ขอแนะนำตัวก่อนว่าผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า รักษาจนเข้าสู่ระยะพักฟื้นแล้วครับ คือไม่มีอาการแล้วแต่ยังต้องกินยาต่อ ตั้งใจเขียนบทความนี้เพื่อพูดแทนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าคนอื่น ๆ ที่มีปัญหากับการอธิบายตัวเองให้คนรอบข้างเข้าใจ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีปัญหากับการลำดับความคิด ทำให้สื่อสารออกมาได้ไม่ค่อยดี
หลายคนมองว่า: โรคซึมเศร้า ก็แค่ซึมกับเศร้า แค่นี้เอง
ความจริงที่ควรรู้: โรคนี้เรียกว่าโรคซึมเศร้า เพียงเพราะอาการซึมเศร้าเป็นอาการที่เห็นได้ชัด แต่ความเศร้าไม่ใช่ทุกอย่าง
เราลองมาดูชีวิตของผู้ป่วยกัน
ตื่นนอน --- ลืมตาขึ้นมา ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า ร่างกายอ่อนเพลีย ความคิดสับสนไปหมดไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อน นอนงงอยู่บนเตียง กว่าจะได้อาบน้ำแต่งตัว กว่าจะได้กินข้าว เสียเวลาไปแล้วสองสามชั่วโมง
ออกไปเรียน/ไปทำงาน --- กว่าจะเขยื้อนตัวออกมาได้ ปาเข้าไปกี่โมงแล้วครับ เป็นเรื่องธรรมดาที่สายตาจากคนรอบข้างจะมองมาในเชิงลบ แต่ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ ที่คนจิตป่วยอยู่แล้วจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้
การเรียน/การทำงาน --- เนื่องจากสารในสมองมีปัญหา ทั้งกระบวนการรับรู้ การคิดวิเคราะห์ การใช้เหตุผล การสื่อสาร การควบคุมอารมณ์ ทุกอย่างรวนไปหมด ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่ดี เกิดการโทษตัวเอง ตลอดจนถูกกล่าวโทษจากคนรอบข้าง ยิ่งอยู่ในสภาวะที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทุกอย่างก็ยิ่งแย่ไปหมด ณ จุดนี้ ความสัมพันธ์กับบางคนคงมีแตกหักกันบ้างหละ
กลับมาอยู่กับตัวเอง --- ย้อนนึกถึงสิ่งที่เราทำแล้วออกมาไม่ดี มีแต่ความล้มเหลวทั้งที่เราอยากจะทำมันให้เต็มที่ ชีวิตเริ่มจมอยู่กับความเศร้า หวังพึ่งพาใครก็ไม่ได้ (เพราะไม่มีใครเข้าถึงจิตใจเราได้จริง ๆ) คิดวนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต หาทางออกไม่เจอ สุดท้ายแค่เดินไปเรื่อย ๆ จนหมดแรง
นอนหลับ --- ขนาดหลับไปแล้ว บางคนยังมีปัญหาอีกคือหลับไม่สนิท หรือตื่นเองกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ ทำให้สมองที่ปวดหัวกับเรื่องแย่ ๆ มาตลอดทั้งวันไม่มีเวลาได้พักผ่อน ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับสารในสมอง? มันก็ยิ่งแย่กว่าเดิมไงครับ
อันนี้แค่เขียนจากประสบการณ์ของผมเองนะ
ปัญหาอย่างหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ในขณะที่เราพยายามทำความเข้าใจตนเอง เราก็ต้องพบเจอกับคนมากมาย บางคนพยายามช่วยเหลือเรา แนะให้เราทำโน่นทำนี่ บางคนมาตัดสินเราว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้(โดยใช้ตัวเองวัด) บางคนถึงขั้นแกล้งให้เราประสาทเสียเล่นเพื่อความสะใจเลยก็มี และถึงแม้ในสังคมจะมีคนหลายประเภท แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือ "เราไม่สามารถหาใครที่เข้าใจเราได้จริง ๆ เลยสักคน" และเหตุผลหนึ่งที่ต้องหาคนเข้าใจ ก็เพราะความเข้าใจผิด ๆ มันไม่ใช่เรื่องดีไงครับ ใครจะอยากโดนคนอื่นเข้าใจผิด
หลายคนมองว่า: รู้ตัวว่าเศร้า ก็พาตัวเองออกมาสิ ทำไมไม่พยายามเลย
ความจริงที่ควรรู้: ความเศร้าพวกนั้นเกิดความผิดปกติของสมอง เวลาคุณเป็นไข้หวัด คุณก็ห้ามตัวเองปวดหัวไม่ได้เช่นกัน
หลายคนที่เป็นโรคนี้มีอาการแบบเดียวกัน คือถ้าอยู่กับกลุ่มเพื่อนฝูงจะเฮฮาปกติมาก แต่พอมาอยู่คนเดียว อารมณ์ร่วงหล่นกลายเป็นคนละคนไปเลย ทำให้บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมักจะถูกบอกว่าคิดมากไปเอง เพราะในสายตาของคนอื่นก็ดูแล้วไม่มีอะไร แต่.. สายตาของมนุษย์มองทะลุไม่ได้นะครับ
หลายคนมองว่า: ผู้ป่วยเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่สนใจคนอื่นเลย
ความจริงที่ควรรู้: ในเมื่อยังเอาตัวเองไม่รอด จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปนึกถึงคนอื่น
เมื่อมีการดิ้นรนหาความช่วยเหลือเกิดขึ้น คนรอบข้างอาจจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย และมองว่าทำไมคน ๆ นี้ถึงได้หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของตัวเอง ไม่สนใจใครเลย หรือแม้กระทั่งในกรณีที่มีการพูดถึงการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายเกิดขึ้น ก็จะถูกมองว่าเรียกร้องความสนใจ ทำอะไรไม่นึกถึงพ่อแม่ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่สังคม ฯลฯ แต่ลองคิดตามผมดูนะครับ.. คนที่กำลังจมน้ำ คุณจะคาดหวังให้เขาเป็นห่วง ให้เขาว่ายน้ำไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร และคนที่สู้กับปัญหาไม่ไหว แปลว่าเขาไม่ได้พยายามสู้กับมันเลยงั้นหรือ? คนว่ายน้ำไม่เป็นต้องตะเกียกตะกายขนาดไหน คนว่ายน้ำเป็นถึงจะเข้าใจ
หลายคนมองว่า: อย่าไปซักถามอะไรมากดีกว่า เดี๋ยวจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่
ความจริงที่ควรรู้: ผู้ป่วยอยากให้ถามครับ เพราะบางเรื่องอยู่ ๆ จะเอ่ยปากออกมาเองก็คงไม่ใช่
ความรู้สึกอย่างหนึ่งของคนเป็นโรคซึมเศร้า คือรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระ ไม่อยากจะรบกวนใคร (ทั้งที่ตัวเองต้องการความช่วยเหลือด่วน) จึงเป็นที่มาของการแยกตัว เก็บตัว ไม่เข้าสังคม แล้วหากสังคมยังเพิกเฉย ตัวผู้ป่วยก็จะยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน ไม่มีเราก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครเดือดร้อน นำไปสู่ความคิดอื่นที่น่ากลัวได้ ดังนั้นการถามไถ่ความรู้สึกกันจึงช่วยได้มาก เป็นการช่วยระบายสิ่งที่อัดอันออกมาก่อนที่มันจะระเบิด ไม่ต้องกลัวว่ามันจะไปกระทบจิตใจผู้ป่วยจนอาการแย่ลง เพราะไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการต้องจมอยู่กับความเศร้าเดิม ๆ อีกแล้วครับ
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนค่อนข้างมาก มันไม่เหมือนกับการกินยาแก้ปวดแล้วก็หาย มันไม่ใช่ความเครียดที่แก้ได้ด้วยการคลายเครียด มันเป็นความรู้สึกล้มเหลว สูญเสียความเป็นตัวเอง จัดการกับความทุกข์ไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คนรอบข้างจะช่วยเยียวยาผู้ป่วยได้ คือการรับฟังด้วยใจ ไม่ต้องแนะนำอะไร ให้รู้ว่าอยู่ข้าง ๆ ไปไหนก็พอครับ ส่วนหน้าที่รักษาเป็นของจิตแพทย์และนักจิตวิทยา
เนื่องจากผู้เขียนห่างหายจากอาการซึมเศร้ามานานพอสมควร ก็เลยลืมปัญหาที่เคยมีไปบ้างแล้ว
จึงขอจบการเขียนเพียงเท่านี้ก่อน ถ้านึกอะไรได้อีกอาจจะกลับมาต่อ หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยสะท้อนอะไรบางอย่างแก่สังคมนะครับ
ปล. ถ้าผู้ป่วยซึมเศร้าคนไหนมีความคับข้องใจ หรืออยากให้ผมเขียนอะไรเพิ่มเติมก็ inbox มาได้เลยนะครับ
ขอบรรยายความรู้สึกของคนเป็นโรคซึมเศร้าครับ
หลายคนมองว่า: โรคซึมเศร้า ก็แค่ซึมกับเศร้า แค่นี้เอง
ความจริงที่ควรรู้: โรคนี้เรียกว่าโรคซึมเศร้า เพียงเพราะอาการซึมเศร้าเป็นอาการที่เห็นได้ชัด แต่ความเศร้าไม่ใช่ทุกอย่าง
เราลองมาดูชีวิตของผู้ป่วยกัน
ตื่นนอน --- ลืมตาขึ้นมา ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า ร่างกายอ่อนเพลีย ความคิดสับสนไปหมดไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อน นอนงงอยู่บนเตียง กว่าจะได้อาบน้ำแต่งตัว กว่าจะได้กินข้าว เสียเวลาไปแล้วสองสามชั่วโมง
ออกไปเรียน/ไปทำงาน --- กว่าจะเขยื้อนตัวออกมาได้ ปาเข้าไปกี่โมงแล้วครับ เป็นเรื่องธรรมดาที่สายตาจากคนรอบข้างจะมองมาในเชิงลบ แต่ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ ที่คนจิตป่วยอยู่แล้วจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้
การเรียน/การทำงาน --- เนื่องจากสารในสมองมีปัญหา ทั้งกระบวนการรับรู้ การคิดวิเคราะห์ การใช้เหตุผล การสื่อสาร การควบคุมอารมณ์ ทุกอย่างรวนไปหมด ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่ดี เกิดการโทษตัวเอง ตลอดจนถูกกล่าวโทษจากคนรอบข้าง ยิ่งอยู่ในสภาวะที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทุกอย่างก็ยิ่งแย่ไปหมด ณ จุดนี้ ความสัมพันธ์กับบางคนคงมีแตกหักกันบ้างหละ
กลับมาอยู่กับตัวเอง --- ย้อนนึกถึงสิ่งที่เราทำแล้วออกมาไม่ดี มีแต่ความล้มเหลวทั้งที่เราอยากจะทำมันให้เต็มที่ ชีวิตเริ่มจมอยู่กับความเศร้า หวังพึ่งพาใครก็ไม่ได้ (เพราะไม่มีใครเข้าถึงจิตใจเราได้จริง ๆ) คิดวนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต หาทางออกไม่เจอ สุดท้ายแค่เดินไปเรื่อย ๆ จนหมดแรง
นอนหลับ --- ขนาดหลับไปแล้ว บางคนยังมีปัญหาอีกคือหลับไม่สนิท หรือตื่นเองกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ ทำให้สมองที่ปวดหัวกับเรื่องแย่ ๆ มาตลอดทั้งวันไม่มีเวลาได้พักผ่อน ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับสารในสมอง? มันก็ยิ่งแย่กว่าเดิมไงครับ
อันนี้แค่เขียนจากประสบการณ์ของผมเองนะ
ปัญหาอย่างหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ในขณะที่เราพยายามทำความเข้าใจตนเอง เราก็ต้องพบเจอกับคนมากมาย บางคนพยายามช่วยเหลือเรา แนะให้เราทำโน่นทำนี่ บางคนมาตัดสินเราว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้(โดยใช้ตัวเองวัด) บางคนถึงขั้นแกล้งให้เราประสาทเสียเล่นเพื่อความสะใจเลยก็มี และถึงแม้ในสังคมจะมีคนหลายประเภท แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือ "เราไม่สามารถหาใครที่เข้าใจเราได้จริง ๆ เลยสักคน" และเหตุผลหนึ่งที่ต้องหาคนเข้าใจ ก็เพราะความเข้าใจผิด ๆ มันไม่ใช่เรื่องดีไงครับ ใครจะอยากโดนคนอื่นเข้าใจผิด
หลายคนมองว่า: รู้ตัวว่าเศร้า ก็พาตัวเองออกมาสิ ทำไมไม่พยายามเลย
ความจริงที่ควรรู้: ความเศร้าพวกนั้นเกิดความผิดปกติของสมอง เวลาคุณเป็นไข้หวัด คุณก็ห้ามตัวเองปวดหัวไม่ได้เช่นกัน
หลายคนที่เป็นโรคนี้มีอาการแบบเดียวกัน คือถ้าอยู่กับกลุ่มเพื่อนฝูงจะเฮฮาปกติมาก แต่พอมาอยู่คนเดียว อารมณ์ร่วงหล่นกลายเป็นคนละคนไปเลย ทำให้บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมักจะถูกบอกว่าคิดมากไปเอง เพราะในสายตาของคนอื่นก็ดูแล้วไม่มีอะไร แต่.. สายตาของมนุษย์มองทะลุไม่ได้นะครับ
หลายคนมองว่า: ผู้ป่วยเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่สนใจคนอื่นเลย
ความจริงที่ควรรู้: ในเมื่อยังเอาตัวเองไม่รอด จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปนึกถึงคนอื่น
เมื่อมีการดิ้นรนหาความช่วยเหลือเกิดขึ้น คนรอบข้างอาจจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย และมองว่าทำไมคน ๆ นี้ถึงได้หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของตัวเอง ไม่สนใจใครเลย หรือแม้กระทั่งในกรณีที่มีการพูดถึงการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายเกิดขึ้น ก็จะถูกมองว่าเรียกร้องความสนใจ ทำอะไรไม่นึกถึงพ่อแม่ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่สังคม ฯลฯ แต่ลองคิดตามผมดูนะครับ.. คนที่กำลังจมน้ำ คุณจะคาดหวังให้เขาเป็นห่วง ให้เขาว่ายน้ำไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร และคนที่สู้กับปัญหาไม่ไหว แปลว่าเขาไม่ได้พยายามสู้กับมันเลยงั้นหรือ? คนว่ายน้ำไม่เป็นต้องตะเกียกตะกายขนาดไหน คนว่ายน้ำเป็นถึงจะเข้าใจ
หลายคนมองว่า: อย่าไปซักถามอะไรมากดีกว่า เดี๋ยวจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่
ความจริงที่ควรรู้: ผู้ป่วยอยากให้ถามครับ เพราะบางเรื่องอยู่ ๆ จะเอ่ยปากออกมาเองก็คงไม่ใช่
ความรู้สึกอย่างหนึ่งของคนเป็นโรคซึมเศร้า คือรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระ ไม่อยากจะรบกวนใคร (ทั้งที่ตัวเองต้องการความช่วยเหลือด่วน) จึงเป็นที่มาของการแยกตัว เก็บตัว ไม่เข้าสังคม แล้วหากสังคมยังเพิกเฉย ตัวผู้ป่วยก็จะยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน ไม่มีเราก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครเดือดร้อน นำไปสู่ความคิดอื่นที่น่ากลัวได้ ดังนั้นการถามไถ่ความรู้สึกกันจึงช่วยได้มาก เป็นการช่วยระบายสิ่งที่อัดอันออกมาก่อนที่มันจะระเบิด ไม่ต้องกลัวว่ามันจะไปกระทบจิตใจผู้ป่วยจนอาการแย่ลง เพราะไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการต้องจมอยู่กับความเศร้าเดิม ๆ อีกแล้วครับ
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนค่อนข้างมาก มันไม่เหมือนกับการกินยาแก้ปวดแล้วก็หาย มันไม่ใช่ความเครียดที่แก้ได้ด้วยการคลายเครียด มันเป็นความรู้สึกล้มเหลว สูญเสียความเป็นตัวเอง จัดการกับความทุกข์ไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คนรอบข้างจะช่วยเยียวยาผู้ป่วยได้ คือการรับฟังด้วยใจ ไม่ต้องแนะนำอะไร ให้รู้ว่าอยู่ข้าง ๆ ไปไหนก็พอครับ ส่วนหน้าที่รักษาเป็นของจิตแพทย์และนักจิตวิทยา
เนื่องจากผู้เขียนห่างหายจากอาการซึมเศร้ามานานพอสมควร ก็เลยลืมปัญหาที่เคยมีไปบ้างแล้ว
จึงขอจบการเขียนเพียงเท่านี้ก่อน ถ้านึกอะไรได้อีกอาจจะกลับมาต่อ หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยสะท้อนอะไรบางอย่างแก่สังคมนะครับ
ปล. ถ้าผู้ป่วยซึมเศร้าคนไหนมีความคับข้องใจ หรืออยากให้ผมเขียนอะไรเพิ่มเติมก็ inbox มาได้เลยนะครับ