ทำไมถึงนั่งเสลี่ยง

พอมาดูพวกซีรีย์พีเรียดทั้งหลายทั้งปวง เกิดสงสัยเรื่องการนั่งพวกเสลี่ยงหรือพวกเกี้ยว ว่า เหตุใดพวกคนใหญ่คนโตถึงชอบนั่งของที่มันดูแล้ว เทอะทะ เปลืองกำลังคนโดยใช่เหตุ ทั้งที่ฐานะคนพวกนี้จะหาช้าง หรือ รถม้าศึก นั่งได้สบายๆ กลับไปนั่งเสลี่ยง

ถ้าจะบอกว่าอยากโชว์วาสนาบารมี นั่งช้าง หรือ รถม้าศึก ก็ได้โชว์ศักดาเหมือนกัน แถมจะดูมีอำนาจมากกว่าพวกเสลี่ยงด้วย แล้วนอกจากนี้ หากว่า ขี่ม้า , รถม้า หรือ ช้าง แล้ว ก็ไม่ต้องมีคนหาม สามารถให้กลุ่มคนหามทั้งหลายไปถือปืนไฟถือหอกคุ้มกันตัวเอง จะเมกเซนส์กว่าเสลี่ยงมั้ย?

ปล.รู้สึกหลายคนจะเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ถาม ไม่ได้จำกัด แค่ละครพพน.นะ เรื่องอื่นๆก็ด้วย ที่พวกขุนน้ำขุนนางชายทั้งแท่งก็ไปไหนมาด้วยเกี้ยว/เสลี่ยง  ไม่ใช่แค่เหล่าเจ้านาง
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
อันดับแรก ต้องลบภาพถนนที่ราบเรียบในสมัยปัจจุบันออกให้หมดก่อน

แล้วจินตนาการถนนในสมัยก่อน ซึ่งก็คือถนนดินเหมือนทางเข้าเรือกสวนนาไร่ปัจจุบัน มีกรวดสลับพื้นดินขรุขระแม้จะปรับเกลี่ยยังไงแต่พอถึงฤดูน้ำหลากเข้าท้วมก็คงเป็นเหมือนเดิม หรือบางพื้นที่อาจดีหน่อยมีถนนอิฐตะแครงแต่ก็ระยะทางสั้นมากๆ ซึ่งไม่สะดวกกับพาหนะที่มีล้ออาทิรถม้า จะมีก็คงขี่ม้าหรือช้างโดดๆ แต่ต้องเสี่ยงกับอันตรายจากการควบคุมสัตว์เหล่านี้ ยิ่งเข้าไปกลางย่านตลาดพลุกพล่านยิ่งวุ่นวายเข้าไปอีก ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นจึงมีเส้นที่สะดวกที่สุดก็คือทางน้ำ ที่มีเส้นทางคูคลองเชื่อมต่อกัน

แต่การสัญจรทางน้ำ ก็คงไม่เหมาะที่จะสัญจรไปในเส้นทางใกล้ๆ หรือเส้นทางที่ไม่ได้เชื่อมคูคลองระหว่างกัน เช่น การเสด็จจากพระบรมมหาราชวังไปวัดราชนัดดา การนั่งเสลี่ยงคานหามคงจะสะดวกกว่า

หรือแม้แต่มีการเริ่มสร้างถนนแบบถาวรในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ แม้จะสะดวกสำหรับรถม้า แต่ด้วยความที่เป็นถนนหินกวดหรือความที่พาหนะที่เป็นสัตว์ การนั่งรถม้าก็อุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่รถม้าพระที่นั่งก็เคยพลิกคว่ำ เช่น เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จประทับรถม้าบริเวณใกล้พระบรมมหาราชวัง (ทรงบังคับรถม้าพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง) พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์, พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์,  พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าทักษิณชา และพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าโสมาวดี แต่เมื่อรถม้าพระที่นั่งเข้ามาตามถนนด้านประตูวิเศษไชยศรีใกล้ทางเลี้ยวไปยังวัดพระแก้ว ม้าได้ตื่นเสียงแตรเสียงกลอง ทำให้รั้งไม่อยู่ สายบังเหียนขาดไปข้างหนึ่งรถพระที่นั่งจึงเสียการทรงตัวแล้วพลิกคว่ำลง รัชกาลที่ ๔ และพระราชโอรสธิดาทั้งสี่ทรงได้รับบาดเจ็บทุกพระองค์ ทรงตรัสพระอาการว่า

"...ตัวข้าก็นั่งลอยนัก แก้ตัวไม่ทัน พลัดตกหกตะแคงลงมากับลูกทั้ง ๔ คน ตัวข้ากลัวรถจะทับตาย เอามือขวาดันไว้ รถจึงทับได้ที่ตะคากข้างขวา
แต่แขนซ้ายนั้นต้องทับลงไปยกขึ้นไม่ได้ รถทับข้างขวากดลงไปกับอิฐ...ไป แขนซ้ายแลตะคากก็ถลอกช้ำชอกเป็นแผลเจ็บหลายแห่ง แต่ตะคากข้างขวาช้ำบวม ท่อโลหิตกับชายโครงนั้น โสมาวดีพลัดตกทับลงจึงเจ็บช้ำยอกเสียดไป แต่ลูกทั้ง ๔ คนที่ตกลงมาด้วยนั้นชายจุฬาลงกรณ์ศีรษะแตกสามแห่งแต่น้อย บางแห่งฟกบวมบ้าง ยิ่งเยาวลักษณ์เท้าเคล็ดห้อยยืนในเวลานี้ไม่ได้ ขัดยอกที่สันหลังด้วย แต่มีแผลเล็กน้อย โสมาวดีก็เป็นแผลบ้าง หลังบวมแห่งหนึ่ง แต่ทักษิณชาป่วยมากจะเป็นอะไรทับก็สังเกตไม่ได้ หลังเท้าขวาฉีกยับเยินโลหิตตกมากทีเดียว..."


เพราะฉะนั้น การนั่งเสลี่ยงคานห้าม จึงน่าจะเป็นวิธีการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัยที่สุดสำหรับระยะทางใกล้ๆ
ส่วนระยะทางไกลๆ ต้องเป็นทางเรือ ส่วนช้างหรือม้านั้น จะใช้กรณีต้องขึ้นจากเรือแล้วต้องลัดเข้าทางที่เป็นป่าดง ซึ่งการเดินทางนี้มีปรากฏในนิราศพระบาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่