แชร์ประสบการณ์โรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า โรคใกล้ตัวที่คุณอาจมองข้าม :)

สวัสดีค่ะ ในการมาตั้งกระทู้ในครั้งนี้ เป็นการแชร์ประสบการณ์ของตัวเราเองที่กำลังป่วยเป็นโรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้าร่วมด้วย เราจึงอยากมาบอกเล่าให้ผู้ที่ผ่านเข้ามาอ่านซึ่งอาจประสบอยู่ในปัญหาเดียวกันกับเรา หรืออยากเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องโรคทางจิตเวชให้ได้อ่านกันค่ะ ยิ้ม

ก่อนจะรู้ว่าตัวเองป่วย แน่นอน เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องเดินเข้าแผนกจิตเวช ไปโรงพยาบาลมาหลายครั้ง (เราเป็นคนป่วยง่าย) ก็รักษาแค่โรคไข้หวัดธรรมดาทั่วไป แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้จะมาถึง ในวันที่เรามองป้ายหน้าห้องซึ่งเขียนอย่างชัดเจนอยู่ใต้ชื่อแพทย์ว่า 'แผนกจิตเวช'

เดิมที เราเป็นคนที่ค่อนข้างขี้กังวลอยู่แล้ว บวกกับถูกกดดันจากหลายๆเรื่อง เลยขี้กลัว กังวลจนสะสมให้เราเป็นคนขี้คิดมาก แต่ครั้งนี้อาการของเรารุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (จะไม่ขอเล่าว่าเราเจอกับอะไรมาบ้าง) จนถึงขั้นที่ใจสั่น เต้นร้อยกว่าครั้ง สูญเสียสมาธิ ความสนใจในสิ่งต่างๆลดลง สวดมนตร์ก็ไม่หาย นั่งสมาธิก็ไม่ช่วย กินข้าวไม่ได้จนน้ำหนักลดลงและซูบผอมจนทุกคนทัก ขอบอกว่าเราไม่ใช่คนผอม ออกไปทางอวบ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกไม่ยินดีเลยสักนิดกับการถูกคนทักว่า เธอผอมลงจังเลย .. เราตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆว่าทำไมถึงเป็นขนาดนี้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราก็ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ตั้งมากมาย ..
ก่อนจะไปพบแพทย์ เราได้อ่านบทความของผู้ป่วยในลักษณะนี้มาราวๆสิบบทความได้ รวมถึงบทความของจิตแพทย์ที่กล่าวถึงโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้าโดยละเอียด สาเหตุของโรคอย่างหนึ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันนั่นก็คือ "สารเคมีในสมองไม่สมดุล" จนกระทั่งเราตัดสินใจเล่าให้แม่ฟังและขอให้พาไปพบหมอทันทีในวันรุ่งขึ้น เพราะเรากลัวว่าอาการจะหนักจนเราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และสิ่งที่เราได้รับคำตอบจากจิตแพทย์นั่นก็คือภาวะที่สารเคมีในสมองของเราไม่สมดุลจริงๆ ซึ่งมันกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงอารมณ์ ความคิดต่างๆมันเปลี่ยนไปหมด สิ่งที่เคยทำแล้วสนุก มีความสุข เคยรัก เคยชอบมันลดลงอย่างไม่มีสาเหตุ มันทรมานเกินกว่าจะบรรยายออกมาและจบด้วยการที่เราร้องไห้ เครียด กินข้าวไม่ได้ แทบไม่อยากลุกไปไหนนอกจากนอนเฉยๆ แม้กระทั่งนอนก็ยังสะดุ้งผวาเพราะอาการวิตกกังวลที่มาแบบไม่รู้ตัว

การนัดพบหมอครั้งแรก ** คุณหมอนัดพบทุดๆ 2 อาทิตย์ค่ะ **
เมื่อเริ่มการรักษา คุณหมอวินิจฉัยว่าเราเป็นโรควิตกกังวงหรือ Anxiety ครั้งแรกเราได้รับยามาสี่ตัว มียาลดการเต้นของหัวใจ ยาต้านเศร้า ยาลดอาการวิตกกังวล และยาก่อนนอน แต่ไม่ใช่ยานอนหลับ เป็นเพียงยาคลายเครียด และช่วยปรับสารเคมีในสมองจึงทำให้รู้สึกง่วง คุณหมอจึงให้เราทานก่อนนอน และเพราะสมองเป็นศูนย์กลางของการทำงานของร่างกาย ในเมื่อสารเคมีในสมองเราไม่สมดุล เราจึงต้องส่งยาเข้าไปช่วยปรับ ^^

การนัดพบครั้งที่ 2
อาการของเราดีขึ้น แต่ในระหว่างที่ได้รับยากในครั้งแรกนั้น เรายังมีความคิดวิตกกังวลตกค้างอยู่ แต่อาการใจสั่นลดลงมากจากร้อยกว่าเหลือเพียงเจ็ดสิบกว่าซึ่งเป็นปกติสำหรับช่วงอายุเราแล้ว (เราอายุยี่สิบสามค่ะ) คุณหมอจึงไม่ได้สั่งให้กินยาลดการเต้นของหัวใจต่อ และให้ลดยาต้านเศร้าให้ทานเฉพาะมื้อเย็นครึ่งเม็ด ส่วนตัวอื่นๆยังทานตามปกติ เพราะการที่เราดีขึ้น ไม่ได้แปลว่าเรานั้นหายจากโรค ฉะนั้นจะต้องได้รับยาต่อไปเพื่อไปปรับสมดุลสารเคมีในสมองในระยะหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นอีก

การนัดพบครั้งที่ 3
ครั้งนี้เราถูกเพิ่มขนาดยาลดอาการวิตกังวนจากครึ่งเม็ดเป็นหนึ่งเม็ด เนื่องจากภาวะจิตตก และฟุ้งซ่านเริ่มกลับมาอีกครั้ง เราเล่าให้หมอฟังว่าเราเริ่มท้อจนร้องไห้ ร้องเพราะทำไมมันถึงไม่หายสักที เราเหนื่อยกับการที่จะต้องมาเป็นแบบนี้แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาอีกไหม เรามีอาการผวาเล็กน้อย และร้องไห้ เริ่มซึมอีกครั้งแต่ไม่เท่าครั้งแรก จึงต้องเพิ่มขนาดยาเพราะสารเคมีในสมองที่ทำให้เราอยู่ในภาวะแบบนี้มันยังไม่หายไป

การนัดพบครั้งที่ 4
อาการเราดีขึ้นมากจนรู้สึกว่า เราเคยเป็นหนักขนาดนั้นมาได้ยังไง เราเริ่มใช้ชีวิตตามปกติ แต่บางครั้งก็รู้สึกหดหู่และวิตกกังวลเล็กน้อย ซึ่งสามารถควบคุมได้ หมอจึงลดยาลงเหลือเพียงยาก่อนนอน และยาลดอาการวิตกกังวล ส่วนยาต้านเศร้าไม่ได้สั่งต่อแล้วค่ะ .. ก่อนจะกลับ เราปรึกษาหมอว่าเราควรบอกเรื่องนี้อย่างไรให้คนที่เรารักและไว้ใจเข้าใจเรา ว่าการที่เราป่วย ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นบ้า หรือเป็นคนอ่อนแอ สิ่งหนึ่งที่คุณหมอพูดนั่นก็คือ 'คุณไม่สามารถเปลี่ยนความคิดใครได้ ต่อให้เขามาฟังผมอธิบายเรื่องโรคนี้ให้ฟัง แต่ถ้าเขาจะคิดว่าการที่ผู้ป่วยโรคนี้เป็นคนอ่อนแอ ไม่สู้ ไม่อดทน นั่นก็คือปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา'

เรารักษามาเพียงหนึ่งเดือน บางครั้งเรารู้สึกท้อ แต่ในทางกลับกัน เราเองก็คิดว่า บางคนใช้เวลาเป็นปีเขายังทนมาได้ เพราะฉะนั้นเราเองก็ต้องอดทน และต้องให้เวลากับมัน ยารักษาอาการเหล่านี้ไม่ได้กินเพียงแค่ 2-3 วันแล้วหาย แต่ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือกระทั่งเป็นปีสำหรับผู้ที่มีอาการุนแรงมาก

หลายคนอาจคิดว่าการมาพบจิตแพทย์นั้น = เป็นบ้า คนใกล้ตัวเราเอง และแม้แต่คนที่เรารักเอง ยังมองว่าเรานั้นอ่อนแอ ไม่รู้จักสู้ ไม่รู้จักอดทน คิดมาก กดดันตัวเอง และคิดไปเอง แต่วันนี้เราอยากจะบอกว่าถ้าหากใครไม่เป็น ไม่เจอกับตัวเอง คุณจะไม่มีทางเข้าใจความทรมานซึ่งยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างแน่นอน

ข้อแนะนำสำหรับคนที่มีญาติ เพื่อน หรือคนสนิทที่เป็นโรคทางจิตเวช ง่ายๆสั้นๆ หากคุณต้องการปลอบปะโลมเขา แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เขาดีขึ้น คุณก็เพียงแค่นั่งฟังและกอดเขาเอาไว้ให้แน่นๆ เท่านั้นก็พอ อย่าพูดว่า "อย่าคิดมากดิ เรื่องแค่นี้เอง" คำนี้อย่าหลุดออกมาจากปากคุณเด็ดขาด เพราะอย่างที่เราบอกว่าคุณไม่สามารถเข้าใจปัญหาของเขาที่เจอได้ดีเท่ากับตัวเขาเอง คนเราต่างคนต่างความคิด เรื่องเล็กของคุณอาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น หลายคนจบชีวิตลงด้วยการที่คิดว่าตัวเองนั้นตัวเล็กมากจนไม่มีใครมองเห็น ถูกมองข้าม และจากโลกนี้ไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

ในวันนี้ ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่หายดีร้อยเปอร์เซ็น แต่เราเชื่อว่าวันที่เราจะกลับมาเป็นคนเดิมที่มีความสุขอีกครั้งรอเราอยู่ เราเองขอเป็นกำลังใจให้คนที่ป่วยเหมือนเรา ใครไม่เข้าใจ จะมองว่าเราคิดมาก เป็นบ้า อ่อนแอ จงพึงระลึกไว้เสมอว่า 'ตัวเราเองนั้นป่วย ก็มีแค่เราที่รักษาตัวเองได้' ^^ อ้อ.. ส่วนทางการแพทย์นั้นยืนยันว่า ต่อให้คิดมากแทบตาย ก็ไม่สามารถเป็นบ้าได้นะคะ นั่นเพราะว่ามันเป็นคนละโรคกันจ้า ^^

หมั่นหากิจกรรมทำ ถึงแม้ว่าไม่มีแรง รู้สึกเบื่อ จนไม่อยากทำอะไรก็ตาม แต่พอคุณได้ลองใช้สมาธิกับอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณลืมสิ่งที่คุณเครียด หรือวิตกกังวลอยู่ได้บ้าง เราเองสวดมนตร์ก่อนนอนและแผ่เมตตาขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรทุกคืน เพราะเราคิดว่าบางครั้งก็อาจจะเป็นกรรมเก่า แต่ในส่วนหนึ่งก็อยากจะทำเพื่อให้ตัวเองสบายใจด้วย เขาถึงได้บอกว่า ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างหนึ่ง ^^

สุดท้ายนี้ ให้กำลังใจตัวเองให้มากๆ จงคิดว่าสิ่งที่คุณกำลังประสบอยู่ มันก็แค่อาการของโรคก็เท่านั้น หากคุณได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และอาการเริ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อไหร่ ความคิดในแง่ลบของคุณจะเปลี่ยนไป และกลับมาเป็นตัวคุณที่มีความสุขดังเดิม

ขอให้ทุกคนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรงกันนะคะ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่