คำเตือน ใครไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ แบบไม่เกิน 7 บรรทัด กรุณาปิดกระทู้นี้ไปเลยครับ
2 3 วันมาเนี่ย ผมเห็นกระแสสังคมที่ตอบโต้อย่างรุนแรงมาก ๆ ทั้งเรื่อง คาดเข็มขัด นั่งใน CAB ห้ามนั่งท้ายกระบะ
แทบจะทุกวงการ ออกมาตอบโต้กัน ดาราเอย นักวิชาการเอย ทนายความเอย ตำรวจเอย ฯลฯ แถมยังมี คลิปล้อเลียน ภาพล้อเลียนต่าง ๆ เกิดขึ้นมาเต็มโลกโซเชียลเต็มไปหมด แล้วบอกได้เลย ส่วนใหญ่เนี่ย อาจไม่ได้มีผลกระทบจริง ๆ หรอก แต่เอามันส์ เอาสนุกไปอย่างงั้น ตามกระแส
แต่เอาจริง ๆ นะ ผมกลับเห็นด้วยในทุก ๆ อย่างที่ รัฐบาลทำ เพียงแต่ มันยังเร็วเกินไปที่จะทำ และ รัฐบาลเอง ยังสื่อให้ประชาชนเห็นในสิ่งที่รัฐต้องการยังไม่ถูกต้อง
ผมเข้าใจนะว่า รัฐเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของประชาชน แต่ จะมีใครรู้หละครับ ว่า รัฐเขาห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะ รัฐเองก็ไม่ได้สื่อให้เห็นในเรื่องนี้ อยู่ ๆ ก็ประกาศออกมา โดยไม่ได้บอกอะไรให้ชัดเจนเลย
เอางี้นะ ลองอ่านที่ผมพิมพ์ แล้วลองคิดตาม ว่า ทำไม ผมถึงเห็นด้วย + กับไม่เห็นด้วย
อย่างแรกคือ คุณทราบกันหรือไม่ว่า ประเทศเราเนี่ย มีสถิติ อัตราการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ติดอันดับ 2 ของโลกติดต่อกันมาหลายปีแล้ว
นี่คือ ปี 2014
http://www.foxnews.com/travel/2014/02/21/top-10-deadliest-countries-for-drivers.html
นี่คือ ปี 2016
http://www.worldatlas.com/articles/the-countries-with-the-most-car-accidents.html
ซึ่ง อันดับ 1 จริง ๆ มันก็คือ มอเตอร์ไซด์นั่นเหละ อ้าว นี่ไง แล้ว มันไปเกี่ยวอะไรกับ นั่งท้ายกระบะ นั่งใน CAB แล้วต้องคาด BELT
เอางี้นะ พูดก็พูดเถอะ สรุปแล้ว ถามว่า ทำไม บ้านเรามีการเกิดอุบัติเหตุติดอันดับ 2 ของโลก ซึ่งมันน่าภูมิใจมาก ว่างั้น
ผมบอกเลย สาเหตุ อยู่ที่ กฎหมายที่ไม่เข้มงวดครับ ผมยอมรับเรื่องนึงคือ เรื่อง ใบสั่ง ก่อนจะมี ม.44 ลงมาเอาจริง เรื่อง อายัติการต่อทะเบียน ตรงนี้ ผมยอมรับเลยว่า ยาแรงมาละ และจะใช้ได้ผลจริง ๆ
คุณพ่อผมเนี่ย เป็นคนที่ขับรถเร็วมาก ๆ และไม่ยอมคาดเข็มขัดนิรภัย รู้ไหมครับ ผมทำยังไง ผมต้องยอมที่จะซื้อรถที่มันมี เสียงเตือนคาด BELT ตลอดเวลา รวมถึงเตือนมันทั้งผู้โดยสารตอนหน้าด้วย เพราะไม่อย่างนั้น เวลาคุณพ่อไปกับคุณแม่ ก็ไม่คาดทั้งคู่
แล้วผมก็ไม่บอกด้วยนะว่า มันมี ไอ้ตัวเสียบหลอก ให้มันหยุดร้อง เพราะไม่งั้น เขาไปซื้อมาเสียบแล้วไม่คาดแน่ ๆ
โอเค เรื่อง BELT กับคุณพ่อและแม่ผม ผ่านไป เพราะทุกวันนี้ ก็เหมือนโดนบังคับให้คาด เพราะรำคาญเสียงเตือน และ ถ้าเป็นไปได้นะ บริษัทรถในเมืองไทย ติดเสียงเตือนนี่มาทุกที่นั่งเลย จะดีมาก
ทีนี้ มาเรื่องใบสั่ง อย่างที่ผมเกริ่นไว้ คือ คุณพ่อผม ขับรถเร็วมาก เรียกได้ว่า ใบสั่งที่บ้านผมเนี่ย มีไม่ต่ำกว่า 30 ใบ แล้วถามว่า ผมจ่ายมั้ย บอกเลยครับ ไม่จ่ายครับ เพราะถ้าไม่จ่าย ก็ไม่มีผลนี่ ก็ต่อทะเบียนได้ปกติ อันนี้ผมยอมรับกันตรง ๆ แบบลูกผู้ชาย ผมพูดกันตรง ๆ เอาความจริงมาพูดนะ เพื่อต้องการสื่อให้เห็น และ เราควรจะช่วยกันแก้ปัญหา
และไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะ ที่ไม่ไปจ่าย วันก่อนนั่งดูข่าว ก่อนที่ลุงตู่จะประกาศ ม.44 มาใช้ เกี่ยวกับเรื่องใบสั่ง ข่าวบอกว่า มีคนไม่จ่ายถึง 80 % นั่นแสดงให้เห็นว่า 80 % นี่ยังขับรถเร็วแน่ ๆ และไม่เกรงกลัว เพราะกฎหมายเรื่องใบสั่ง มันไม่มีผลอะไรเลย แล้วจะไปจ่ายทำไม
ประเด็นของผม อยู่ที่ ทำยังไง ให้คนขับรถช้าลงนะครับ อย่าหลงประเด็น และ พอมี ม.44 ประกาศออกมา เอาจริงเรื่องใบสั่ง ผมบอกคุณพ่อผมเลย หลังจากนี้ กรุณาขับรถให้ช้าลงด้วย ไม่งั้นต้องเสียค่าปรับแล้วนะ แล้วต่อทะเบียนไม่ได้ด้วย
ขอแทรกตรงนี้นิดนึง เรื่อง การปลดล็อก การอายัติทะเบียนเนี่ย ผมยังไม่เข้าใจวิธีการว่า เขาปลดกันยังไง ไม่ใช่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตกันอีก มีการจ่ายเงินกันใต้โต๊ะ เพื่อให้คนในขนส่ง ปลดล็อกการอายัติ อะไรแบบนี้ ซึ่งต้องป้องกันตรงนี้ด้วย
มาต่อครับ บอกเลยครับ ได้ผลจริง ๆ ครับ คุณพ่อผม ขับรถช้าลงอย่างมีนัยสำคัญเลย และก็ยังไม่มีใบสั่งมาเลยช่วงนี้ ก็ถือว่า สำหรับบ้านผมนี่ ประเด็นนี้ ได้ผล และผมบอกแล้วว่า คนไทยต้องใช้ยาแรงครับ ถึงจะได้ผล
ทำไมผมพูดแบบนี้ เพราะ คุณสังเกตกันมั้ยครับ เวลาอยู่เมืองไทย ข้ามถนนตรงไหนก็ได้ ขับมอเตอร์ไซด์ย้อนศรก็ได้ นั่ง TAXI อัดกัน 5 6 คนก็ได้ ขับรถไม่คาดเข็มขัดก็ได้
แต่คนเหล่านี้เหละครับ คนเดียวกันนี่เหละ พอไปต่างประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่เข้มงวด ทำไมคนทุกคนกลับยอมทำ โดยไม่รู้สึกว่าโดนบังคับเลย ทั้ง ๆ ที่ ก็เป็นคน ๆ เดียวกันนี่เหละ
ไม่ต้องใครหรอกครับ ผมเองก็เป็นครับ เอาแค่ใกล้ ๆ เนี่ย อย่างสิงคโปร์ ผมจะข้ามถนนที ผมหาทางม้าลายก่อน ผมหาไฟคนข้ามก่อน ถ้าไม่มี ผมก็เดินหา เพราะกลัวว่าไปข้ามแล้วผิดกฎหมายโดนปรับบานเลย ไม่คุ้ม
TAXI ในต่างประเทศ หลาย ๆ ประเทศ นั่งสูงสุด 4 คน ถ้าเราไปกัน 5 คน เราก็ยอมเรียก 2 คัน โดยคันนึง นั่ง 3 อีกคันนั่ง 2 เราก็ยังยอมที่จะเรียก 2 คัน และพอเขาบอกให้คาดเข็มขัด เราก็คาด เพราะกฎหมายเขามี ทำไมเรายอมทำ
แต่ทำไมบ้านเรา มันแก้ตรงนี้ไม่ได้ ก็เพราะ ผมว่า กฎหมายบ้านเรายังไม่เข้มงวดพอ
เรื่อง ใบสั่งความเร็ว เกิน 120 ซึ่งเป็นความเร็วที่เขาอนุโลมนะครับ ไม่ใช่ให้วิ่งได้ 120 หลาย ๆ คนก็ยังเข้าใจผิดกันอยู่ แต่เรื่องนี้ ผมอยากเสนอให้เพิ่มอัตราโทษปรับเป็นขั้นบันไดด้วย
ยิ่งขับเร็ว ยิ่งปรับแพง ผมว่า ดีและน่าจะได้ผล
เช่น ขับ 121 - 125 ปรับ 500
ขับ 126 - 130 ปรับ 1,000
ขับ 131 - 140 ปรับ 2,000
ขับ 141 - 150 ปรับ 3,000
ขับ 151 - 160 ปรับ 5,000
ขับ 161 - 180 ปรับ 10,000 บาท
ขับ 181 - 200 ปรับ 50,000 บาท
เกิน 201 กม ขึ้นไป ปรับ 100,000 บาท อะไรแบบนี้ไปเลยครับ
ไม่ใช่ ขับ 300 ก็ปรับเท่ากับ ขับ 121 กม/ชม ผมว่า มันก็แก้ปัญหาได้ไม่เยอะ เพราะ คนที่มีเงิน เขายอมเสียครับ อยากลองรถขับสัก 200 ยอมเสียค่าปรับ 1,000 แต่ถ้าไปเจอปรับ 50,000 ผมว่า ช่วยได้เยอะ
ร่ายมาซะยาว ทีนี้ มากันเรื่องแรก
1.เอาเรื่อง นั่งกระบะท้ายก่อน เรื่องนี้ ยากสุดเลยที่จะทำได้
ลองดูคลิปนี้กันก่อนครับ

เห็นมั้ยครับว่า การนั่งกระบะท้าย มันอันตรายจริง ๆ หากเกิดการเสียหลัก เกิดอะไรขึ้น
ลองดูคลิปต่อไปครับ

เสียชีวิตหลายครับศพครับ นั่งกระบะท้าย
คลิปต่อไป รถรับนักเรียน นั่งกระบะท้าย เสียชีวิตเยอะครับ

แล้วคลิปต่อไป กำลังจะกลับรถดี ๆ นี่เหละ โดนชนท้าย ซึ่ง รถคันนี้ไม่มีคนนั่งท้ายกระบะ แต่คุณดูจากภาพรถที่โดนรถแล้วกระเด็นไป ก็ลองนึกภาพว่า แล้วถ้ามีคนนั่งอยู่ท้ายกระบะ คนที่นั่งจะเป็นยังไง

แล้วดูคลิปต่อไปครับ เป็นรถแคป ที่เอาไปใส่หลังคา แล้วทำเป็นรถรับส่งนักเรียน ซึ่งโชคดีว่า ไม่น่าจะมีใครเสียชีวิต แต่ก็ดูเทกระจาดกันเลย

จากคลิปต่าง ๆ ที่ผมโพสเนี่ย จะเห็นว่า นั่งหลังกระบะท้าย มันอันตรายจริง ๆ ครับ เพราะฉะนั้น รัฐบาลเขาก็จึงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย จึงเข้มงวดกฎหมายตัวนี้ ไม่ใช่ใช้ ม.44 นะครับ เพราะกฎหมายตรงนี้มีมานานแล้ว แต่ไม่ได้ใช้เป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าเป็น ม.44 มาบังคับซึ่งผิด
พวกที่ออกมาต่อต้าน มา ANTI กันเนี่ย ผมอยากถามว่า ท่านเคยฟังเสียงของคนที่เขาเคยสูญเสียหรืออยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องเสียคนที่รัก จากอุบัติเหตุนั่งท้ายกระบะกันมั้ย
ถ้าลองไปถาม พ่อแม่ที่เขาเสียลูกไป จากกรณีอุบัติเหตุนั่งท้ายกระบะ จากคลิปข้างคนที่โพส หรือ ลองไปถามนักเรียนที่ กระเด็นหล่นลงมาจากรถโรงเรียน ลองไปถามพวกเขาว่า เขาเห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้หรือไม่
ผมตอบแทนเลย รับรองครับ เขาเห็นด้วย 1,000,000 % เพราะเขาเหล่านั้น คือ ผู้ที่ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว หรือ พ่อแม่ที่เสียลูกไป เขาย่อมรู้ข้อเท็จจริงดีว่า นั่งท้ายกระบะ มันอันตรายมากจริง ๆ
จากสถิติกรมทางหลวงพบว่า อุบัติเหตุทางรถที่เกิดขึ้น อันดับ 1 คือ เกิดจากรถกระบะ และประมาณ 50 % กลับเกิดเหตุโดยไม่มีคู่กรณี (ผมเพิ่งฟังวิทยุมาเมื่อวานนี้เอง) นั่นก็หมายความว่า มันมีทั้ง หลับใน ตกข้างทาง ยางระเบิด เสียหลักเอง (ซึ่งพบบ่อย ๆ ) ซึ่งการเสียหลักเองของรถกระบะเนี่ย หาดูได้ง่ายมาก แค่ฝนตกถนนลื่น ขับ ๆ อยู่ อาจจะเจอกระบะเสียหลักมาโดนก็ได้
ดังนั้น เมื่อรถมันสะบัด หรือเสียหลัก ถามว่า คนนั่งท้ายจะเป็นยังไงครับ
ลองดูคลิปนี้ครับ นาคกำลังจะบวช คนขับกระบะออกตัวล้อฟรี หงายหลังลงมาสลบ

แต่ทีนี้ ปัญหามันอยู่ที่ว่า แล้ว เราจะบังคับใช้ได้ยังไง ในเมื่อ มันมีคนที่จำเป็นต้องนั่งท้ายกระบะจริง ๆ ซึ่งตรงนี้เหละ ที่ผมบอก ผมก็ไม่เห็นด้วย
ช่างรับเหมา ที่เขาต้องขนลูกน้องไปทำงานก่อสร้าง ชาวนาที่ต้องขนลูกน้องไปเกี่ยวข้าว รถดับเพลิงที่เป็นรถกระบะ ผมก็เห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็นั่งข้างหลังกันไปนะ หรือ รถนักเรียนในต่างจังหวัด ถามว่า ถ้าไม่ให้เขานั่งกระบะ จะให้เขาไปนั่งตรงไหนหละครับ จะให้ชาวนาออกรถตู้มาขับ ก็ไม่ใช่เรื่อง ตรงนี้ คือ สิ่งที่ ผมว่า เราต้องมาคุยกันเพื่อหาทางออกว่า ควรสรุปยังไง
ประเทศเรา มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่เหมือนกับต่างประเทศ เพราะฉะนั้น บางอย่างมันก็ทำได้ บางอย่างมันก็ทำไม่ได้
อย่างรถสองแถว รถตุ๊กตุ๊ก จะให้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย คงแปลกน่าดู เพราะฉะนั้น ตรงนี้เหละครับ ที่ต้องฟังเสียงประชาชนบ้าง และเอาตัวแทนมาคุยกัน เอาสื่อมาคุยกัน ดีเบทกันว่า แล้วเราควรจะทำยังไงหละ เพราะ เจตนาเนี่ย มันดีอยู่แล้วหละ คือ ความปลอดภัยของประชาชน
ผมก็เห็นใจทั้ง 2 ฝ่ายนะ อย่างเช่น เวลาเทศกาล ปีใหม่ สงกรานต์ ตายเท่านั้น เจ็บเท่านี้ คนก็เข้ามาด่ากัน ไม่เห็นมีรัฐบาลชุดไหนแก้ปัญหา การบาดเจ็บล้มตายในช่วงเทศกาลได้เลยสักรัฐบาล นี่ไงครับ ประชาชนด่ารัฐบาลอีก พอตายเยอะก็ด่ารัฐบาล หาว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย
แต่พอจะทำอะไรขึ้นมา จะบังคับอะไรขึ้นมา ก็ด่าขึ้นมาอีก ผมเป็นรัฐบาล ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ผมถึงเข้าใจ และถึงแสดงความเห็นนี้ ในลักษณะเป็นกลางทั้ง 2 ฝั่ง
แต่อย่างที่ผมบอก ว่า เจตนาของรัฐเนี่ย ดี แต่ มันยังเร็วเกินไปที่จะมาบังคับกันตอนนี้อย่างเข้มงวด ผมว่า ต้องมาคุยกัน หาทางออกกันก่อนครับ
ในต่างประเทศเนี่ย เขายิ่งกว่าเราครับ เพราะเขาถือว่า ทรัพยากรคือ มนุษย์ของเขา คือ ทรัพยากรที่มีค่า มีการบังคับต้องติดตั้ง CAR SEAT สำหรับเด็กด้วย และยังห้ามเด็กนั่งเบาะหน้าด้วยซ้ำ แต่ในเมืองไทย ก็ด้วยความไม่รู้ของคนไทย ผมเห็นบ่อยนะ แม่ขับรถไปรับลูกที่ยังเรียนอนุบาล ก็ให้ลูกนั่งหน้า แถมคาด BELT พาดคอเด็กอีกต่างหาก หรือ เห็นแม่กำลังอุ้มลูกอ่อนไว้บนอก บนรถที่มีถุงลมคู่หน้า
นี่คือ สิ่งที่ คนไทย ยังไม่เข้าใจครับ ว่า ทำไมต่างประเทศ ห้ามเด็กนั่งหน้า เพราะ อันตรายจาก AIRBAG มันรุนแรงมาก แต่เมืองไทยเราชิว ๆ แม่อุ้มลูกไว้ รถก็มี AIRBAG ยังไม่รู้เลยว่า ถ้า AIRBAG ออก เด็กที่อุ้มจะเป็นยังไง
นี่ก็อีกครับ ถ้าวันดีคีนดี บังคับว่า ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี นั่งเบาะหน้า และ เด็กต่ำกว่านี้ ต้องมี CAR SEAT เชื่อมั้ย คนเข้ามารุมด่ารัฐบาลกันเหมือนเมื่อวานซืนกันอีกเพียบ เช่นกัน
เพราะเรามองกันคนละด้านไงครับ ไม่มีใครเป็นคนกลาง มาคุย มาเจรจากันก่อน ไม่มาสื่อกันก่อนว่า เพราะอะไร มีสาเหตุอะไร ทำไมต้องทำแบบนี้
แต่ถ้าลองไปฟัง คนไทยที่เขามีประสบการณ์เรื่องนี้ ที่ผมเคยไปอ่าน และเคยเจอในเฟสนะ เขาถ่ายรูปรถเขาที่โดนชนพังยับ แต่ลูกเขานั่งใน CAR SEAT ซึ่งปลอดภัย เนี่ยครับ ต้องเรียกคนเหล่านี้ มาเป็นคนคุยด้วย อีกมุมนึง เพื่อให้คนไทยเห็นภาพ เหมือนเรื่องที่ผมบอกว่า ต้องไปหา คนที่เขาเสียลูกไปในเหตุการณ์รถกระบะคว่ำ เลยทำให้ลูกเขากระเด็นลงมาเสียชีวิต มาคุย ถึงความจำเป็นว่า ทำไมถึงต้องเข้มงวดกฎหมายเรื่องนี้
ผมเห็นด้วยกับทุกอย่างที่รัฐออกกฎนะครับ ลองฟังมุมมองผมบ้าง แต่ผมว่า มันยังเร็วเกินไป เราควรมาคุยกันก่อนครับ
2 3 วันมาเนี่ย ผมเห็นกระแสสังคมที่ตอบโต้อย่างรุนแรงมาก ๆ ทั้งเรื่อง คาดเข็มขัด นั่งใน CAB ห้ามนั่งท้ายกระบะ
แทบจะทุกวงการ ออกมาตอบโต้กัน ดาราเอย นักวิชาการเอย ทนายความเอย ตำรวจเอย ฯลฯ แถมยังมี คลิปล้อเลียน ภาพล้อเลียนต่าง ๆ เกิดขึ้นมาเต็มโลกโซเชียลเต็มไปหมด แล้วบอกได้เลย ส่วนใหญ่เนี่ย อาจไม่ได้มีผลกระทบจริง ๆ หรอก แต่เอามันส์ เอาสนุกไปอย่างงั้น ตามกระแส
แต่เอาจริง ๆ นะ ผมกลับเห็นด้วยในทุก ๆ อย่างที่ รัฐบาลทำ เพียงแต่ มันยังเร็วเกินไปที่จะทำ และ รัฐบาลเอง ยังสื่อให้ประชาชนเห็นในสิ่งที่รัฐต้องการยังไม่ถูกต้อง
ผมเข้าใจนะว่า รัฐเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของประชาชน แต่ จะมีใครรู้หละครับ ว่า รัฐเขาห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะ รัฐเองก็ไม่ได้สื่อให้เห็นในเรื่องนี้ อยู่ ๆ ก็ประกาศออกมา โดยไม่ได้บอกอะไรให้ชัดเจนเลย
เอางี้นะ ลองอ่านที่ผมพิมพ์ แล้วลองคิดตาม ว่า ทำไม ผมถึงเห็นด้วย + กับไม่เห็นด้วย
อย่างแรกคือ คุณทราบกันหรือไม่ว่า ประเทศเราเนี่ย มีสถิติ อัตราการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ติดอันดับ 2 ของโลกติดต่อกันมาหลายปีแล้ว
นี่คือ ปี 2014 http://www.foxnews.com/travel/2014/02/21/top-10-deadliest-countries-for-drivers.html
นี่คือ ปี 2016 http://www.worldatlas.com/articles/the-countries-with-the-most-car-accidents.html
ซึ่ง อันดับ 1 จริง ๆ มันก็คือ มอเตอร์ไซด์นั่นเหละ อ้าว นี่ไง แล้ว มันไปเกี่ยวอะไรกับ นั่งท้ายกระบะ นั่งใน CAB แล้วต้องคาด BELT
เอางี้นะ พูดก็พูดเถอะ สรุปแล้ว ถามว่า ทำไม บ้านเรามีการเกิดอุบัติเหตุติดอันดับ 2 ของโลก ซึ่งมันน่าภูมิใจมาก ว่างั้น
ผมบอกเลย สาเหตุ อยู่ที่ กฎหมายที่ไม่เข้มงวดครับ ผมยอมรับเรื่องนึงคือ เรื่อง ใบสั่ง ก่อนจะมี ม.44 ลงมาเอาจริง เรื่อง อายัติการต่อทะเบียน ตรงนี้ ผมยอมรับเลยว่า ยาแรงมาละ และจะใช้ได้ผลจริง ๆ
คุณพ่อผมเนี่ย เป็นคนที่ขับรถเร็วมาก ๆ และไม่ยอมคาดเข็มขัดนิรภัย รู้ไหมครับ ผมทำยังไง ผมต้องยอมที่จะซื้อรถที่มันมี เสียงเตือนคาด BELT ตลอดเวลา รวมถึงเตือนมันทั้งผู้โดยสารตอนหน้าด้วย เพราะไม่อย่างนั้น เวลาคุณพ่อไปกับคุณแม่ ก็ไม่คาดทั้งคู่
แล้วผมก็ไม่บอกด้วยนะว่า มันมี ไอ้ตัวเสียบหลอก ให้มันหยุดร้อง เพราะไม่งั้น เขาไปซื้อมาเสียบแล้วไม่คาดแน่ ๆ
โอเค เรื่อง BELT กับคุณพ่อและแม่ผม ผ่านไป เพราะทุกวันนี้ ก็เหมือนโดนบังคับให้คาด เพราะรำคาญเสียงเตือน และ ถ้าเป็นไปได้นะ บริษัทรถในเมืองไทย ติดเสียงเตือนนี่มาทุกที่นั่งเลย จะดีมาก
ทีนี้ มาเรื่องใบสั่ง อย่างที่ผมเกริ่นไว้ คือ คุณพ่อผม ขับรถเร็วมาก เรียกได้ว่า ใบสั่งที่บ้านผมเนี่ย มีไม่ต่ำกว่า 30 ใบ แล้วถามว่า ผมจ่ายมั้ย บอกเลยครับ ไม่จ่ายครับ เพราะถ้าไม่จ่าย ก็ไม่มีผลนี่ ก็ต่อทะเบียนได้ปกติ อันนี้ผมยอมรับกันตรง ๆ แบบลูกผู้ชาย ผมพูดกันตรง ๆ เอาความจริงมาพูดนะ เพื่อต้องการสื่อให้เห็น และ เราควรจะช่วยกันแก้ปัญหา
และไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะ ที่ไม่ไปจ่าย วันก่อนนั่งดูข่าว ก่อนที่ลุงตู่จะประกาศ ม.44 มาใช้ เกี่ยวกับเรื่องใบสั่ง ข่าวบอกว่า มีคนไม่จ่ายถึง 80 % นั่นแสดงให้เห็นว่า 80 % นี่ยังขับรถเร็วแน่ ๆ และไม่เกรงกลัว เพราะกฎหมายเรื่องใบสั่ง มันไม่มีผลอะไรเลย แล้วจะไปจ่ายทำไม
ประเด็นของผม อยู่ที่ ทำยังไง ให้คนขับรถช้าลงนะครับ อย่าหลงประเด็น และ พอมี ม.44 ประกาศออกมา เอาจริงเรื่องใบสั่ง ผมบอกคุณพ่อผมเลย หลังจากนี้ กรุณาขับรถให้ช้าลงด้วย ไม่งั้นต้องเสียค่าปรับแล้วนะ แล้วต่อทะเบียนไม่ได้ด้วย
ขอแทรกตรงนี้นิดนึง เรื่อง การปลดล็อก การอายัติทะเบียนเนี่ย ผมยังไม่เข้าใจวิธีการว่า เขาปลดกันยังไง ไม่ใช่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตกันอีก มีการจ่ายเงินกันใต้โต๊ะ เพื่อให้คนในขนส่ง ปลดล็อกการอายัติ อะไรแบบนี้ ซึ่งต้องป้องกันตรงนี้ด้วย
มาต่อครับ บอกเลยครับ ได้ผลจริง ๆ ครับ คุณพ่อผม ขับรถช้าลงอย่างมีนัยสำคัญเลย และก็ยังไม่มีใบสั่งมาเลยช่วงนี้ ก็ถือว่า สำหรับบ้านผมนี่ ประเด็นนี้ ได้ผล และผมบอกแล้วว่า คนไทยต้องใช้ยาแรงครับ ถึงจะได้ผล
ทำไมผมพูดแบบนี้ เพราะ คุณสังเกตกันมั้ยครับ เวลาอยู่เมืองไทย ข้ามถนนตรงไหนก็ได้ ขับมอเตอร์ไซด์ย้อนศรก็ได้ นั่ง TAXI อัดกัน 5 6 คนก็ได้ ขับรถไม่คาดเข็มขัดก็ได้
แต่คนเหล่านี้เหละครับ คนเดียวกันนี่เหละ พอไปต่างประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่เข้มงวด ทำไมคนทุกคนกลับยอมทำ โดยไม่รู้สึกว่าโดนบังคับเลย ทั้ง ๆ ที่ ก็เป็นคน ๆ เดียวกันนี่เหละ
ไม่ต้องใครหรอกครับ ผมเองก็เป็นครับ เอาแค่ใกล้ ๆ เนี่ย อย่างสิงคโปร์ ผมจะข้ามถนนที ผมหาทางม้าลายก่อน ผมหาไฟคนข้ามก่อน ถ้าไม่มี ผมก็เดินหา เพราะกลัวว่าไปข้ามแล้วผิดกฎหมายโดนปรับบานเลย ไม่คุ้ม
TAXI ในต่างประเทศ หลาย ๆ ประเทศ นั่งสูงสุด 4 คน ถ้าเราไปกัน 5 คน เราก็ยอมเรียก 2 คัน โดยคันนึง นั่ง 3 อีกคันนั่ง 2 เราก็ยังยอมที่จะเรียก 2 คัน และพอเขาบอกให้คาดเข็มขัด เราก็คาด เพราะกฎหมายเขามี ทำไมเรายอมทำ
แต่ทำไมบ้านเรา มันแก้ตรงนี้ไม่ได้ ก็เพราะ ผมว่า กฎหมายบ้านเรายังไม่เข้มงวดพอ
เรื่อง ใบสั่งความเร็ว เกิน 120 ซึ่งเป็นความเร็วที่เขาอนุโลมนะครับ ไม่ใช่ให้วิ่งได้ 120 หลาย ๆ คนก็ยังเข้าใจผิดกันอยู่ แต่เรื่องนี้ ผมอยากเสนอให้เพิ่มอัตราโทษปรับเป็นขั้นบันไดด้วย
ยิ่งขับเร็ว ยิ่งปรับแพง ผมว่า ดีและน่าจะได้ผล
เช่น ขับ 121 - 125 ปรับ 500
ขับ 126 - 130 ปรับ 1,000
ขับ 131 - 140 ปรับ 2,000
ขับ 141 - 150 ปรับ 3,000
ขับ 151 - 160 ปรับ 5,000
ขับ 161 - 180 ปรับ 10,000 บาท
ขับ 181 - 200 ปรับ 50,000 บาท
เกิน 201 กม ขึ้นไป ปรับ 100,000 บาท อะไรแบบนี้ไปเลยครับ
ไม่ใช่ ขับ 300 ก็ปรับเท่ากับ ขับ 121 กม/ชม ผมว่า มันก็แก้ปัญหาได้ไม่เยอะ เพราะ คนที่มีเงิน เขายอมเสียครับ อยากลองรถขับสัก 200 ยอมเสียค่าปรับ 1,000 แต่ถ้าไปเจอปรับ 50,000 ผมว่า ช่วยได้เยอะ
ร่ายมาซะยาว ทีนี้ มากันเรื่องแรก
1.เอาเรื่อง นั่งกระบะท้ายก่อน เรื่องนี้ ยากสุดเลยที่จะทำได้
ลองดูคลิปนี้กันก่อนครับ
เห็นมั้ยครับว่า การนั่งกระบะท้าย มันอันตรายจริง ๆ หากเกิดการเสียหลัก เกิดอะไรขึ้น
ลองดูคลิปต่อไปครับ
เสียชีวิตหลายครับศพครับ นั่งกระบะท้าย
คลิปต่อไป รถรับนักเรียน นั่งกระบะท้าย เสียชีวิตเยอะครับ
แล้วคลิปต่อไป กำลังจะกลับรถดี ๆ นี่เหละ โดนชนท้าย ซึ่ง รถคันนี้ไม่มีคนนั่งท้ายกระบะ แต่คุณดูจากภาพรถที่โดนรถแล้วกระเด็นไป ก็ลองนึกภาพว่า แล้วถ้ามีคนนั่งอยู่ท้ายกระบะ คนที่นั่งจะเป็นยังไง
แล้วดูคลิปต่อไปครับ เป็นรถแคป ที่เอาไปใส่หลังคา แล้วทำเป็นรถรับส่งนักเรียน ซึ่งโชคดีว่า ไม่น่าจะมีใครเสียชีวิต แต่ก็ดูเทกระจาดกันเลย
จากคลิปต่าง ๆ ที่ผมโพสเนี่ย จะเห็นว่า นั่งหลังกระบะท้าย มันอันตรายจริง ๆ ครับ เพราะฉะนั้น รัฐบาลเขาก็จึงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย จึงเข้มงวดกฎหมายตัวนี้ ไม่ใช่ใช้ ม.44 นะครับ เพราะกฎหมายตรงนี้มีมานานแล้ว แต่ไม่ได้ใช้เป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าเป็น ม.44 มาบังคับซึ่งผิด
พวกที่ออกมาต่อต้าน มา ANTI กันเนี่ย ผมอยากถามว่า ท่านเคยฟังเสียงของคนที่เขาเคยสูญเสียหรืออยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องเสียคนที่รัก จากอุบัติเหตุนั่งท้ายกระบะกันมั้ย
ถ้าลองไปถาม พ่อแม่ที่เขาเสียลูกไป จากกรณีอุบัติเหตุนั่งท้ายกระบะ จากคลิปข้างคนที่โพส หรือ ลองไปถามนักเรียนที่ กระเด็นหล่นลงมาจากรถโรงเรียน ลองไปถามพวกเขาว่า เขาเห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้หรือไม่
ผมตอบแทนเลย รับรองครับ เขาเห็นด้วย 1,000,000 % เพราะเขาเหล่านั้น คือ ผู้ที่ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว หรือ พ่อแม่ที่เสียลูกไป เขาย่อมรู้ข้อเท็จจริงดีว่า นั่งท้ายกระบะ มันอันตรายมากจริง ๆ
จากสถิติกรมทางหลวงพบว่า อุบัติเหตุทางรถที่เกิดขึ้น อันดับ 1 คือ เกิดจากรถกระบะ และประมาณ 50 % กลับเกิดเหตุโดยไม่มีคู่กรณี (ผมเพิ่งฟังวิทยุมาเมื่อวานนี้เอง) นั่นก็หมายความว่า มันมีทั้ง หลับใน ตกข้างทาง ยางระเบิด เสียหลักเอง (ซึ่งพบบ่อย ๆ ) ซึ่งการเสียหลักเองของรถกระบะเนี่ย หาดูได้ง่ายมาก แค่ฝนตกถนนลื่น ขับ ๆ อยู่ อาจจะเจอกระบะเสียหลักมาโดนก็ได้
ดังนั้น เมื่อรถมันสะบัด หรือเสียหลัก ถามว่า คนนั่งท้ายจะเป็นยังไงครับ
ลองดูคลิปนี้ครับ นาคกำลังจะบวช คนขับกระบะออกตัวล้อฟรี หงายหลังลงมาสลบ
แต่ทีนี้ ปัญหามันอยู่ที่ว่า แล้ว เราจะบังคับใช้ได้ยังไง ในเมื่อ มันมีคนที่จำเป็นต้องนั่งท้ายกระบะจริง ๆ ซึ่งตรงนี้เหละ ที่ผมบอก ผมก็ไม่เห็นด้วย
ช่างรับเหมา ที่เขาต้องขนลูกน้องไปทำงานก่อสร้าง ชาวนาที่ต้องขนลูกน้องไปเกี่ยวข้าว รถดับเพลิงที่เป็นรถกระบะ ผมก็เห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็นั่งข้างหลังกันไปนะ หรือ รถนักเรียนในต่างจังหวัด ถามว่า ถ้าไม่ให้เขานั่งกระบะ จะให้เขาไปนั่งตรงไหนหละครับ จะให้ชาวนาออกรถตู้มาขับ ก็ไม่ใช่เรื่อง ตรงนี้ คือ สิ่งที่ ผมว่า เราต้องมาคุยกันเพื่อหาทางออกว่า ควรสรุปยังไง
ประเทศเรา มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่เหมือนกับต่างประเทศ เพราะฉะนั้น บางอย่างมันก็ทำได้ บางอย่างมันก็ทำไม่ได้
อย่างรถสองแถว รถตุ๊กตุ๊ก จะให้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย คงแปลกน่าดู เพราะฉะนั้น ตรงนี้เหละครับ ที่ต้องฟังเสียงประชาชนบ้าง และเอาตัวแทนมาคุยกัน เอาสื่อมาคุยกัน ดีเบทกันว่า แล้วเราควรจะทำยังไงหละ เพราะ เจตนาเนี่ย มันดีอยู่แล้วหละ คือ ความปลอดภัยของประชาชน
ผมก็เห็นใจทั้ง 2 ฝ่ายนะ อย่างเช่น เวลาเทศกาล ปีใหม่ สงกรานต์ ตายเท่านั้น เจ็บเท่านี้ คนก็เข้ามาด่ากัน ไม่เห็นมีรัฐบาลชุดไหนแก้ปัญหา การบาดเจ็บล้มตายในช่วงเทศกาลได้เลยสักรัฐบาล นี่ไงครับ ประชาชนด่ารัฐบาลอีก พอตายเยอะก็ด่ารัฐบาล หาว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย
แต่พอจะทำอะไรขึ้นมา จะบังคับอะไรขึ้นมา ก็ด่าขึ้นมาอีก ผมเป็นรัฐบาล ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ผมถึงเข้าใจ และถึงแสดงความเห็นนี้ ในลักษณะเป็นกลางทั้ง 2 ฝั่ง
แต่อย่างที่ผมบอก ว่า เจตนาของรัฐเนี่ย ดี แต่ มันยังเร็วเกินไปที่จะมาบังคับกันตอนนี้อย่างเข้มงวด ผมว่า ต้องมาคุยกัน หาทางออกกันก่อนครับ
ในต่างประเทศเนี่ย เขายิ่งกว่าเราครับ เพราะเขาถือว่า ทรัพยากรคือ มนุษย์ของเขา คือ ทรัพยากรที่มีค่า มีการบังคับต้องติดตั้ง CAR SEAT สำหรับเด็กด้วย และยังห้ามเด็กนั่งเบาะหน้าด้วยซ้ำ แต่ในเมืองไทย ก็ด้วยความไม่รู้ของคนไทย ผมเห็นบ่อยนะ แม่ขับรถไปรับลูกที่ยังเรียนอนุบาล ก็ให้ลูกนั่งหน้า แถมคาด BELT พาดคอเด็กอีกต่างหาก หรือ เห็นแม่กำลังอุ้มลูกอ่อนไว้บนอก บนรถที่มีถุงลมคู่หน้า
นี่คือ สิ่งที่ คนไทย ยังไม่เข้าใจครับ ว่า ทำไมต่างประเทศ ห้ามเด็กนั่งหน้า เพราะ อันตรายจาก AIRBAG มันรุนแรงมาก แต่เมืองไทยเราชิว ๆ แม่อุ้มลูกไว้ รถก็มี AIRBAG ยังไม่รู้เลยว่า ถ้า AIRBAG ออก เด็กที่อุ้มจะเป็นยังไง
นี่ก็อีกครับ ถ้าวันดีคีนดี บังคับว่า ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี นั่งเบาะหน้า และ เด็กต่ำกว่านี้ ต้องมี CAR SEAT เชื่อมั้ย คนเข้ามารุมด่ารัฐบาลกันเหมือนเมื่อวานซืนกันอีกเพียบ เช่นกัน
เพราะเรามองกันคนละด้านไงครับ ไม่มีใครเป็นคนกลาง มาคุย มาเจรจากันก่อน ไม่มาสื่อกันก่อนว่า เพราะอะไร มีสาเหตุอะไร ทำไมต้องทำแบบนี้
แต่ถ้าลองไปฟัง คนไทยที่เขามีประสบการณ์เรื่องนี้ ที่ผมเคยไปอ่าน และเคยเจอในเฟสนะ เขาถ่ายรูปรถเขาที่โดนชนพังยับ แต่ลูกเขานั่งใน CAR SEAT ซึ่งปลอดภัย เนี่ยครับ ต้องเรียกคนเหล่านี้ มาเป็นคนคุยด้วย อีกมุมนึง เพื่อให้คนไทยเห็นภาพ เหมือนเรื่องที่ผมบอกว่า ต้องไปหา คนที่เขาเสียลูกไปในเหตุการณ์รถกระบะคว่ำ เลยทำให้ลูกเขากระเด็นลงมาเสียชีวิต มาคุย ถึงความจำเป็นว่า ทำไมถึงต้องเข้มงวดกฎหมายเรื่องนี้