหาเงินของแต่ละรัฐบาล เพราะเดี๋ยวกระทู้จะปลิวซะเปล่าๆ ดังนั้นจึงอยากเสนอแนะนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่ควรมีการทำควรคู่กับระบบนี้ตั้งนานแล้ว

1. การสาธารณสุขเชิงรุกและเวชศาสตร์ป้องกัน

หากไม่นับพวกเงินเดือนบุคคลากร วงการสาธารณสุขไทยใช้จ่ายในการสาธารณสุขเชิงรับหรือการรักษาสูงมากๆเมื่อเทียบกับเชิงรับหรือการป้องกัน ซึ่งก่อนอื่นจะขออธิบายเกี่ยวกับคอนเซปต์ของ นโยบาย30บาท คือ การที่รัฐจัดสรรเงินต่อให้ให้ประชาชนในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาล เพื่อนำไปบริหารจัดการ สมมติ รัฐให้ 2000ต่อคนต่อปี โรงพยาบาลหนึ่งมีคน500คน  ก็จะเท่ากับว่าแต่ละปี โรงพยาบาลจะมีเงินเข้ามาให้บริหาร 1ล้านบาท หมายความว่าหาก คนไม่สบายมารักษา ก็จะมีเงินแค่คนละ2000ต่อปี ถ้าเกินก็ขาดทุน ซึ่งก็ต้องเฉลี่ยกันไป แต่ในปัจจุบัน สภาพการของโรงพยาบาลนั้น มีแต่คนป่วย ส่วนสถานีอนามัยหรือ รพสต. เงียบยังกับป่าช้า หมายความว่านโยบายของสถารณสุขแต่ละอำเภอไม่สามารถส่งเสริมสุขภาพ หรือการป้องกัน ก่อนจะไปถึงหมอได้ หรือแม้แต่การเกิดโรงประจำฤดูกาลเช่น ไข้เลือดออก ก็ยังไม่ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม (ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับงบพวกทรายอะเบต ยาฉีดยุงรึเปล่า) โรคเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงเช่น เหล้า บุหรี่ เบาหวาน ความดัน โรคไต โรคเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เช่นไข้หวัด ท้องเสีย ซึ่งพวกนี้เป็นโรคที่ควรจะป้องกันหรือควบคุมได้ แต่จากการปฏิบัติงานของข้าราชการที่เกี่ยวข้อง มันกลับไม่ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

2.บทบาทของสถานีอนามัยหรือ รพสต.

อย่างที่ว่าโรงพยาบาลคนเยอะแต่อนามัยแทบร้าง นั่นเพราะปัจจุบันการคมนาคมสะดวกขึ้น คนเลยแห่ไปที่โรงพยาบาลมากขึ้น ในขณะที่บทบาทของสถานีอนามัยนั้นลดลงเรื่อยๆ ซึ่งหากมีการดึงคนป่วยที่สามารถวินิจฉัยและรักษาได้โดยบุคคลกรประจำสถานีอนามัยเช่นพยาบาล คิดดูว่าเราจะสามารถลดภาระงานในส่วนของโรงพยาบาลได้มากแค่ใน และเป็นการใช้บุคคากรที่มีอยู่ให้เต็มประสิทธิภาพ (ทุกวันนี้หลายๆที่พยาบาลประจำสถานีอนามัยแทบจะนั่งตบยุงเลยทีเดียว) ยังไม่นับถึงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อประจำสถานีอนามัยอย่างน้อย 1 คน (ตอนนี้เพื่อนฝูงบอกว่ากำลังมีการงัดข้อเรื่อง นักวิชาการสาธารณสุขหรือ หมออนามัยเดิม ในการตั้งสภาวิชาชีพ เพื่อออกใบประกอบวิชาชีพ ในการตรวจรักษาผู้ป่วยแบบพยาบาล)

3. โรงพยาบาลเล็กเอาเปรียบโรงพยาบาลใหญ่ และการชักดาบกันเองของโรงพยาบาล

ด้วยระบบการส่งต่อและขีดความสามารถของแต่ละโรงพยาบาลที่มีจำกัด ทำให้เกิดการส่งต่อผู้ป่วยไป โรงพยาบาลที่ใหญ่กว่าหรือ โนด ในแต่ละพื้นที่ขึ้น คือตามหลักปฏิบัติ การส่งต่อ โรงพยาบาลปลายทางจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากต้นทาง เช่น ไส้ติ่งแตก โรงพยาบาลไม่สามารถผ่าตัดได้ จึงส่งไปรักษาโรงพยาบาลที่ใหญ่หรือมีขีดความสามารถมากกว่า จากนั้นจึงส่งบิลมาเก็บ วึ่งถ้ามันจ่ายกันดีๆก็ไม่มีปัญหา แต่ประเด็นคือมันชักดาบกันดื้อๆด้วยข้ออ้างสารพัด เช่น ใช้ยานอกบัญชีที่มีราคาแพงเกินความจำเป็นบ้าง โรงพยาบาลไม่มีเงินบ้างเพราะตัวเองก็เจ๊งเหมือนกัน และที่เป็นปัญหาสุดๆคือ เอะอะก็รีเฟอร์ บางทีมักง่ายถึงขั้นว่าทำใบส่งตัวให้เป็นปีแบบบุฟเฟ่ห์ไปเลย ทำให้โรงพยาบาลใหญ่มีภาระงานมากขึ้น (ลองไปดูตามโรงพบาลประจำจังหวัดหรือโรงบาลศูนย์จะเห็นภาพ) แล้วพอเรียกเก็บเงินก็ชักดาบอย่างที่ว่า และแบบหน้าด้านๆที่สุดคือ ปฏิเสธใบส่งตัวของตัวเองแล้วลอยแพคนไข้ ซึ่งส่วนตัวผมว่าระบบการส่งตัวมันควรจะดีกว่านี้ถ้าโรงพยาบาลมีมาตรฐานการรักษาขั้นต่ำคือ มี อายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ทั่วไป กุมารแพทย์ สูตินารีแพทย์ หมอดมยาหรือพยาบาลที่ผ่านการอบรมในการดมยาเบื้องต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ ถ้ามีในขั้นต่ำของแต่ละโรงพยาบาล ก็แทบจะครอบคลุมการรักษาพื้นฐานหมดแล้ว แต่ในความเป็นจริงบางโรงพยาบาล มี หมอคนเดียว เป็น ผอ.ยันภารโรง

4. แปรรูปองค์การเภสัชกรรม

ส่วนสำคัญในการรักษานอกจากหมอแล้ว ก็คือยา ถ้าไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ๆ ค่าใช้จ่ายส่วนมากก็คือค่ายา ประเด็นคือว่ายาส่วนใหญ่ที่ใช้ในโรงพยาบาลมาจากองค์การเภสัชกรรม แน่นอนว่าโรงพยาบาลคงไม่ซื้อยาพาราด้วยต้นทุนเม็ดละ 5-10 สตางค์ แน่นอน เท่าที่ทราบมีข้อบังคับถึงสัดส่วนการสั่งยาของโรงพยาบาลรัฐนั้นถูกบังคับให้สั่งยาจากองค์การเภสัชกรรมในสัดส่วนที่สูง ทำให้กลายเป็นเสือนอนกิน แต่นั่นกลับไม่ทำให้ราคาถูกลงไปกว่านี้ ซึ่งสะท้อนค่าใช้จ่ายในการจ่ายยาในโครงการได้ ซึ่งการแปรรูป เพิ่มทุน โดยใช้โมเดลเดียวกับ ปตท ทำให้องค์การฯเป็นบริาัทในตลาดหลักทรัพย์ถือหุ้นใหญ่โดยรัฐ มีทุนมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถวิจัยตัวยาใหม่ๆ ได้อีกด้วย และที่สำคัญยังลดราคายาที่ขายได้ เพราะต้นทุนลดลง และสามารถต่อยอดไลน์การผลิต เวชสำอางหรือเครื่องสำอาง เพื่อนำกำไรมาโปะ ธุรกิจหลักคือยาได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อยาราคาลดลง ต้นทุนการรักษาย่อมลดลง

5. ระบบเวชระเบียนออนไลน์และการให้สิทธิ์ตรวจสุขภาพฟรีอย่างน้อยปีละครั้ง

แม้ว่าโลกจะพัฒนาไปแค่ไหน แต่โรงพยาบาลไทย ก็ยังต้องค้นเวชระเบียนอยู่ดี ซึ่งปัจจุบัน เวลาคนไปตรวจ มันต้องเสียเวลาค้น นาน ทำให้เกิดการแออัด ซึ่งการทำเวชระเบียนออนไลน์นี้เป็นการลดเวลาในการตรวจอีกทั้งยังสะดวกในการติดตามการรักษา และการดูแลรักษาต่อเนื่องผ่านทางสถานีอนามัย พูดง่ายๆคือ ข้อมูลคนไข้มันลิ้งค์กันทั่วประเทศ และที่สำคัญลดการทุจริตจากการจ่ายยาได้อีกด้วย ส่วนที่ต้องให้สิทธิ์ตรวจสุขภาพปีละครั้ง ก็เพราะว่าเพื่อสามารถให้คำปรึกษา วางแนวทางป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นจากโรคอันเกี่ยวเนื่องจากพฤติกรรม เช่น เบาหวาน ความดัน โรคปอด ตับ เป็นต้น ซึ่งสามารถติดตามได้ ยิ่งมาเวชระเบียนออนไลน์ จะสามารถให้ สถานีอนามัย หรือ อสม ติดตามคนไข้ได้อีกด้วย และเป็นการปลูกฝังการดูแลสุขภาพไปในตัวเพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งการให้สิทธิ์ฟรี สามารถนำคนเหล่านั้นเข้าสู่การดูแลและป้องกันโรคอันเป็นการสาธารณสุขเชิงรุกอีกด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่