เราคิดว่าคนส่วนใหญ่คงเคยผ่านช่วงเวลาที่เป็นมรสุมของชีวิตกันมาบ้างไม่มากก็น้อย บางเรื่องก็เป็นเล็ก บางเรื่องก็เป็นเรื่องใหญ่มาก มากซะจนบางครั้งแทบจะไม่รู้ว่าควรหันหน้าไปพึ่งใคร จนบางทีก็รู้สึกท้อ ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์กับปัญหามันซะอย่างนั้น นอนร้องไห้มาเป็นเดือนแล้ว ก็ยังแก้ปัญหา ยังหาทางออกจากความทุกข์ออกจากปัญหาไม่ได้สักที
เราก็เป็นอีกคนที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ใจมา เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ทุกข์ที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาเลยทีเดียว พอปัญหานึงเกิดขึ้น หลายครั้งมักจะมีปัญหาอื่นๆ ทะยอยเกิดตามมาอีกหลายเรื่อง จนไม่รู้จะทำยังไง เรียกว่าจัดเต็มกันมาเลย เรื่องนึงรวน เรื่องอื่นก็รวนตาม ตลอดเวลา 5-6 เดือนที่ผ่าน เราเองก็พยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อประคองตัวเองและบรรเทาความทุกข์ให้ลดน้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ เลยอยากจะแบ่งปันวิธีที่เราลองใช้แล้วคิดว่าได้ผล ซึ่งบางเรื่อง เราเองก็ยังทำไม่ได้ 100% แต่ก็กำลังพยายามอยู่
ปรับความสมดุลของใจ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจถึงก่อน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ"
ดังนั้นเมื่อเจอกับความปัญหาหรือทุกข์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เมื่อมีสติรู้ตัวว่าเรากำลังเป็นทุกข์ เริ่มต้นให้เริ่มที่การปรับใจเราเอง จากที่คิดไม่ดี หรือมีอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา หรือความคิดต่างๆ ในแง่ลบ เมื่อรู้ตัว ก็รีบเปลี่ยนมันซะ อย่าเอาใจไปผูก ไปจ่อมจมกับความคิดและอารมณ์เหล่านั้น จากที่วิเคราะห์ตัวเอง เราพบว่าร้อยละ 90 ของความทุกข์ของเราส่วนใหญ่เกิดมาจากความคิดลบและอารมณ์ในแง่ลบนี่แหละ
คือถ้าเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ พยายามคิดดีเท่าไหร่ก็ยังไม่สำเร็จ แนะนำให้หาทางเบี่ยงเบนจากความคิดและอารมณ์ด้านลบนี้ไปก่อน เช่น การดูหนัง หรือฟังเพลง แต่ก็ต้องเลือกหนังและเพลงที่จะดูที่จะฟังด้วยนะ ไม่ใช่ว่าอกหักอยู่ ก็เลือกฟังแต่เพลงเศร้า อันนี้จะยิ่งไปกันใหญ่ แนะนำว่าให้ดูหนังตลกหรือไม่ก็หนังที่สร้างแรงบันดาลใจไรงี้ ปัญหาอาจจะยังไม่หาย เราอาจจะยังหาวิธีแก้ไม่ได้ แต่สิ่งที่เราได้คือความสบายใจ พอใจสบาย มีความสมดุล สักพักเราจะค่อยๆ คิดวิธีแก้ที่สมเหตุสมผล หรืออย่างน้อยก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ในสถานการณ์แบบนี้ ที่สำคัญเราเชื่อว่ามันจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการคิดแก้ปัญหาในตอนที่เรายังรู้สึกเป็นทุกข์แน่นอน
ปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
พูดง่ายแต่ทำยากอีกแล้ว เราก็เจอปัญหานี้ คือรู้ว่าควรจะปล่อยวาง แต่บางทีใจมันไม่ค่อยจะยอมปล่อยจริงๆ สิ่งที่เราทำคือ อ่านธรรมะหรือข้อความธรรมะเรื่องการปล่อยว่าง บางอันชอบมากก็เซฟเก็บไว้ดูในมือถือเลย อ่านมันเข้าไปให้มันซึมเข้าไปในสมอง ระหว่างนั่งรถก็ฟังธรรมะในยูทูป ไม่เว้นแม้แต่การไปปฏิบัติธรรมที่วัด ถ้าวันนี้ยังปล่อยวางไม่ได้ สักวันนึงก็ต้องทำได้แน่นอน
แต่สิ่งนึงที่เราค้นพบ คือยิ่งเราอยากไล่ความทุกข์หรือความฟุ้งซ่านต่างๆ มากเท่าไหร่ มันยิ่งดื้อยิ่งไม่ยอมไป วิธีการที่เราใช้คือ ใช้วิธีของการวิปัสสนา คือกำหนดรู้เข้าไปเลยว่าคิดหนอ คิดหนอ เพื่อให้เรารู้ว่าสุดท้ายความคิดที่เป็นปัญหาเหล่านั้น มันก็มีความไม่เที่ยงของมันอยู่ มันมาเป็นช่วงๆ เดี๋ยวมันก็หายไป ผ่านไปสักพักก็อาจจะกลับมาใหม่ มันเป็นอย่างนั้นเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ใจทะยานอยาก อยากให้มันหายไป มันไม่วันจะหายไปแน่นอน เพราะใจเราไปอยากให้ได้ดั่งใจเรา ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีอะไรดั่งใจเราไปทุกอย่าง พอมันรู้แล้ว ใจจะค่อยๆ วาง
มองโลกในแง่บวก
อันนี้เราคิดว่าช่วยได้มากจริงๆ ในเรื่องของความรู้สึก ช่วงที่เจอปัญหา มันก็มีช่วงที่มีความคิดบวกได้บ้างสลับกับมีความคิดลบแบบมากๆ สลับไปมาจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่างไม่งั้นคงกลายเป็นโรคซืมเศร้าแน่ๆ
สิ่งที่เราทำคือเลือกสื่อที่เสพย์เลยค่ะ ข่าวร้ายๆ เรื่องไม่ดีของคนอื่น เรื่องดราม่าต่างๆ ปัญหาการเมือง สงคราม หรืออะไรก็ตามที่ไปเพิ่มความโกรธ เกลียด หรือทำให้รู้สึกหดหู่ เราจะไม่เสพย์เลย ถ้าเห็นก็มองผ่าน ไม่สนใจ ไม่เข้าไปอ่านรายละเอียด ไม่เอาใจไปจดจ่อกับอะไรก็ตามที่เป็นลบ เราจะเสพย์แค่เฉพาะเรื่องราวดีๆ ที่สร้างพลังงานดีๆ ให้กับตัวเรา บางคนอาจจะคิดว่า การทำแบบนี้เราจะเป็นคนโลกสวย วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์รึเปล่า ขอตอบว่าไม่หรอกค่ะ เพราะเอาจริงๆ เราว่าทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าโลกมันเป็นยังไง สังคมมันเป็นยังไง มันมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ทุกวันนี้ก็ยังมีข่าวฆ่ากันตาย การโกง การทำร้ายร่างกาย การเอารัดเปรียบกันอยู่เป็นปกติ การมองโลกในแง่บวกไม่ใช่การไม่รู้หรือมองไม่เห็น แต่คือการที่เราแค่ไม่ไปมอง ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีเท่านั้นเอง
ออกไปทำสิ่งดีๆ ทั้งให้กับตัวเองและผู้อื่น
สิ่งดีๆ ที่เราทำให้ตัวเองได้ นี่ง่ายๆ มาก เช่น ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยออกกำลังกาย อาจจะเริ่มลองออกกำลังกาย หรือเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ การอ่านหนังสือธรรมะหรือไม่ก็ไปปฎิบัติธรรมซะเลย หรือไปเรียนภาษาหรือทักษะอย่างอื่นเพิ่มเติม อะไรที่เป็นการพัฒนาให้ตัวเองดีขึ้น นี่ทำไปเลยค่ะ
ส่วนสิ่งดีๆ ที่ทำให้ผู้อื่น เช่น การไปเป็นจิตอาสา ออกไปทำงานเพื่อสังคม หรือช่วยกิจการงานบุญ งานกุศล มีเงินก็ช่วยด้วยเงิน ไม่มีเงิน แต่มีแรงก็ช่วยด้วยแรง ง่ายๆ เลย เอาที่ตัวเองสะดวก
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยดึงเราออกจากปัญหา หรือดีไม่ดีอาจจะช่วยให้เราค้นพบทางแก้ปัญหาก็ได้ เช่น คนตกงานอาจจะไปเจอกัลยาณมิตรที่ช่วยแนะนำงานใหม่ หรือทักษะที่ไปเรียนเพิ่มเติม อาจจะกลายเป็นงานใหม่ที่สร้างรายได้ให้มากว่างานเดิมที่เคยได้รับ หรือคนที่อกหักอยู่ อาจจะไปจนคนดีๆ ที่อาจจะกลายมาเป็นคนรักใหม่ในอนาคตก็ได้
เราเองก็อาจจะยังไม่ได้เก่งมากมายและตอนนี้ก็ยังเผชิญกับความทุกข์อยู่บ้าง แต่ก็หวังว่าสิ่งที่เราค้นพบระหว่างที่ทุกข์นี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ท่านอื่นๆ ที่กำลังเป็นทุกข์อยู่ในตอนนี้ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ไม่มากก็น้อยนะคะ และถ้าท่านใดมีประสบการณ์หรือมีวิธีการที่อยากจะแบ่งปันหรือแนะนำเพิ่มเติมก็ยินดีและขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
"เราทุกคนล้วนอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
เราหงุดหงิดเมื่อผิดหวัง
เราโกรธเมื่อถูกข่มเหง
เราร้องไห้เมื่อเราเจ็บ
เราโมโหเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
เราทุกคนถูกบีบคั้นด้วยความทุกข์ชนิดเดียวกัน
และบ่อยครั้งเราก็ตอบสนองต่อความทุกข์นั้นด้วยกลไกที่ไม่ต่างกัน"
ขอทิ้งท้ายด้วยบทความที่อ่านเจอ จากหนังสือ " มองโรคในแง่ดี" เราอ่านแล้วชอบ เลยอยากจะแบ่งปันค่ะ
หวังว่าทุกคนจะแบ่งปันความรักความเมตตากับเพื่อนร่วมโลกทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์นะคะ เพราะเราต่างก็ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันค่ะ
็How to ก้าวผ่านความทุกข์สำหรับคนที่กำลังเจอปัญหา
เราก็เป็นอีกคนที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ใจมา เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ทุกข์ที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาเลยทีเดียว พอปัญหานึงเกิดขึ้น หลายครั้งมักจะมีปัญหาอื่นๆ ทะยอยเกิดตามมาอีกหลายเรื่อง จนไม่รู้จะทำยังไง เรียกว่าจัดเต็มกันมาเลย เรื่องนึงรวน เรื่องอื่นก็รวนตาม ตลอดเวลา 5-6 เดือนที่ผ่าน เราเองก็พยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อประคองตัวเองและบรรเทาความทุกข์ให้ลดน้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ เลยอยากจะแบ่งปันวิธีที่เราลองใช้แล้วคิดว่าได้ผล ซึ่งบางเรื่อง เราเองก็ยังทำไม่ได้ 100% แต่ก็กำลังพยายามอยู่
ปรับความสมดุลของใจ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจถึงก่อน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ"
ดังนั้นเมื่อเจอกับความปัญหาหรือทุกข์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เมื่อมีสติรู้ตัวว่าเรากำลังเป็นทุกข์ เริ่มต้นให้เริ่มที่การปรับใจเราเอง จากที่คิดไม่ดี หรือมีอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา หรือความคิดต่างๆ ในแง่ลบ เมื่อรู้ตัว ก็รีบเปลี่ยนมันซะ อย่าเอาใจไปผูก ไปจ่อมจมกับความคิดและอารมณ์เหล่านั้น จากที่วิเคราะห์ตัวเอง เราพบว่าร้อยละ 90 ของความทุกข์ของเราส่วนใหญ่เกิดมาจากความคิดลบและอารมณ์ในแง่ลบนี่แหละ
คือถ้าเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ พยายามคิดดีเท่าไหร่ก็ยังไม่สำเร็จ แนะนำให้หาทางเบี่ยงเบนจากความคิดและอารมณ์ด้านลบนี้ไปก่อน เช่น การดูหนัง หรือฟังเพลง แต่ก็ต้องเลือกหนังและเพลงที่จะดูที่จะฟังด้วยนะ ไม่ใช่ว่าอกหักอยู่ ก็เลือกฟังแต่เพลงเศร้า อันนี้จะยิ่งไปกันใหญ่ แนะนำว่าให้ดูหนังตลกหรือไม่ก็หนังที่สร้างแรงบันดาลใจไรงี้ ปัญหาอาจจะยังไม่หาย เราอาจจะยังหาวิธีแก้ไม่ได้ แต่สิ่งที่เราได้คือความสบายใจ พอใจสบาย มีความสมดุล สักพักเราจะค่อยๆ คิดวิธีแก้ที่สมเหตุสมผล หรืออย่างน้อยก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ในสถานการณ์แบบนี้ ที่สำคัญเราเชื่อว่ามันจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการคิดแก้ปัญหาในตอนที่เรายังรู้สึกเป็นทุกข์แน่นอน
ปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
พูดง่ายแต่ทำยากอีกแล้ว เราก็เจอปัญหานี้ คือรู้ว่าควรจะปล่อยวาง แต่บางทีใจมันไม่ค่อยจะยอมปล่อยจริงๆ สิ่งที่เราทำคือ อ่านธรรมะหรือข้อความธรรมะเรื่องการปล่อยว่าง บางอันชอบมากก็เซฟเก็บไว้ดูในมือถือเลย อ่านมันเข้าไปให้มันซึมเข้าไปในสมอง ระหว่างนั่งรถก็ฟังธรรมะในยูทูป ไม่เว้นแม้แต่การไปปฏิบัติธรรมที่วัด ถ้าวันนี้ยังปล่อยวางไม่ได้ สักวันนึงก็ต้องทำได้แน่นอน
แต่สิ่งนึงที่เราค้นพบ คือยิ่งเราอยากไล่ความทุกข์หรือความฟุ้งซ่านต่างๆ มากเท่าไหร่ มันยิ่งดื้อยิ่งไม่ยอมไป วิธีการที่เราใช้คือ ใช้วิธีของการวิปัสสนา คือกำหนดรู้เข้าไปเลยว่าคิดหนอ คิดหนอ เพื่อให้เรารู้ว่าสุดท้ายความคิดที่เป็นปัญหาเหล่านั้น มันก็มีความไม่เที่ยงของมันอยู่ มันมาเป็นช่วงๆ เดี๋ยวมันก็หายไป ผ่านไปสักพักก็อาจจะกลับมาใหม่ มันเป็นอย่างนั้นเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ใจทะยานอยาก อยากให้มันหายไป มันไม่วันจะหายไปแน่นอน เพราะใจเราไปอยากให้ได้ดั่งใจเรา ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีอะไรดั่งใจเราไปทุกอย่าง พอมันรู้แล้ว ใจจะค่อยๆ วาง
มองโลกในแง่บวก
อันนี้เราคิดว่าช่วยได้มากจริงๆ ในเรื่องของความรู้สึก ช่วงที่เจอปัญหา มันก็มีช่วงที่มีความคิดบวกได้บ้างสลับกับมีความคิดลบแบบมากๆ สลับไปมาจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่างไม่งั้นคงกลายเป็นโรคซืมเศร้าแน่ๆ
สิ่งที่เราทำคือเลือกสื่อที่เสพย์เลยค่ะ ข่าวร้ายๆ เรื่องไม่ดีของคนอื่น เรื่องดราม่าต่างๆ ปัญหาการเมือง สงคราม หรืออะไรก็ตามที่ไปเพิ่มความโกรธ เกลียด หรือทำให้รู้สึกหดหู่ เราจะไม่เสพย์เลย ถ้าเห็นก็มองผ่าน ไม่สนใจ ไม่เข้าไปอ่านรายละเอียด ไม่เอาใจไปจดจ่อกับอะไรก็ตามที่เป็นลบ เราจะเสพย์แค่เฉพาะเรื่องราวดีๆ ที่สร้างพลังงานดีๆ ให้กับตัวเรา บางคนอาจจะคิดว่า การทำแบบนี้เราจะเป็นคนโลกสวย วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์รึเปล่า ขอตอบว่าไม่หรอกค่ะ เพราะเอาจริงๆ เราว่าทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าโลกมันเป็นยังไง สังคมมันเป็นยังไง มันมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ทุกวันนี้ก็ยังมีข่าวฆ่ากันตาย การโกง การทำร้ายร่างกาย การเอารัดเปรียบกันอยู่เป็นปกติ การมองโลกในแง่บวกไม่ใช่การไม่รู้หรือมองไม่เห็น แต่คือการที่เราแค่ไม่ไปมอง ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีเท่านั้นเอง
ออกไปทำสิ่งดีๆ ทั้งให้กับตัวเองและผู้อื่น
สิ่งดีๆ ที่เราทำให้ตัวเองได้ นี่ง่ายๆ มาก เช่น ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยออกกำลังกาย อาจจะเริ่มลองออกกำลังกาย หรือเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ การอ่านหนังสือธรรมะหรือไม่ก็ไปปฎิบัติธรรมซะเลย หรือไปเรียนภาษาหรือทักษะอย่างอื่นเพิ่มเติม อะไรที่เป็นการพัฒนาให้ตัวเองดีขึ้น นี่ทำไปเลยค่ะ
ส่วนสิ่งดีๆ ที่ทำให้ผู้อื่น เช่น การไปเป็นจิตอาสา ออกไปทำงานเพื่อสังคม หรือช่วยกิจการงานบุญ งานกุศล มีเงินก็ช่วยด้วยเงิน ไม่มีเงิน แต่มีแรงก็ช่วยด้วยแรง ง่ายๆ เลย เอาที่ตัวเองสะดวก
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยดึงเราออกจากปัญหา หรือดีไม่ดีอาจจะช่วยให้เราค้นพบทางแก้ปัญหาก็ได้ เช่น คนตกงานอาจจะไปเจอกัลยาณมิตรที่ช่วยแนะนำงานใหม่ หรือทักษะที่ไปเรียนเพิ่มเติม อาจจะกลายเป็นงานใหม่ที่สร้างรายได้ให้มากว่างานเดิมที่เคยได้รับ หรือคนที่อกหักอยู่ อาจจะไปจนคนดีๆ ที่อาจจะกลายมาเป็นคนรักใหม่ในอนาคตก็ได้
เราเองก็อาจจะยังไม่ได้เก่งมากมายและตอนนี้ก็ยังเผชิญกับความทุกข์อยู่บ้าง แต่ก็หวังว่าสิ่งที่เราค้นพบระหว่างที่ทุกข์นี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ท่านอื่นๆ ที่กำลังเป็นทุกข์อยู่ในตอนนี้ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ไม่มากก็น้อยนะคะ และถ้าท่านใดมีประสบการณ์หรือมีวิธีการที่อยากจะแบ่งปันหรือแนะนำเพิ่มเติมก็ยินดีและขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
"เราทุกคนล้วนอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
เราหงุดหงิดเมื่อผิดหวัง
เราโกรธเมื่อถูกข่มเหง
เราร้องไห้เมื่อเราเจ็บ
เราโมโหเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
เราทุกคนถูกบีบคั้นด้วยความทุกข์ชนิดเดียวกัน
และบ่อยครั้งเราก็ตอบสนองต่อความทุกข์นั้นด้วยกลไกที่ไม่ต่างกัน"
ขอทิ้งท้ายด้วยบทความที่อ่านเจอ จากหนังสือ " มองโรคในแง่ดี" เราอ่านแล้วชอบ เลยอยากจะแบ่งปันค่ะ
หวังว่าทุกคนจะแบ่งปันความรักความเมตตากับเพื่อนร่วมโลกทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์นะคะ เพราะเราต่างก็ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันค่ะ