จากผู้จัดการมาเป็นทหารเกณฑ์ กองทัพอากาศ (ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด)

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก หากผิดพลาดประการใด ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ตอนนี้เดือนเมษายน หลายคนจะตั้งตารอคอยวันหยุดยาวสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันรวมญาติอีกครั้งนึงของปี เป็นเดือนมีแต่ความสุข
สนุกสนานกับเทศการ แต่ก็จะมีคนอีกกลุ่มนึง ที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวในเดือนนี้ คือชายไทยที่มีอายุครบ 21 ปี
และกลุ่มอายุเกิน 21 ปี(ผ่อนผันครบกำหนด)เราเรียกเทศการนี้ว่าเทศกาลการเกณฑ์ทหารนั่นเอง
ฟังดูน่าสนุกไหมละ ตื่นเต้นดีเนาะ  ผมก็ขอแนะนำตัวเองละกัน ผมก็เป็นบุคคลนึงที่เข้าข่าย
ต้องมารับใช้ชาติ (ผ่อนผันครบกำหนด) ในปี 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุ 26 ปีละ (แก่เนอะ 555)
เหตุผลที่ผมใช้สิทธิ์ผ่อนผัน เพราะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ทำงานไปด้วย เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่
เลยต้องดิ้นรนเอา พอเรียนจบก็ยังไม่ตัดสินใจมาเป็นทหารหรอก เสียดายรายได้จากการทำงาน เพราะรู้ว่าเงินเดือนทหาร
นั้นน้อยมากหากเทียบกับงานที่ทำอยู่ ซึ่งคงไม่พอแน่ ก็เลยผ่อนผันมาทุกปี ส่วนงานก็ทำที่เดิมละครับ ตั้งแต่สมัยเรียน
พอเรียนจบก็ทำที่นี่อย่างเต็มตัวไม่นาน(ไม่ถึงครึ่งปี)ผมก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก  ตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วครับ
ว่าเอาเอาอย่างไรกับชีวิตดี เพราะยังติดค้างอยู่ที่ผ่อนผันทหารอยู่(ตอนนั้นใช้สิทธิ์ยังไม่ครบ) ก็เลยตัดสินใจทำงานต่อละกัน
ใช้สิทธิ์จนครบแล้วค่อยว่ากัน จนมาปี 2558 ผมก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการ มาถึงตอนนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ปีหน้าก็จะครบกำหนด
ที่จะต้องสละสิทธิ์ผ่อนผันแล้ว คิดไม่ตกจะเอายังไงดี จะยัดเงินเหมือนตั่งที่คนอื่นเขาแนะนำมาดีไหม หรือจะหนีไปต่างประเทศดี
ก็เลยเริ่มที่จะหาข้อมูลเท่าที่จะหาได้เกี่ยวกับทหารเกณฑ์ ก็มีทั่งแง่บวกแง่ลบ ปะปนกันไป ซึ่งอ่านก็ต้องคิดตามครับ อย่าไปเชื่อ 100%
ผมก็คิดอยู่นาน จนเข้าเดือนมีนาคม ปี 2559 ผมได้ไปเจอกระทู้ในพันทิปทำให้มีความคิดนึงเข้ามาในหัว เราน่าจะลองดูนะ ประสบการณ์นี้เราหาไม่ได้ที่มหาวิทยาลัย และเป็นโอกาสเดียว
ฟังดูแมนขึ้นมาไหมละ 555 เตรียมทำเรื่องลาออกจากงาน แต่ผมยังไม่บอกบอสผมนะครับ  เตรียมตัวเงียบๆ
จนล่วงเลยมาถึงวันที่จะต้องมารายงานตัวเพื่อสละสิทธิ์  ตรงกับวันที่ 7 เมษายน (ทะเบียนบ้านผมอยู่นครราชสีมา) วันที่ 6
เป็นวันหยุดพอดี เลยขอลาวันที่ 7 วันเดียว บอกที่บริษัทว่าขอไปทำธุระที่บ้าน เขาก็เลยให้ลากลับ พอมาถึงวันที่ 6 ผมเตรียมเอกสาร
เสร็จตั้งแต่เช้าก็เลยมีเวลาคิด จะเอายังไงดี ยัดเงินดีไหม หรือจะเสี่ยงดวงจับใบดำใบแดง หากจำได้ใบแดงจะทำยังไง งานเราหลังจากนี้
ละจะเป็นอย่างไร เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งยังไม่ครบปีเลย ผมคิดวิตกมากเลยครับ ก็เลยหยิบรีโหมดเปิดทีวีดูรายการพิเศษวันหยุด(วันจักรี)
เป็นความบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นสารคดีเกี่ยวกับในหลวง ร.9 ผมก็นั่งดูไปเรื่อยๆ ซักพักน้ำตาใหลลงมาเมื่อภาพตรงหน้า คือในหลวง
ร.9 ทรงฉลองพระองค์ในชุดเครื่องแบบทหาร เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฏรษ์ ความคิดก็แวบขึ้นมา ทำไมเราไม่รับใช้ชาติซักครั้งนึง
ในชีวิต ดูอย่างในหลวงท่านทำมาตลอดพระชนน์ชีพของพระองค์ ก็เลยตัดสินใจจะสมัครเพื่อเข้ามาเกณฑ์ทหาร ทั้งที่ความคิดนนี้ไม่เคย
แวบเข้ามาในหัวเลย และนี่ก็กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผมเลย พอวันที่ 7 ผมมารายงานตัวกับสัสดี แจ้งสละสิทะิ์ เขาเขียนหมายเลขปากกาสีน้ำเงินให้ แล้วเขียนคำว่าสละสิทธิ์ด้วยสีแดง ใน ส.ด.9 เขียนสมัคร เขาให้ผมไปตรวจร่างกายเลยไม่ต้องรอ(เร็วดีนะ)ซึ่งผมก็ผ่าน
จากนั้นวัดส่วนสูงชั่งน้ำหนักก็ผ่านอีกละ พอเสร็จก็ให้นั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อ นึกว่าจะนาน ไม่ถึง10นาที ก็เรียกชื่อผม เข้าถามเลยครับ
"บกหรืออากาศ" (ของผมไม่มีทหารเรือนะ) ผมตอบ "อากาศ"ตามที่ได้ขอมูลมาทหารอากาศหายากมาก เขาบอกว่าฝึกไม่หนัก
(เดี๋ยวผมจะเล่าในตอนต่อไป) จากนั้นถามอีก "กรุงเทพ,โคราช" ผมตอบ "กรุงเทพ" (ท.อ. 2559 ผลัดที่ 1เต็มตัว) ความคิดผม
มันอยู่ใกล้กองบัญชาการกองทัพอากาศ คงไม่ฝึกเอาเป็นเอาตายเหมือนในข่าว พอเสร็จก็ให้ผมขึ้นไปด้านบนเพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อน
ผมดำเนินการเสร็จสิ้นซึ่งเร็วมาก คนที่อยู่หน้าผมตอนรายงานตัวยังไม่ได้ตรวจร่างกายเลย เจ้าหน้าที่บอก กลับบ้านได้เจอกันวันที่ 1 พ.ค.
ผมก็กลับ กทม.เลยในวันนั้น เพื่อสะสางงานที่บริษัท พร้อมทั้งลาออกจากงานที่ทำอยู่ ทำให้บอสผมไม่พอใจอย่างมาก แกตำหนิผมใหญ่เลย
ทำไมไม่มาปรึกษา แกมีญาติเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่สังกัดกองทัพอากาศ สามารถช่วยได้ ผมเลยบอกบอสไปว่าผมจับได้ใบแดง
(ที่จริงผมสมัครเอาละ) แกเลยเข้าใจว่าผมไม่ได้ตั้งใจ และให้เบอร์นายพลท่านนั้นมาแกบอก ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หรือพวกครูฝึกแกล้ง
ให้โทรหาได้ทันทีเลย บอกว่าเป็นลูกน้องบอส ผมอุ่นใจขึ้นเยอะ แต่ก็ไม่เคยใช้เบอร์นั้นเลย เพราะอย่างที่หัวกระทู้บอก(ไม่ได้เลวร้าย
อย่างที่คิด) พอวันที่ 1 พ.ค. ผมก็แต่งตัวบ้านๆ มาเลยครับ เสื่อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ กระเป๋าใส่เอกสาร และโทรศัพท์มือ
(เขาห้ามทหารใหม่ใช้นะ แต่ผมเอาไปใว้เผื่อเหตุฉุกเฉินข้างต้น) พอมาถึง เขาก็ให้แยกเหล่าทหาร และก็แยก กรุงเทพ โคราช จากนั้นก็ขึ้นรถเพื่อไปรวมกันที่กองบิน1 โคราช เพื่อคัดแยกหน่วยอีกที ทหารบกก็จะไปที่ทัพบก ระหว่างทางรถยางแตก(ลางไม่ดีซะแล้ว) บรรดาเพื่อน
รุ่นเดียวกัน (ทหารเขานับเป็นรุ่น ไม่นับอายุ หรือยศ มาก่อนคือพี่ มาพร้อมคือเพื่อน มาหลังคือน้อง เขาว่างั้น ซึ่งผมอายุเยอะที่สุดละในนั้น ) เลยได้โอกาสไปซื้อเบียร์มากินกัน(จนเมามาย) ผมก็กินบ้างตามมารยาท สองสามแก้ว จากนั้นพอเผลอผมก็ยื่นให้คนถัดไป ก็ไม่กินอีก
ซึ่งปกติผมไม่กินเบียร์อยู่แล้ว เพราะกินทีไรอาเจียนออกมาทุกที เพื่อนๆ ผมก็กินกันไม่ขาดสาย หมดเมื่อไรก็ซื้อเพิ่ม คนขับรถก็เป็นใจด้วยนะ
ดีไหมละ 555 พวกที่ไม่กินก็หันมาพูดคุยทำความรู้จักกัน เป็นใครมาจากใหน ส่วนใหญ่พวกที่ไม่กินจนปริญญาแล้วทำงานกันหมดแล้ว
บางส่วนก็เพิ่งจบ ก็เลยคุยกันถูกคอ เพราะหัวออกเดียวกัน คือเสียดายเวลาที่จะต้องมาเป็นทหาร เสียดายงานและรายได้ที่เคยได้รับ
จนมาถึงกองบิน1 ที่ตัวเมืองโคราช เขาให้ลงจากรถแล้วไปนั่งรวมกัน แยกตามอำเภอ (ทุกอำเภอในโคราชมารวมที่นี่ เฉพาะพวกที่ต้อง
ไปอยู่กรุงเทพ) จากนั้นก็เรียกชื่อว่าได้สังกัดหน่วยใหน มีสี่หน่วยถ้าจำไม่ผิด มี กรมทหารอากาศโยธิน กรมต่อสู้อากาศยาน
กรมปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์การทหารอากาศโยธิน (อันนี้คนไปน้อยมาก ผมอยากไปนะหน่วยนี้ แต่ผมได้อันแรก) จากนั้นก็เขียนที่แขนอีกละ
แยกสี แดง น้ำเงิน ดำ เขียว แล้วก็นั่งแยกกันใว้ตามกรมที่สังกัด พอหมดเข้าก็ให้พวกผมไปขึ้นรถ ลืมบอกไป เข้าเขียนแขนเสร็จก็ให้ไปต่อแถวรับเบี้ยเลี้ยง 150 บาท (ยังไม่ทำงานเลย ได้เงินละ) จากนั้นก็เดินทางเข้ากรุงเทพ เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก กว่าจะมาถึงก็ห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว ยังไม่หมดเท่านั้น ต้องมาแยกกองพันกันอีก คราวนี้ ใครที่คิดว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับเพื่อนแล้วต้องใจสลาย เขาแยกตามจำนวนปี
ที่รับราชการ 6 เดือน 1 ปี 2 ปี ตามลำดับ 6 เดือนนั้นน้อยมาก ผมอยู่ในกลุ่มนี้ คือพวกที่ใช้วุฒิป.ตรี มาสมัครเป็นทหาร (ต่อมาผมได้รับราชการ 1 ปี เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนหน้า) 1 ปี คือพวกจบ ป.ตรี จับได้ใบแดงและ ม.6 ที่สมัครมา ส่วนสองปี อันนี้เยอะสุด คือพวกที่จำได้ใบแดง
ไม่ส่งวุฒิเพื่อลดวันเข้ารับราชการ ซึ่งกรมทหารอากาศโยธิน มี 3 กองพัน ผมอยู่พันใหนนะหรอ สืบหาเอาครับ ถามจ่าโหดๆ ร้อยฝึกดู
รู้จักผมเป็นอย่างดี  มารู้ตอนหลังว่าเป็นหน่วยรักษาพระองค์ รู้สึกภูมิใจขึ้นมาทันทีเลย กว่าจะคละแยกกองพันเสร็จก็ปาไป สองทุ่มละ
ทั้งหิว ทั้งเพลีย พอมาถึงกองพัน ก็มานั่งแยกหมวดหมู่อีก กว่าจะเสร็จ แต่เขาเลือกพวกที่ใช้วุฒิป.ตรีก่อน แล้วไล่ไปเรื่อยๆ ผมจึงไม่ได้นั่งนาน เขาจะเขียนที่แขนอีกละว่าอยู่หมวดหมู่ใหน มานั่งลงประวัติในระบบคอมพิวเตอร์(ไม่เขียนกระดาษเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ) จากนั้นแจกสิ่งของ
ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิพในกองทัพ(ฟังดูหน้ากลัว) มีถัง สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แปลงและน้ำยาขัดรองเท้า ผงซักฟอก ขัน มีโกน ร้องเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ ถุงเท้า หมอน ผ้าขาวม้า ผ้าห่ม และผ้าปูที่นอน ไม่มีโรออนให้นะ แนะนำให้เอาติดตัวไปได้ พวกของใช้ส่วนตัวเขาไม่ได้ห้าม
แล้วก็จะได้ชุดฝึก 3 ชุด (เสื้อยืดเขียนชื่อและกางเกงมีหูขาสั้น) ชุดลำลอง อีก 3 ชุด (เสื้อสีน้ำตาล กางเกงกีฬาขาสั้น) ชุดลำลองมักจะหายดูแลดีๆ ชุดทหารจะยังไม่ได้นะครับจะได้เมื่อฝึกไประยะนึง ตามหลักสูตรการฝึก พอรับของเสร็จ เขาให้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองตอนนั้นเลย แต่ของผมก็มีปัญหาอีกละ รองเท้าผ้าใบดันไม่มีไซต์ ผมกับเพื่อนอีกสองคนที่นอนเตียงติดกัน เลยต้องได้ใส่รองเท้าแตะฝึกเป็นแรมเดือนกว่า
จะได้รองเท้าผ้าใบ เพราะทหารจากโคราชมาเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยหมดก่อน พอแยกหมวดหมู่และรับของเสร็จ ก็เรียกรวมและพาไปกินข้าว
ตอนนั้นเวลาประมาณเกือยบสองทุ่ม ทั้งวันยังไม่ได้กินข้าวเลย หิวมากกะตั้งใจกินเต็มที่ พอไปถึงเท่านั้นละ ผมได้เเต่นั่งขำ กินได้สามสี่คำ
กินต่อไปไม่ใหวละ  ต้องเข้าใจนะครับ ทหารต้องอยู่ง่าย กินง่ายให้ได้ เพราะในสถานะการรบ ไม่มีใครสามารถนำอาหารดีๆมาให้กินได้หรอกครับ ซึ่งการฝึกของกองทัพอากาศนั้นไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิดครับ 1-2 สัปดาห์แรก เป็นการฝึกเบาๆ เพื่อให้เราปรับตัวได้ และการฝึกจะเริ่มเข้มข้นขึ้นจนเราพร้อมที่จะออกรับการฝึกภาคสนาม ส่วนการลงโทษมันก็ต้องมีอยู่แล้วครับ แต่ไม่มีใครมาแตะต่อยคุณหรอกนะครับ
เขาให้ทำตัวเองทั้งนั้น ทั้งดันพื้น พุ่งหลัง ซิทอัพ ฯ ท่าพวกนี้จะทำเป็นได้ยังไง ทุกเช้าก็ออกกำลังกายด้วยท่าพวกนี้อยู่แล้วครับ ทุกวัน
ไม่ต้องห่วง ทำได้สบาย ส่วนใครอ้วนก็อาจจะลำบากซักหน่อยนะครับ เพราะต้องทำเท่ากันไม่มีเว้น เเล้วเราจะรู้ว่า การลงโทษก็คือการออกกำลังกายฝึกความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจนั่นเอง และการลงบโทษนี้เราจะได้เห็นธาตุแท้ของเพื่อนเรา ว่าจะเห็นแก่พวกพ้องหรือ
เห็นแก่ตัว แล้วเราจะได้มิตรแท้ครับ อย่างที่บอกไป มาเป็นทหารไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายๆคนคิด ได้ครบทุกอรรถรส บรรยากาศ
ในแต่ละวันจะเป็นยังไง เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังในตอนหน้านะครับ ขอไปดู The Mask Singer ก่อนครับ ผมเชื่อว่าถ้าหากได้มาอ่านบทความ
ของผม จะต้องมองการเป็นทหารในทางบวกแน่นอน เจอกันตอนหน้า มีเรื่องเล่าอีกเพียบ สวัสดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่