โรคทางจิต (ซึมเศร้า กลัวคน) หายได้ไม่ต้องพึ่งยา

ตามหัวข้อนะครับ  โรคทางจิตหายได้ไม่ต้องพึ่งยา  แต่ต้องพึ่งใจอย่างหนัก   และเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  

สวัสดีครับทุก ๆท่าน  หลาย ๆคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้  อาจจะเป็นโรคทางจิต  และกำลังหาทางออกไม่ได้  จนหมดหวังกับชีวิต ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ  ผมเป็นมา 7  ปีน่าจะได้ครับ  ตั้งแต่ ม.4 ถึงเรียนจบมหาวิทยาลัยแทบเป็นแทบตายน่ะครับ  เคยไม่สอบตอนปี 3 ตก  F ทุกวิชา  จนกระทั่ง  1  ปีที่ผ่านมา  ผมตัดสินใจสิ่งๆนึงที่เปลี่ยนชีวิตผมไปทีเดียว  

ผมอยากให้พวกคุณที่เป็นอยู่ลองอ่านดูนะครับ  แล้วเอาไปประยุกต์ใช้  ผมไม่อยากให้คุณเชื่อหรอก แต่ลองนำไปปฎิบัติดูว่าจริงไหม ? ถ้าไม่มีวิธีอื่นแล้วคุณจะลองดูไหม ?

ผมนี้เมื่อก่อนเหมือนกับคนซังกะตายมาก  หมดหนทางเดิน  เดินไปทางไหนก็เห็นแต่กำแพงขวางบ้าง  ทางข้างหน้ามันขาดบ้าง  ตกหลุมปีนขึ้นมาไม่ได้บ้าง  ผมได้แต่นอนทั้งวันทั้งคืนเฝ้าหาให้ใครสักคนมาช่วยผม  มันทรมาณมาก  คุณก็อาจจะเป็นเหมือนผมก็ได้  วันนี้ผมจะมาแนะนำประสบการณ์ของผมครับ  ผมจะช่วยคุณทลายกำแพงให้ร้าว  คุณก็ต้องพังกำแพงให้ได้  ผมพยายามสร้างทางให้คุณแล้ว  คุณก็ต้องช่วยสร้างทางให้แข็งแรงแล้วเดินข้ามมาให้ได้  ผมยื่นมือให้คุณที่ตกหลุมแล้ว  เหลือแต่คุณจะจับมือผมแล้วออกแรงปีนขึ้นมา  ตอนนี้มันอยู่ที่ตัวคุณแล้วที่คุณจะต้องพยายามให้หลุดพ้นจากจุดนี้ให้ได้  ความทุกข์ของคุณไม่มีใครแก้ให้คุณได้ครับ  มีแต่คุณต้องแก้ด้วยตนเองเท่านั้น  คนอื่นได้แต่ให้กำลังใจ  ให้คำปรึกษา  แต่เป็นคุณที่ต้องใช้เรี่ยวแรง  ใช้ใจสู้ด้วยตนเอง  เพื่อแก้ทุกข์ในใจของตัวคุณ

ผมไม่อยากให้คุณใช้ชีวิตอย่างคนซังกะตาย  และเบื่อท้อแท้ชีวิตจนถึงกับคิดสั้น  คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณฆ่าตัวตายแล้วจะมีความสุขจริงๆ ?  ขนาดชีวิตในปัจจุบันยังร้อนแทบเป็นแทบตายเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นอย่างนี้  ฆ่าตัวตายไปจะไม่ทุกข์กว่านี้หรอ ?  

ชีวิตของเรามีคุณค่านะครับ !  ใครกำลังคิดอย่างนี้ผมอยากขอให้คุณเปลี่ยนความคิด  และลองวิธีที่ผมทำ  ผมตั้งใจว่า 1 ปีที่ผมพยายามแทบเป็นแทบตายเพื่อรักษา  ถ้ามันดีขึ้นผมตั้งใจจะมาบอกต่อคนที่เป็นเหมือนผม  ซึ่งตอนนี้ครบ  1  ปีแล้ว  ตอนนี้อาการผมดีอยู่  และในช่วง  1  ปี  อาการของผมแทบไม่มีเลยล่ะครับ  ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าอนาคตอาการผมจะกลับมาเหมือนเดิมไหม  แต่ตอนนี้ผมรู้วิธีปฏิบัติต่อใจของผมแล้ว  และผมอยากบอกต่อพวกคุณครับ อมยิ้ม04

ผมอยากจะให้พวกคุณเข้าใจก่อนว่าวิธีการที่ผมทำเป็นการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา คุณอย่าพึ่งคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ  พวกคุณอาจจะเคยไปทำบุญใส่บาตร  เข้าวัดเข้าวา  ถวายอาหาร  ปัจจัยให้พระ  บนบานศาลกล่าว แต่ทำไมไม่เห็นดีขึ้นใช่มั้ย  ?  จนพวกคุณเกิดความสงสัยในเรื่องของผลบุญกุศล  ทำไมเราทำดีไม่เห็นจะได้ดี  ผลบุญไม่เห็นส่งผลเลย  และหมดศรัทธาก็เป็นได้  แต่ตรงกันข้ามกัน  ทำไมคนที่กินเหล้า  ทำบาปต่างๆ  ทำไมกลับมีความสุข  แต่เรากลับทุกข์  เราไปทำกรรมอะไรไว้  ทำไมเทวดา  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นช่วยเราบ้าง  เราก็เป็นคนดีมาตลอด  พระเจ้ามีจริงมั้ย  พระพุทธเจ้ามีจริงมั้ย  ?

ผมก็เคยคิดแบบคุณครับ  บอกให้ผมนี่ตอนมหาลัยอยู่  ชมรมพุทธฯ ของมหาลัยทางอีสาน  ทุก ๆวันตอนเย็นจะมีการทำวัตรเย็น  และนั่งภาวนาเป็นเวลา  1  ชั่วโมงทุกวัน  อีกทั้งยังทำบุญให้ทานมาตลอด  แต่ผมกลับทำแล้วไม่ได้อะไร  ทำแล้วก็ไม่เห็นหาย  จนหมดศรัทธา  สักแต่ว่าอยู่ชมรมพุทธฯ เฉย ๆเท่านั้น  ยังไปเที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลิน  กินเหล้า  กินเบียร์กับเพื่อน ๆ

พอผมได้มาบวชเป็นระยะเวลา  1  ปีก็ทำให้ผมได้รู้ว่า  เราแก้ปัญหาผิดจุดมาโดยตลอด  เราไม่รู้ถึงหลักของศาสนาพุทธ  เราปฏิบัติกันไม่เป็น  ถึงไม่เห็นผลที่ควรจะเป็น  คือ  การทำบุญให้ทานทำบุญใส่บาตรนั้นก็ได้บุญ  มีผลบุญอานิสงส์เหมือนกัน  และผลบุญอาจจะส่งผลในภายหน้า  ซึ่งในขณะปัจจุบันยังไม่ให้ผล  แต่ที่เราเห็นชัด ๆก็คือ  เราจะรู้สึกสบายใจ  มีความสุขที่ได้ให้ตอนขณะที่เราให้ถ้าเราไม่ไปหวังผลนะ  แต่การทำบุญให้ทานตรงนี้ยังไม่ได้แก้ปัญหาในจิตใจเรา  การที่จะแก้ไขปัญหาในจิตใจเราที่เป็นโรคซึมเศร้าต้องมาภาวนากัน  มานั่งภาวนา   เดินจงกรม

เมื่อก่อนผมก็เคยไปหาจิตแพทย์เหมือนกัน  กินยามาตลอดปีสองปี  แต่รู้สึกมันหว้าเหว่  รู้สึกในใจมันบอกว่ายังไม่เห็นจะหายไปเลย  ก็แค่คงอาการไว้ให้พอเป็นปกติใช้ชีวิตในสังคมได้เท่านั้น  แต่ความมั่นใจอะไรนี้มันหายไป  ได้แต่กังวลในใจทุกวัน  ถ้าหยุดยาเมื่อไหร่อาการก็จะกลับมาเป็นอีก  การกินยานี้เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ  ถ้าจะแก้ไขให้ถูกก็คือต้องแก้ที่ต้นเหตุ  นั่นคือจิตใจของเรานั่นเอง  การภาวนาก็คือ  การแก้ไขที่จิตใจของเรานั่นเอง

คุณอาจจะบอกว่า  มันจะแก้ยังไงเล่า  มันเป็นมานานแล้ว  เรื้อรังมานาน  ไม่รู้อะไรเป็นสาเหตุกันแน่  หลายอย่างหลายสาเหตุมารวมกัน  สมองมันคิดไปเอง  เราคุมความคิดตัวเองไม่ได้  ใจสั่นบ้าง  มือสั่น  เบลอๆ  คิดอะไรไม่ออก  หนัก ๆเข้าไม่มีเรี่ยวมีแรง  กินข้าวไม่ลง  ได้แต่นอนไปวัน ๆ  เบื่อชีวิตจะตาย  

การภาวนาช่วยคุณได้  การภาวนาคืออะไรหรอ ?  การภาวนานี้คือการเจริญสติให้อยู่กับปัจจุบัน  ไม่ไปคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว  ไม่กังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  การเจริญสตินี้ยิ่งเราเจริญให้มาก ๆเราจะยิ่งเห็นความคิดเรา  และเราจะเข้าใจมัน  สามารถที่จะควบคุมความคิดได้

การภาวนาทำได้หลายวิธี  มีกรรมฐานตั้ง  40  แบบ  เลือกตามที่คุณถนัด  ส่วนผมนี้ถนัด  หายใจเข้า –  พุธ  หายใจออก  -  โธ  คุณอย่าคิดว่ามันธรรมะ  ธรรมโมไปนะ  เพื่อน ๆ คุณอาจจะคิด  คนรอบข้างคุณอาจจะคิด  แต่ถ้ามันดีกับตัวเองทำไปเถอะ  

การบริกรรมพุทโธนี้ก็เพื่อที่จะทำให้จิตเราอยู่กับอารมณ์เดียว  ให้อยู่กับความคิดเดียว  คือความคิดพุทโธนั่นเอง  ที่เราทุกข์กันทุกวันนี้ก็คือ  ความคิดเรามันคิดไปเอง  เราควบคุมไม่ได้  พอเจออะไรที่มากระตุ้น  นี่มันคิดไปเองอีกแล้ว

คุณต้องบริกรรมพุทโธให้มันตลอดเวลา  ถ้าเผลอไปคิดอะไร  นึกขึ้นได้ก็ให้รีบบริกรรมพุทโธใหม่  อย่างนี้ไปเรื่อย ๆจนเป็นนิสัย  ให้มันเป็นอัตโนมัติ  ถ้าคุณทำได้จนไม่เผลอ  ใจคุณก็จะเริ่มสงบลง ๆ  คุณจะมีความสุขแบบไม่มีอะไรเทียบได้  เพราะว่ามันเบาสบาย  ไม่มีความคิดไปเองที่คอยคิดขึ้นมาอยู่นั่นแหละมารบกวนจิตใจ

คุณคิดดูจะมีความสุขมากมั้ย  ถ้าเราไม่ไปคิดอะไรเลย   มีแต่ความโล่ง  ?

การภาวนาให้ใจสงบนี้  เรียกว่า  สมถะภาวนา  เป็นการภาวนาให้ใจได้รับความสงบ   แต่การจะมาถึงขั้นนี้ได้ต้องอาศัยการฝึกฝนมาเรื่อย ๆ  ทำมาตลอดทุกวันทุกเวลา  ต้องอาศัยการภาวนาเพื่อเจริญสติให้ตามทันกับความคิดเรา  มองให้เห็นความคิดของเราที่คิดขึ้นมา  พอมันคิดก็รีบนึกพุทโธ ๆเลย

การภาวนานี้  จะนั่งสมาธิภาวนาก็ได้   เดินจงกรมก็ได้  ช่วงแรก ๆก็อาจจะนั่งเท่าที่เราไหวไปก่อนสัก  10  นาทีบ้าง  แล้วค่อยเพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ  ว่างตอนไหนก็ทำเพื่อเป็นการฝึกฝนเป็นการฝึกสติของเรา  ทั้งนี้อาจจะเปิดเทศน์ฟังด้วยเพื่อเป็นการเสริมสร้างสติปัญญาของเรา   การฟังเทศน์นี้จะทำให้เราได้รู้อะไรหลายสิ่งที่ดีต่อชีวิตของเรา  และจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนการภาวนาของเรา

การภาวนานี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งสมาธิ  เดินจงกรมเสมอไป  การภาวนาปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ตลอดเวลา   ทำตอนไหนก็ได้  ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ  ก็ทำได้  แค่ขอให้เรามีสติอยู่กับการกระทำในปัจจุบัน  เราคิดถึงสิ่งที่เรากำลังทำในปัจจุบัน  ไม่ไปคิดถึงสิ่งอื่น  ใจลอยไปที่อื่น  แต่ให้อยู่ในปัจจุบัน  การกระทำในปัจจุบัน  เดินก็ให้รู้ว่าเรากำลังเดิน  กินก็ให้รู้ว่ากำลังกิน   ขับรถก็ให้รู้ว่าขับรถ  ทั้งนี้บริกรรมพุทโธไปด้วยก็ได้  นี่คือการเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง  แต่ทางที่ดีถ้ามีเวลานั่งสมาธิภาวนาดีกว่า  เพราะเป็นการภายใน

พอคุณภาวนาให้ใจได้รับความสงบบ้างแล้ว  คุณก็จะเกิดความสงสัยขึ้นมา  เพราะความสงบมันจะอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น  คุณก็ต้องพยายามทำอย่างนี้ต่อไป  คุณอย่าไปหวังผลเด็ดขาดนะที่จะให้ใจคุณได้รับความสงบ  ถ้าคุณไปคาดหวัง  คุณจะทุกข์ขึ้นมา  คุณจะไม่รู้สึกอยากทำ  เพราะเมื่อคุณไปปารรถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นคุณก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมา  สิ่งที่คาดหวังได้คือทำเหตุให้ดี  ภาวนาพุทโธให้มากๆๆ  ให้มันต่อเนื่องนั่นแหละ  เมื่อเหตุดี  ผลก็จะต้องดีเอง  เพราะผลย่อมไม่แน่นอนนั่นเอง  ไม่อยู่ในบังคับของเรา  ถ้าไปยึดก็เป็นทุกข์  คิดซะว่าให้ทำเหตุอย่างเดียว  มีความพอใจในการทำเหตุคือ  พุทโธ  นี่คือการเจริญสติ  คิดซะว่าเป็นการเจริญสติของเราให้อยู่กับปัจจุบันนั่นเอง  อย่างอื่นไม่ต้องไปหวัง  


เมื่อคุณภาวนาได้รับความสงบแล้ว  ก็เอาความสงบนั้นมาพิจารณาความทุกข์ในใจของเรา  ว่าความทุกข์มันมาจากไหนกัน  ทำไมต้องเกิดความทุกข์ขึ้น  ทั้งนี้คุณอาจจะต้องใช้ปัจจัยอื่นมาเป็นตัวช่วยในการพิจารณา  คือนั่งภาวนา  เมื่อเกิดเจ็บขาขึ้นมา  เกิดเวทนาความทุกข์ขึ้น  ก็ใช้จุดนี้แหละพิจารณาหาความจริง  ว่าทำไมถึงทุกข์  ทุกข์มาจากไหน  มันอาจจะยากไปหน่อย  เพราะเรายังไม่เคยทำกัน  อยู่ ๆ จะให้พิจารณา  ให้มีปัญญาขึ้นมานั้นแบบมาก ๆ ไม่มีหรอก  อยู่ที่เราขยันคิด  พิจารณาเอาเอง  ก็เหมือนกับการเรียนหนังสือล่ะครับ  แรก ๆ เราอาจจะไม่เข้าใจ  แต่ทำไปเรื่อย ๆ จะเข้าใจ  ทั้งนี้มันยากเพราะเป็นเรื่องนามธรรมนั่นเอง  จับต้องไม่ได้

นี่เรียกการภาวนานี้ว่า  วิปัสสนาภาวนา  เป็นการพิจารณาให้เห็นถึงสัจจธรรมในธรรมชาติว่าความทุกข์มาจากไหน  ทำไมเราถึงทุกข์นั่นเอง  ที่เราทุกข์ ๆ กันเพราะเราไปยึดขันธ์  5  นั่นเอง

ขันธ์  5  คืออะไรหรอ ?  ขันธ์  5  ก็คือตัวเรานั่นแหละครับ  มี  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ

รูป  ก็คือรูปร่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่  ที่เราเห็นว่าเป็นตัวเราของเรา  สวย ๆ หล่อ ๆ นี่แหละ
เวทนา คือ ความสุข  ความทุกข์  เฉยๆ
สัญญา  คือ ความทรงจำได้ว่าสิ่งนั่นคืออะไร  ประสบการณ์ต่างๆ  ที่เราเรียนรู้มาก็กลายมาเป็นความจำ  ทั้งนี้มันอาจจะถูกตามความเป็นจริงบ้าง  ไม่ถูกตามความเป็นจริงบ้าง  เราก็ต้องมาคลี่คลายให้เห็นตามความเป็นจริง  ที่เราทุกข์ก็เพราะเราไม่เห็นตามความเป็นจริง  แล้วยึดมาทุกข์
สังขาร  ก็คือความคิดปรุงแต่งของเรานั่นแหละครับ  ที่มันคิดขึ้นมาเอง  ที่เราควบคุมความคิดไม่ได้นั่นเองแหละครับ
วิญญาณ  ก็คือ สิ่งที่เรารับรู้ทาง ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  แล้วมาให้ความหมายเป็นนั่นเป็นนี่  เป็นสุข  เป็นทุกข์นั่นเอง

ขันธ์  5  นี้มันทำงานร่วมกันครับ  เช่น  เรารับรู้ทางตา  ถ้าเราเห็นสิ่งไปกระตุ้นนี้ (รูป)  ความจำ (สัญญา) ก็จะคิดขึ้นมาแล้วถึงเรื่องเก่าๆ  ความคิดปรุงแต่ง (สังขาร) ก็เริ่มคิดไปเองแล้ว  คิดฟุ้งซ่านไม่จบไม่สิ้น  ก็จะเกิดความทุกข์เวทนาขึ้นมาแล้วครับ


ทุกสิ่งมันมีสาเหตุครับ  คุณภาวนาคุณจะเห็นสิ่งที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด  ในทางศาสนานี้มีกล่าวหมดครับ  คุณอาจจะเบื่อเพราะมันดูธรรมะธรรมโมไป  สาเหตุในพระพุทธศาสนา  ก็คือกิเลสนั่นเอง  สิ่งที่ทำให้ใจเราเศร้าหมอง

ศาสนาพุทธ  ธรรมะต่างๆ  มันก็เหมือนกับน้ำเปล่า  ถึงจะไม่มีรสชาติ  สู้น้ำโค๊ก  น้ำแดง  ชาเขียว  กาแฟ  ไม่ได้  แต่มันก็จำเป็นและขาดไม่ได้ครับ  เวลาคุณทุกข์นี่จะเริ่มคิดขึ้นมาได้แล้วล่ะครับ

คุณอาจจะพิจารณาควบคู่ไปกับหลักไตรลักษณ์  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา   เพื่อที่จะทำให้เราปล่อยวางครับ  
และอาจจะพิจารณาถึงโลกธรรม 8  คือ  นินทา  สรรเสริญ  สุข  ทุกข์  มีลาภ  เสื่อมลาภ  มียศเสื่อมยศ

เช่น  ถ้าเราทำดี  เราก็จงมั่นใจในความดีของเรา  อยู่ในหลักของศีลธรรม  คือศีล  5  นั่นเอง  ใครจะมาว่าอะไร  นินทาอะไร  ก็ไม่สามารถทำให้ความดีของเรา  เป็นความไม่ดีไปได้  ส่วนมากที่เราทุกข์กัน  เพราะใจเราไม่มั่นคงในความดี  ไปขึ้นอยู่กับคนอื่นซะมากกว่า  หวังให้คนชม  ไม่อยากให้คนนินทา  ไม่มีหลักของใจที่มั่นคง  แต่สมมติถ้าเราทำไม่ดี  แม้ใครจะชม  มันก็ไม่ทำให้สิ่งที่เราไม่ดี  เป็นดีขึ้นมาได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่