ในความคิดของผมนะ สมมติว่าผมอยากเรียน แพทย์ เภสัช ทันตะ วิศวะ ( หรืออะไรก็ตามที่ต้องสอบเข้า ต้องแข่งขันใช้ความสามารถ )
เรียกได้ว่า โรงเรียน/ครู แทบจะไม่มีส่วนช่วยเพิ่มความสารถนั้น ๆ ได้เลย
แต่คุณครูกลับพยายามบอกว่า " ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะ " , " มัวแต่เล่น ทำไมไม่หัดอ่านหนังสือเวลาว่างบ้าง วัน ๆ เล่นแต่เกมส์ " , " ว่าง ๆ ก็หัดไปเรียนพิเศษบ้างสิ " ทั้ง ๆ ที่วันจันทร์ถึงศุกร์ ผมต้องใช้เวลาอยู่กับโรงเรียนวันละไม่ต่ำกว่า 8 ช.ม. ( 08.00น. - 16.00น. ) แต่สิ่งที่ได้จากโรงเรียนนั้นไม่สามารถนำมาใช้สอบแข่งขันได้ถึงแม้จะใช้ได้แต่ก็ไม่ถึง 30% สังเกตจากค่าเฉลี่ยในการสอบแต่ละครั้งมันก็จะประมาณนี้ โดยเฉพาะวิชาที่ยากเช่นคณิตศาสตร์ pat1 เฉลี่ยแค่ 15% จาก 300 , pat2 เฉลี่ย 30% จาก 300 , o-netคณิต 25% , o-netอังกฤษ 28% , o-netวิทย์ 32% , o-netภาษาไทย 53% (ตัวเลขไม่ชัวร์แต่น่าจะประมาณนี้นะครับ)
จะเห็นว่า มันคือความล้มเหลวอย่างมากเลยนะคะแนนส่วนใหญ่ไม่เกิน 50% เลย ( แต่ o-net ภาษาไทยเกินครึ่งก็โอเคน่าพอใจ )
จากประสบการณ์ที่พึ่งเรียนจบในปีนี้ผมก็เห็นปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นและคิดว่ามันคงไม่เปลี่ยนแปลงหรอกไม่ว่าเราจะเพิ่มงบประมาณให้กระทรวงศึกษาอีกกี่เท่าก็ตาม เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่แค่ตัวงบประมาณมันอยู่ที่
- ระบบ (ในการสร้างบุคลากรครู )
- ความไม่กระตือรือร้น ( สอนให้จบไปวัน ๆ )
1. ระบบ
=> ปัญหาใหญ่เกิดจากตรงนี้เลย
ต้องยอมรับกันก่อนว่าใคร ๆ ก็อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงไม่แปลกที่คนเก่ง / มีความสามารถ ต้องการทำอาชีพที่ทำรายได้ ได้เยอะ คนกลุ่มนี้ก็ไปเป็นแพทย์ เภสัช ทันตะ หรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งทำแล้วรวย รวย รวย !!! 55555
ทีนี้คนเก่งจริง ๆ มันเหลือไม่เยอะแล้วบางคนมีอุดมการณ์อยากเป็นครูก็ดีไปแต่ครูเก่ง ๆ ส่วนใหญ่ไปโรงเรียนที่มีคุณภาพอยู่แล้ว เช่น เตรียมอุดม และนักเรียนส่วนใหญ่ที่เข้าไปเรียกได้ว่ามีแต่หัวกะทิที่ผ่านการคัดแล้วคัดอีกแถมได้ครูที่เก่งความสามารถยิ่งพุ่งทะยานไปไกล 5555
จากนั้นก็จะเหลือคนที่พอมีความรู้อยู่บ้าง พ่อแม่ก็อยากให้รับราชการ(ค่านิยมที่อยากให้ลูกเป็นข้าราชการสวัสดิการก็เยอะ ถ้าไม่ทำผิดกฎร้ายแรงก็อยู่ยาวจนเกษียณอายุราชการ)
สำหรับผมมองว่าค่านิยมนี้ดีนะ เออใคร ๆ ก็อยากเป็นครู ( ถ้าไม่ได้ แพทย์ ทันตะ เภสัช 55555555 )
แต่ในส่วนนี้ ปัญหาคือ เป็นครูไม่ค่อยรวยครับเงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่ 15k THB
ถึงแม้คุณจะเก่งขนาดไหน แต่อยู่ในระบบราชการเงินเดือนมันก็ขึ้นยากเสียเหลือเกินจึงเป็นปัญหาในข้อที่ 2
2. ความไม่กระตือรือร้น
" ทำดีกับเธอเท่าไหร่เธอก็ไม่เคยคิดจะเหลียวแล " ต่อให้คนมีอุดมการณ์ขนาดไหนพอเจอเหตุการณ์ซ้ำ ๆ มันก็ท้อเป็นเหนื่อยเป็น
สู้สอนไปวัน ๆ ไม่ต้องแหกปากเรียกร้องความสนใจจากนักเรียนแจกชีทให้นักเรียนอ่านไปทำความเข้าใจเองไม่ดีกว่าหรือ ???
หรือครูบางคน ม.5 มี 16ห้อง --> ต้องสอน 10ห้อง จะให้มานั่งสอนทุกวันพูดถึงวันเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา หาเรื่องมาพูดคุยให้ความสนใจนักเรียน
พอครับพอ หมดแล้วครับทั้งไฟและเงินเดือน
แต่ไปมองในด้านครูสอนพิเศษ ติวเตอร์ต่าง ๆ ยิ่งทำมากยิ่งได้มาก ยิ่งสอนให้เข้าใจยิ่งมีนักเรียนเยอะ ยิ่งรวย !!!
คงจะมองภาพออกนะว่าไฟของใครมันจะเพิ่มขึ้น ใครมันจะลดลง
ถ้ามองเป็นกราฟความกระตือรือร้น กับ ระยะเวลา ครูตามโรงเรียนทั่วไป คงเป็นฟังก์ชันลด , ติวเตอร์ คงเป็นฟังก์ชันเพิ่ม
สุดท้ายถ้าใครอยากเก่ง ถ้าไม่ขยันอ่านเอง ก็ต้องไปเสียตังค์เรียนพิเศษเพิ่ม ซื้อหนังสือดี ๆ มาอ่านแต่ทะว่าต้นทุนชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน สภาพแวดล้อมครอบครัวก็ไม่เหมือนกันอีก(ซึ่งก็คือความเหลื่อมล้ำนั่นแหละ)
แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องการแก้ปัญหาโอ้โหมันช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนต้องแก้อีกกี่10ปี
รัฐบาลที่จะมาแก้ก็เปลี่ยนทีละ 4ปี รัฐบาลใหม่มานโยบายก็ไม่เหมือนกัน แล้วเมื่อไหร่มันจะไปถึงไหนซักที
ขอให้คำแนะนำสำหรับรุ่นน้อง ม.4-6 นะครับ
อย่าหวังที่จะพึ่งคุณครูในโรงเรียนครับ ต้องหวังพึ่งตนเอง
อ่านเองทุกอย่าง หรือถ้าครอบครัวพอจะมีฐานะหน่อยก็แนะนำให้ไปเรียนพิเศษซะเพราะเราคงไม่โชคดีเจอคุณครูที่เก่ง สอนเข้าใจทุกวิชา มีความกระตือรือร้นในการให้ความรู้
ถ้าผมใช้คำไม่เหมาะสม หรือ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
ลองวิเคราะห์ปัญหา " การศึกษาไทย "
เรียกได้ว่า โรงเรียน/ครู แทบจะไม่มีส่วนช่วยเพิ่มความสารถนั้น ๆ ได้เลย
แต่คุณครูกลับพยายามบอกว่า " ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะ " , " มัวแต่เล่น ทำไมไม่หัดอ่านหนังสือเวลาว่างบ้าง วัน ๆ เล่นแต่เกมส์ " , " ว่าง ๆ ก็หัดไปเรียนพิเศษบ้างสิ " ทั้ง ๆ ที่วันจันทร์ถึงศุกร์ ผมต้องใช้เวลาอยู่กับโรงเรียนวันละไม่ต่ำกว่า 8 ช.ม. ( 08.00น. - 16.00น. ) แต่สิ่งที่ได้จากโรงเรียนนั้นไม่สามารถนำมาใช้สอบแข่งขันได้ถึงแม้จะใช้ได้แต่ก็ไม่ถึง 30% สังเกตจากค่าเฉลี่ยในการสอบแต่ละครั้งมันก็จะประมาณนี้ โดยเฉพาะวิชาที่ยากเช่นคณิตศาสตร์ pat1 เฉลี่ยแค่ 15% จาก 300 , pat2 เฉลี่ย 30% จาก 300 , o-netคณิต 25% , o-netอังกฤษ 28% , o-netวิทย์ 32% , o-netภาษาไทย 53% (ตัวเลขไม่ชัวร์แต่น่าจะประมาณนี้นะครับ)
จะเห็นว่า มันคือความล้มเหลวอย่างมากเลยนะคะแนนส่วนใหญ่ไม่เกิน 50% เลย ( แต่ o-net ภาษาไทยเกินครึ่งก็โอเคน่าพอใจ )
จากประสบการณ์ที่พึ่งเรียนจบในปีนี้ผมก็เห็นปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นและคิดว่ามันคงไม่เปลี่ยนแปลงหรอกไม่ว่าเราจะเพิ่มงบประมาณให้กระทรวงศึกษาอีกกี่เท่าก็ตาม เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่แค่ตัวงบประมาณมันอยู่ที่
- ระบบ (ในการสร้างบุคลากรครู )
- ความไม่กระตือรือร้น ( สอนให้จบไปวัน ๆ )
1. ระบบ
=> ปัญหาใหญ่เกิดจากตรงนี้เลย
ต้องยอมรับกันก่อนว่าใคร ๆ ก็อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงไม่แปลกที่คนเก่ง / มีความสามารถ ต้องการทำอาชีพที่ทำรายได้ ได้เยอะ คนกลุ่มนี้ก็ไปเป็นแพทย์ เภสัช ทันตะ หรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งทำแล้วรวย รวย รวย !!! 55555
ทีนี้คนเก่งจริง ๆ มันเหลือไม่เยอะแล้วบางคนมีอุดมการณ์อยากเป็นครูก็ดีไปแต่ครูเก่ง ๆ ส่วนใหญ่ไปโรงเรียนที่มีคุณภาพอยู่แล้ว เช่น เตรียมอุดม และนักเรียนส่วนใหญ่ที่เข้าไปเรียกได้ว่ามีแต่หัวกะทิที่ผ่านการคัดแล้วคัดอีกแถมได้ครูที่เก่งความสามารถยิ่งพุ่งทะยานไปไกล 5555
จากนั้นก็จะเหลือคนที่พอมีความรู้อยู่บ้าง พ่อแม่ก็อยากให้รับราชการ(ค่านิยมที่อยากให้ลูกเป็นข้าราชการสวัสดิการก็เยอะ ถ้าไม่ทำผิดกฎร้ายแรงก็อยู่ยาวจนเกษียณอายุราชการ)
สำหรับผมมองว่าค่านิยมนี้ดีนะ เออใคร ๆ ก็อยากเป็นครู ( ถ้าไม่ได้ แพทย์ ทันตะ เภสัช 55555555 )
แต่ในส่วนนี้ ปัญหาคือ เป็นครูไม่ค่อยรวยครับเงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่ 15k THB
ถึงแม้คุณจะเก่งขนาดไหน แต่อยู่ในระบบราชการเงินเดือนมันก็ขึ้นยากเสียเหลือเกินจึงเป็นปัญหาในข้อที่ 2
2. ความไม่กระตือรือร้น
" ทำดีกับเธอเท่าไหร่เธอก็ไม่เคยคิดจะเหลียวแล " ต่อให้คนมีอุดมการณ์ขนาดไหนพอเจอเหตุการณ์ซ้ำ ๆ มันก็ท้อเป็นเหนื่อยเป็น
สู้สอนไปวัน ๆ ไม่ต้องแหกปากเรียกร้องความสนใจจากนักเรียนแจกชีทให้นักเรียนอ่านไปทำความเข้าใจเองไม่ดีกว่าหรือ ???
หรือครูบางคน ม.5 มี 16ห้อง --> ต้องสอน 10ห้อง จะให้มานั่งสอนทุกวันพูดถึงวันเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา หาเรื่องมาพูดคุยให้ความสนใจนักเรียน
พอครับพอ หมดแล้วครับทั้งไฟและเงินเดือน
แต่ไปมองในด้านครูสอนพิเศษ ติวเตอร์ต่าง ๆ ยิ่งทำมากยิ่งได้มาก ยิ่งสอนให้เข้าใจยิ่งมีนักเรียนเยอะ ยิ่งรวย !!!
คงจะมองภาพออกนะว่าไฟของใครมันจะเพิ่มขึ้น ใครมันจะลดลง
ถ้ามองเป็นกราฟความกระตือรือร้น กับ ระยะเวลา ครูตามโรงเรียนทั่วไป คงเป็นฟังก์ชันลด , ติวเตอร์ คงเป็นฟังก์ชันเพิ่ม
สุดท้ายถ้าใครอยากเก่ง ถ้าไม่ขยันอ่านเอง ก็ต้องไปเสียตังค์เรียนพิเศษเพิ่ม ซื้อหนังสือดี ๆ มาอ่านแต่ทะว่าต้นทุนชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน สภาพแวดล้อมครอบครัวก็ไม่เหมือนกันอีก(ซึ่งก็คือความเหลื่อมล้ำนั่นแหละ)
แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องการแก้ปัญหาโอ้โหมันช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนต้องแก้อีกกี่10ปี
รัฐบาลที่จะมาแก้ก็เปลี่ยนทีละ 4ปี รัฐบาลใหม่มานโยบายก็ไม่เหมือนกัน แล้วเมื่อไหร่มันจะไปถึงไหนซักที
ขอให้คำแนะนำสำหรับรุ่นน้อง ม.4-6 นะครับ
อย่าหวังที่จะพึ่งคุณครูในโรงเรียนครับ ต้องหวังพึ่งตนเอง
อ่านเองทุกอย่าง หรือถ้าครอบครัวพอจะมีฐานะหน่อยก็แนะนำให้ไปเรียนพิเศษซะเพราะเราคงไม่โชคดีเจอคุณครูที่เก่ง สอนเข้าใจทุกวิชา มีความกระตือรือร้นในการให้ความรู้
ถ้าผมใช้คำไม่เหมาะสม หรือ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ