แท็กซี่ไทย ในความคิดของข้าพเจ้า
สวัสดีครับพี่น้องทุกท่าน ช่วงนี้คงจะพบกับเรื่องของแท็กซี่เยอะมากๆ
เรื่องคลาสสิคเลยก็คือ ใช้วาจาไม่สุภาพกับผู้โดยสาร ,ปฏิเสธ, ขับอ้อม โกงค่าโดยสาร, ทิ้งผู้โดยสารกลางทาง ฯลฯ
ซึ่งเป็นปัญหาที่เหมือนเป็นพยาธิ ใช้ยาแรงแค่ไหนก็รักษาไม่หาย ขับถ่ายไม่หมด เพราะว่าก็มีของดิบป้อนเข้ามาตลอด
ผมเองนั้นเคยประกอบอาชีพแท็กซี่ช่วงหนึ่งครับ บอกเลยครับ เป็นอาชีพที่ดี ผมชอบมาก แต่ก็ต้องเลิกขับไป
ด้วยหลายปัจจัยทั้งสภาพการจราจรและเรื่องอื่นๆ
ผมจะขอออกความเห็นเรื่องที่ผมพบเห็นและ(คิดว่า) เป็นปัญหาที่ทำให้แท็กซี่บ้านเราไม่มีคุณภาพครับ
ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวและมุมมองของผมนะครับ
1.ปัจจัยจาก หน่วยงานทีทำการคัดเลือกและออกกฏครับ
1.1การคัดเลือกคนขับ ต้องมีการตรวจสอบสภาพจิตใจ หรือประเมิน
สภาวะจิตให้ดีกว่านี้ครับ เพราะหลายคนนั้นมีแค่ความอยากจะมาขับรถเพื่อหาเงิน
แต่ไม่ได้มีจิตใจบริการ หรือคิดว่าผู้โดยสารจะเป็นยังไง
จะพูดอะไรกับเราก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
หรือไม่สามารถแยกแยะระหว่างเวลางานกับเรื่องส่วนตัว
บางคนมีปัญหาทางบ้าน ไม่ยอมเคลีย
ในหลายครั้งมักจะเห็นคนขับบางคนใช้โทรศัพท์ไป ขับไป โมโหกับคนในสาย
มีอารมณ์ก็ใช้วาจาไม่สุภาพ ผู้โดยสารก็รู้สึกไม่ดีและกลัว หนักเข้าก็คือ ขับรถด้วยความหวาดเสียวเพราะว่าโกรธ
ตรงนี้แน่นอนครับ ว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ผมเชื่อว่าการประเมินสภาพทางจิตใจ
หรือความฉลาดทางอารมณ์นั้นกรมการขนส่งสามารถทำได้แน่นอนครับ
ให้คัดเลือกคนที่พร้อมจะทำอาชีพนี้จริงๆ เพราะอาชีพนี้เป็นงานบริการประชาชนครับ
ใครไม่พร้อมจะทำก็ไม่ต้องให้เข้ามาขับแล้วท่านก็ค่อยไปไล่บี้ในข้อ 2 ต่อ
1.2 การขับรถ แน่นอนว่าการทำใบขับขี่รถสาธารณะหรือแท็กซี่นั้น ไม่ได้มีการทดสอบขับ
เพราะบุคคลที่มาขอทำนั้นสามารถใช้ใบขับขี่รถบ้านหรือส่วนบุคคลได้ ทำให้ไม่ได้ต้องสอบขับ
ตรงนี้ได้ยินมาว่า มีการปรับมาตรฐานโดยการมีการทดสอบขับด้วยครับ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยนั่งประเมิน
ซึ่งดีมากครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่ายังบังคับใช้อยู่ หรือไม่ใช้แล้ว
ถ้าใช้แล้วครอบคลุมถึงคนเก่าๆ (เก๋า) รุ่นเดอะทั้งหลาย ด้วยหรือไม่ บางที่การขับมานานใช้ว่าจะขับดี
ทุกวันนี้ผมยังเห็นแท็กซี่บางคันขับผ่านสี่แยกยังเปิดไฟฉุกเฉินอยู่เลยครับ งง มากว่าผ่านการสอบมาได้ยังไง?
1.3 สภาพรถ ตรงนี้อยากให้คุมเข้มอย่างจริงจังครับ ผมยังเห็น ไฮทอร์คเอามาวิ่งอยู่เลยครับ
ไม่ทราบว่าท่านไม่เห็นหรือเปล่า? หรือปีรถนั้นนานเกินไป ปรับจาก 12 เหลือ 9 ปีแล้ว แต่ 12 ปีนั้นก็ยังต่อให้ได้อีก
ทำให้รถไม่มาตรฐานครับ
-การคุมเข้มเรื่องฟิล์มกรองแสง ในกรุงเทพฯนั้นถือว่าทำได้ดีครับ แต่ก็มีบางคันเท่านั้นถือติดสะมืด
มองไม่เห็นข้างในรถเลย แต่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะเชียงใหม่นั้นผมเห็นแท็กซี่ทุกคันนั้นฟิล์มดำเกือบทั้งหมด
ไม่ทราบว่าขนส่งนั้นมีมาตรฐานเกี่ยวกับรถสาธารณะยังไงครับ 77 จังหวัด ต้อง 77 มาตรฐานหรือไม่ครับ?
-การตกแต่งของรถ ตรงนี้รถแท็กซี่บางคันหรือหลังๆมาผมเริ่มเห็นเยอะคือ
ไฟไอติม ไฟแฟลช ไฟสี อะไรก็ตามแต่จะเรียก ตรงนี้ จริงๆแล้วไม่ควรจะมีในรถทั่วไป
โดยเฉพาะในรถแท็กซี่แต่ก็เห็นเยอะเลย มันสวยตรงไหนผมก็ไม่รู้
1.4 ต่อจาก 1.3 นิด การควบคุม ปริมาณของรถ ทั้งรถที่หมดอายุ บอกเลยครับว่ามีเยอะมาก
หรือรถแท็กซี่ป้ายแดง ตรงนี้จะไปพูดต่อในอีกส่วนครับ
1.5 การสอบข้อเขียน ไม่รู้มีการเปลี่ยนหรือยังหรือยังใช้ข้อสอบ 20 ข้อ 18 ข้อผ่านอยู่
ผมบอกเลยว่ามันง่ายมากๆครับ ผมเองยังได้ 20 เต็ม จริงๆ แล้วรถสาธารณะควรจะยากกว่านี้ด้วยซ้ำ
แต่อย่างว่าครับ เพราะว่าคนที่มีขอทำนั้น มีการเทียบจากใบขับขี่ส่วนบุคคลมาแล้วทำให้ไม่ต้องทำข้อสอบมากมาย
เพราะว่าผ่านรถบ้านมาแล้ว แต่มันควรจะยากกว่านี้ เพื่อเป็นการทบทวนกฏจราจร และกฏกติกามารยาทให้คนที่พร้อมจะเข้าทำอาชีพนี้
และเป็นการคัดเลือกคนที่ไม่พร้อม หรือยังไม่พร้อมจะทำออกไปจากวงการนี้ครับ
2.ปัจจัยจากสหกรณ์ หรือไฟแนนซ์ หรือธนาคาร ผู้ให้สินเชื่อ
2.1 สหกรณ์นั้นโดยทั่วไปผมเชื่อเรื่องการคุมเข้มคนขับอยู่แล้ว แต่ทว่า ยังมีอู่เล็กน้อย
หรือผู้ประกอบการบางคน รับรถมาจากสหกรณ์อีกที และไม่ได้ควบคุมคนขับ เช่น
-ปล่อยให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับรถสาธารณะเช่าขับ ผมเจอมากับตัวตอนก่อนจะได้ใบขับขี่ประมาณ 1 สัปดาห์
ผมโทรไปสอบถาม อู่รถแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการเช่าว่าต้องทำยังไง โดยที่ผมบอกว่าผมจะมาเช่าอาทิตย์หน้านะครับ
เพราะผมกำลังจะไปสอบใบขับขี่ แต่ทางเจ้าของอู่กลับบอกว่า
“มาเลยน้อง อู่พี่มีคนขับหลายคนที่ไม่มีใบขับขี่ ก็ยังขับๆกันไม่เห็นเป็นอะไร” นี่คือจุดที่ทำให้คนที่
ไม่มีคุณภาพที่ผ่านจากขนส่งมาเยอะอยู่แล้ว ยังเจอในกรณีนี้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่แย่มากครับ เพราะเจ้าของอู่อยากได้เงิน
เขาจึงปล่อย แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็เรื่องใหญ่ละทีนี้ เพราะคนขับไม่มีใบขับขี่รถสาธารณะ ประกันไม่ครอบคลุมอีก
ในกรณีคุณป้ามหาภัยนั้น ใบขับขี่ก็หมดตั้งแต่ปี 58 แต่ก็ยังมีสหกรณ์หรืออู่ให้แกเช่าได้ เพราะอะไรครับ
คำเดียวคือ “เงิน” เพราะกฎหมายไม่แรงพอครับ
ยังมีคนขับแท็กซี่อีกมากครับที่ไม่มีใบขับขี่ หรือเนียนใช้ของคู่กะ หรือเจ้าของรถ
2.2 ไฟแนนซ์ หรือธนาคาร นั้นมีการจัดอัตราดอกเบี้ยที่แพง (มาก) ดาวน์เป็นแสนๆ
ถ้าดาวน์น้อยก็ผ่อนแพง แท็กซี่จ่ายเป็นวัน ตกวันละ ห้าร้อยถึงหนึ่งพันบาท
รวมแล้วรถคันหนึ่งเมื่อผ่อนเสร็จมีราคาถึงหนึ่งล้านห้าแสน โดยประมาณ ตรงนี้ผมเข้าใจครับว่า
รถแท็กซี่เป็นรถหากิน ทำให้มีการจัดอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่ารถบ้าน
และถ้าราคาเท่ารถบ้าน คนอาจจะทำมากกว่านี้ รถแท็กซี่อาจจะเยอะมากกว่านี้
และปัญหาอาจจะเยอะมากกว่านี้ ตรงนี้ผมอยากให้กลับไปมองในข้อ 1.1 ครับ
คนที่เข้ามาขับแท็กซี่มีเยอะเกินไป ทำให้เกิดการแข่งขันสูง สำหรับคนที่ตั้งใจทำงานนะครับ
ไม่ใช่พวกที่คอยจ้องแต่ฝรั่งหรือ ไม่อยากไปไหนไกล คนขับมีความเครียดเนื่องจากจำนวนรถที่มากเกินไป
ไม่ค่อยมีผู้โดยสารขึ้น ทำให้คิดไปถึงเรื่องค่างวด ซึ่งสูงมาก ตรงนี้ในความคิดผมนั้น ผมไม่ได้อยากให้แก้นะครับ
ไม่ได้อยากให้ปรับอัตราดอกเบี้ยลง หรือทำอะไรให้มันถูกลง เพราะทุกอาชีพต้องมีการลงทุน
แต่ถ้ามันเยอะเกินไป ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ความเครียด ความกังวล ก็เกิดขึ้นได้ และเป็นปัญหาครับ
แต่ช่วยคัดคนขับให้หน่อย เพราะผู้โดยสารทุกวันนี้ไม่ค่อยอยากจะขึ้นแท็กซี่เพราะ เรื่องคนขับที่ไม่พร้อมจะให้บริการเป็นหลักครับ
-ตรวจสอบคุมเข้มสหกรณ์หรืออู่ ไม่ให้นำรถที่เก่า สภาพไม่พร้อมขับออกมาใช้งานครับ
รถแท็กซี่ส่วนมากจะทำการเปลี่ยนเบาะครับ ทำให้เบาะหลังที่ติดตั้งมาใหม่เพราะต้องรองรับถังก๊าช
กลายเป็นไม่มีเข็มขัดซะงั้น แล้วมีกฎหมายให้รัดเข็มขัด แต่รถแท็กซี่ยังไม่มีทำไงละที่นี้
ผู้โดยสารนั้นผมก็เชื่อว่ากลัวตาย กลัวโดนปรับทั้งนั้น แต่รถไม่มีเข็มขัดทำยังไงได้ครับ
3.สถานีบริการก๊าช (NGV) มีน้อยเกินความต้องการ
จึงทำให้เป็นข้ออ้างของบางคนในการอ้างว่า “ก๊าชหมด” แต่สำหรับผม
ผมไม่เคยครับ เพราะผมจะคิดดูตลอดว่าก๊าชจะหมดหรือไม่ ถ้าใกล้หมดผมปิดไฟว่างและหาปั้มเติมทันที
ไม่เปิดไฟว่างครับ ปั้มก๊าชมีน้อยและไม่พอหลายครั้งวิ่งไปสถานีนี้ แต่ก๊าชหมดอีก ต้องวิ่งน้ำมัน
ตรงนี้อยากให้ภาครัฐ ช่วยในการเร่งสร้างสถานีสำหรับก๊าชให้มากกว่าที่มีครับ
จะได้ไม่เป็นข้ออ้างของหลายๆคนที่ไม่ยอมรับผู้โดยสารเพราะก๊าชหมด
แต่ก็พูดอยากเพราะบางคนใช้ LPG ก๊าชเติมถัง ยังอ้างก็เยอะไป ฮ่าๆ
4.สภาพการจราจรปัจจุบัน
ซึ่งเข้าขั้นวิกฤต รถติดมากๆบางทีรถนิ่งสนิทไปไหนไม่ได้ การก่อสร้างรถไฟฟ้า หรืออุโมงค์พันปีในหลายที่ ทำให้รถติดหนัก
นั่งดูข่าวหลายช่องที่ออกไปถามแท็กซี่หลายคนก็บอกว่า
อยากให้ช่วยปรับมิเตอร์ตอนที่รถติดได้หรือไม่? ตรงนี้ผมอยากให้ไปพิจารณาครับ
เพราะเข้าใจบางคนที่ไม่อยากไปรถติดๆเพราะได้เงินน้อย ผมไปถนนศรีนครรินทร์ช่วงวันที่มีตลาดนัดรถไฟ ถามว่าได้คนมั้ย?
คนก็ขึ้นตลอดครับ แต่รถมันติดมากไปไหนไม่ได้ อยากจะรับคนเยอะๆ ให้ได้กลับบ้านกับผมแต่ บางหลายครั้งก็ท้อ
รถติดสองชั่วโมงได้ผู้โดยสารสองเจ้าได้มาร้อยกว่าบาท หนักเลยคือก๊าชหมด รับใครไม่ได้ล่ะ ทำไงดีละที่นี่
แต่ถ้ามิเตอร์ตอนรถติดขึ้นมาอีกหน่อยก็ดีครับ ขึ้นอีกจากเดินนาทีละ 0.50-1 บาทจะดีมากครับ
ให้คนที่ตั้งใจทำอาชีพนี้ให้อยู่ได้ครับ
ที่ผมเขียน(พิมพ์) นั้นเป็นความเห็นส่วนตัวทั้งนั้นครับ ซึ่งผมมองว่าภาครัฐหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรจัดการได้แล้วครับ ไม่เช่นนั้นผู้โดยสารหรือประชาชนที่ต้องการใช้บริการรถสาธารณะ จะเดือดร้อนมากไปกว่านี้ครับ
มุมมองผมอาจจะไม่ดีหรือไม่ตรงใจใครยังไงก็ช่วยแนะนำและชี้แนะด้วยครับ ไม่ใช่ข้ออ้างหรือเขียนเข้าข้างแท็กซี่ด้วยกันครับ
เพราะผมเองก็เป็นผู้โดยสารคนหนึ่งที่ใช้บริการรถสาธารณะเหมือนกัน
จึงอยากให้ทราบถึงปัญหา และสาเหตุ(บางส่วน) การแก้ปัญหาคือเน้นหลักๆไปที่คนครับ เข้มงวดการคัดเลือก
คนที่จะเข้ามาทำอาชีพนี้และคนที่ ยังทำอยู่
ที่ทำให้แท็กซี่ไม่มีคุณภาพดั่งที่ควรจะเป็นครับ
หรือถ้าสิ่งที่ผมกล่าวมานั้นมีการทำอยู่แล้วก็ขอให้ท่านเข้มงวดจริงจังในการทำให้ดีขึ้นไปอีกครับ
ผมก็ได้แค่หวังว่า บ้านเราจะน่าอยู่กว่านี้ ไม่ใช่ประเทศไทยใครก็ได้หรืออะไรก็ได้ง่ายๆ
ปล.ที่ผมเลิกขับเพราะย้ายมาอยู่ทางเหนือครับ ปัญหารถสาธารณะทางเหนือนี้ก็มีปัญหาเหมือนกันไว้จะมาเขียนให้อ่านครับ
ขอบคุณครับ
แท็กซี่ไทยๆไม่มีคุณภาพเพราะ? กระทู้เดิมเนื้อหาไม่ขึ้น
สวัสดีครับพี่น้องทุกท่าน ช่วงนี้คงจะพบกับเรื่องของแท็กซี่เยอะมากๆ
เรื่องคลาสสิคเลยก็คือ ใช้วาจาไม่สุภาพกับผู้โดยสาร ,ปฏิเสธ, ขับอ้อม โกงค่าโดยสาร, ทิ้งผู้โดยสารกลางทาง ฯลฯ
ซึ่งเป็นปัญหาที่เหมือนเป็นพยาธิ ใช้ยาแรงแค่ไหนก็รักษาไม่หาย ขับถ่ายไม่หมด เพราะว่าก็มีของดิบป้อนเข้ามาตลอด
ผมเองนั้นเคยประกอบอาชีพแท็กซี่ช่วงหนึ่งครับ บอกเลยครับ เป็นอาชีพที่ดี ผมชอบมาก แต่ก็ต้องเลิกขับไป
ด้วยหลายปัจจัยทั้งสภาพการจราจรและเรื่องอื่นๆ
ผมจะขอออกความเห็นเรื่องที่ผมพบเห็นและ(คิดว่า) เป็นปัญหาที่ทำให้แท็กซี่บ้านเราไม่มีคุณภาพครับ
ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวและมุมมองของผมนะครับ
1.ปัจจัยจาก หน่วยงานทีทำการคัดเลือกและออกกฏครับ
1.1การคัดเลือกคนขับ ต้องมีการตรวจสอบสภาพจิตใจ หรือประเมิน
สภาวะจิตให้ดีกว่านี้ครับ เพราะหลายคนนั้นมีแค่ความอยากจะมาขับรถเพื่อหาเงิน
แต่ไม่ได้มีจิตใจบริการ หรือคิดว่าผู้โดยสารจะเป็นยังไง
จะพูดอะไรกับเราก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
หรือไม่สามารถแยกแยะระหว่างเวลางานกับเรื่องส่วนตัว
บางคนมีปัญหาทางบ้าน ไม่ยอมเคลีย
ในหลายครั้งมักจะเห็นคนขับบางคนใช้โทรศัพท์ไป ขับไป โมโหกับคนในสาย
มีอารมณ์ก็ใช้วาจาไม่สุภาพ ผู้โดยสารก็รู้สึกไม่ดีและกลัว หนักเข้าก็คือ ขับรถด้วยความหวาดเสียวเพราะว่าโกรธ
ตรงนี้แน่นอนครับ ว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ผมเชื่อว่าการประเมินสภาพทางจิตใจ
หรือความฉลาดทางอารมณ์นั้นกรมการขนส่งสามารถทำได้แน่นอนครับ
ให้คัดเลือกคนที่พร้อมจะทำอาชีพนี้จริงๆ เพราะอาชีพนี้เป็นงานบริการประชาชนครับ
ใครไม่พร้อมจะทำก็ไม่ต้องให้เข้ามาขับแล้วท่านก็ค่อยไปไล่บี้ในข้อ 2 ต่อ
1.2 การขับรถ แน่นอนว่าการทำใบขับขี่รถสาธารณะหรือแท็กซี่นั้น ไม่ได้มีการทดสอบขับ
เพราะบุคคลที่มาขอทำนั้นสามารถใช้ใบขับขี่รถบ้านหรือส่วนบุคคลได้ ทำให้ไม่ได้ต้องสอบขับ
ตรงนี้ได้ยินมาว่า มีการปรับมาตรฐานโดยการมีการทดสอบขับด้วยครับ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยนั่งประเมิน
ซึ่งดีมากครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่ายังบังคับใช้อยู่ หรือไม่ใช้แล้ว
ถ้าใช้แล้วครอบคลุมถึงคนเก่าๆ (เก๋า) รุ่นเดอะทั้งหลาย ด้วยหรือไม่ บางที่การขับมานานใช้ว่าจะขับดี
ทุกวันนี้ผมยังเห็นแท็กซี่บางคันขับผ่านสี่แยกยังเปิดไฟฉุกเฉินอยู่เลยครับ งง มากว่าผ่านการสอบมาได้ยังไง?
1.3 สภาพรถ ตรงนี้อยากให้คุมเข้มอย่างจริงจังครับ ผมยังเห็น ไฮทอร์คเอามาวิ่งอยู่เลยครับ
ไม่ทราบว่าท่านไม่เห็นหรือเปล่า? หรือปีรถนั้นนานเกินไป ปรับจาก 12 เหลือ 9 ปีแล้ว แต่ 12 ปีนั้นก็ยังต่อให้ได้อีก
ทำให้รถไม่มาตรฐานครับ
-การคุมเข้มเรื่องฟิล์มกรองแสง ในกรุงเทพฯนั้นถือว่าทำได้ดีครับ แต่ก็มีบางคันเท่านั้นถือติดสะมืด
มองไม่เห็นข้างในรถเลย แต่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะเชียงใหม่นั้นผมเห็นแท็กซี่ทุกคันนั้นฟิล์มดำเกือบทั้งหมด
ไม่ทราบว่าขนส่งนั้นมีมาตรฐานเกี่ยวกับรถสาธารณะยังไงครับ 77 จังหวัด ต้อง 77 มาตรฐานหรือไม่ครับ?
-การตกแต่งของรถ ตรงนี้รถแท็กซี่บางคันหรือหลังๆมาผมเริ่มเห็นเยอะคือ
ไฟไอติม ไฟแฟลช ไฟสี อะไรก็ตามแต่จะเรียก ตรงนี้ จริงๆแล้วไม่ควรจะมีในรถทั่วไป
โดยเฉพาะในรถแท็กซี่แต่ก็เห็นเยอะเลย มันสวยตรงไหนผมก็ไม่รู้
1.4 ต่อจาก 1.3 นิด การควบคุม ปริมาณของรถ ทั้งรถที่หมดอายุ บอกเลยครับว่ามีเยอะมาก
หรือรถแท็กซี่ป้ายแดง ตรงนี้จะไปพูดต่อในอีกส่วนครับ
1.5 การสอบข้อเขียน ไม่รู้มีการเปลี่ยนหรือยังหรือยังใช้ข้อสอบ 20 ข้อ 18 ข้อผ่านอยู่
ผมบอกเลยว่ามันง่ายมากๆครับ ผมเองยังได้ 20 เต็ม จริงๆ แล้วรถสาธารณะควรจะยากกว่านี้ด้วยซ้ำ
แต่อย่างว่าครับ เพราะว่าคนที่มีขอทำนั้น มีการเทียบจากใบขับขี่ส่วนบุคคลมาแล้วทำให้ไม่ต้องทำข้อสอบมากมาย
เพราะว่าผ่านรถบ้านมาแล้ว แต่มันควรจะยากกว่านี้ เพื่อเป็นการทบทวนกฏจราจร และกฏกติกามารยาทให้คนที่พร้อมจะเข้าทำอาชีพนี้
และเป็นการคัดเลือกคนที่ไม่พร้อม หรือยังไม่พร้อมจะทำออกไปจากวงการนี้ครับ
2.ปัจจัยจากสหกรณ์ หรือไฟแนนซ์ หรือธนาคาร ผู้ให้สินเชื่อ
2.1 สหกรณ์นั้นโดยทั่วไปผมเชื่อเรื่องการคุมเข้มคนขับอยู่แล้ว แต่ทว่า ยังมีอู่เล็กน้อย
หรือผู้ประกอบการบางคน รับรถมาจากสหกรณ์อีกที และไม่ได้ควบคุมคนขับ เช่น
-ปล่อยให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับรถสาธารณะเช่าขับ ผมเจอมากับตัวตอนก่อนจะได้ใบขับขี่ประมาณ 1 สัปดาห์
ผมโทรไปสอบถาม อู่รถแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการเช่าว่าต้องทำยังไง โดยที่ผมบอกว่าผมจะมาเช่าอาทิตย์หน้านะครับ
เพราะผมกำลังจะไปสอบใบขับขี่ แต่ทางเจ้าของอู่กลับบอกว่า
“มาเลยน้อง อู่พี่มีคนขับหลายคนที่ไม่มีใบขับขี่ ก็ยังขับๆกันไม่เห็นเป็นอะไร” นี่คือจุดที่ทำให้คนที่
ไม่มีคุณภาพที่ผ่านจากขนส่งมาเยอะอยู่แล้ว ยังเจอในกรณีนี้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่แย่มากครับ เพราะเจ้าของอู่อยากได้เงิน
เขาจึงปล่อย แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็เรื่องใหญ่ละทีนี้ เพราะคนขับไม่มีใบขับขี่รถสาธารณะ ประกันไม่ครอบคลุมอีก
ในกรณีคุณป้ามหาภัยนั้น ใบขับขี่ก็หมดตั้งแต่ปี 58 แต่ก็ยังมีสหกรณ์หรืออู่ให้แกเช่าได้ เพราะอะไรครับ
คำเดียวคือ “เงิน” เพราะกฎหมายไม่แรงพอครับ
ยังมีคนขับแท็กซี่อีกมากครับที่ไม่มีใบขับขี่ หรือเนียนใช้ของคู่กะ หรือเจ้าของรถ
2.2 ไฟแนนซ์ หรือธนาคาร นั้นมีการจัดอัตราดอกเบี้ยที่แพง (มาก) ดาวน์เป็นแสนๆ
ถ้าดาวน์น้อยก็ผ่อนแพง แท็กซี่จ่ายเป็นวัน ตกวันละ ห้าร้อยถึงหนึ่งพันบาท
รวมแล้วรถคันหนึ่งเมื่อผ่อนเสร็จมีราคาถึงหนึ่งล้านห้าแสน โดยประมาณ ตรงนี้ผมเข้าใจครับว่า
รถแท็กซี่เป็นรถหากิน ทำให้มีการจัดอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่ารถบ้าน
และถ้าราคาเท่ารถบ้าน คนอาจจะทำมากกว่านี้ รถแท็กซี่อาจจะเยอะมากกว่านี้
และปัญหาอาจจะเยอะมากกว่านี้ ตรงนี้ผมอยากให้กลับไปมองในข้อ 1.1 ครับ
คนที่เข้ามาขับแท็กซี่มีเยอะเกินไป ทำให้เกิดการแข่งขันสูง สำหรับคนที่ตั้งใจทำงานนะครับ
ไม่ใช่พวกที่คอยจ้องแต่ฝรั่งหรือ ไม่อยากไปไหนไกล คนขับมีความเครียดเนื่องจากจำนวนรถที่มากเกินไป
ไม่ค่อยมีผู้โดยสารขึ้น ทำให้คิดไปถึงเรื่องค่างวด ซึ่งสูงมาก ตรงนี้ในความคิดผมนั้น ผมไม่ได้อยากให้แก้นะครับ
ไม่ได้อยากให้ปรับอัตราดอกเบี้ยลง หรือทำอะไรให้มันถูกลง เพราะทุกอาชีพต้องมีการลงทุน
แต่ถ้ามันเยอะเกินไป ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ความเครียด ความกังวล ก็เกิดขึ้นได้ และเป็นปัญหาครับ
แต่ช่วยคัดคนขับให้หน่อย เพราะผู้โดยสารทุกวันนี้ไม่ค่อยอยากจะขึ้นแท็กซี่เพราะ เรื่องคนขับที่ไม่พร้อมจะให้บริการเป็นหลักครับ
-ตรวจสอบคุมเข้มสหกรณ์หรืออู่ ไม่ให้นำรถที่เก่า สภาพไม่พร้อมขับออกมาใช้งานครับ
รถแท็กซี่ส่วนมากจะทำการเปลี่ยนเบาะครับ ทำให้เบาะหลังที่ติดตั้งมาใหม่เพราะต้องรองรับถังก๊าช
กลายเป็นไม่มีเข็มขัดซะงั้น แล้วมีกฎหมายให้รัดเข็มขัด แต่รถแท็กซี่ยังไม่มีทำไงละที่นี้
ผู้โดยสารนั้นผมก็เชื่อว่ากลัวตาย กลัวโดนปรับทั้งนั้น แต่รถไม่มีเข็มขัดทำยังไงได้ครับ
3.สถานีบริการก๊าช (NGV) มีน้อยเกินความต้องการ
จึงทำให้เป็นข้ออ้างของบางคนในการอ้างว่า “ก๊าชหมด” แต่สำหรับผม
ผมไม่เคยครับ เพราะผมจะคิดดูตลอดว่าก๊าชจะหมดหรือไม่ ถ้าใกล้หมดผมปิดไฟว่างและหาปั้มเติมทันที
ไม่เปิดไฟว่างครับ ปั้มก๊าชมีน้อยและไม่พอหลายครั้งวิ่งไปสถานีนี้ แต่ก๊าชหมดอีก ต้องวิ่งน้ำมัน
ตรงนี้อยากให้ภาครัฐ ช่วยในการเร่งสร้างสถานีสำหรับก๊าชให้มากกว่าที่มีครับ
จะได้ไม่เป็นข้ออ้างของหลายๆคนที่ไม่ยอมรับผู้โดยสารเพราะก๊าชหมด
แต่ก็พูดอยากเพราะบางคนใช้ LPG ก๊าชเติมถัง ยังอ้างก็เยอะไป ฮ่าๆ
4.สภาพการจราจรปัจจุบัน
ซึ่งเข้าขั้นวิกฤต รถติดมากๆบางทีรถนิ่งสนิทไปไหนไม่ได้ การก่อสร้างรถไฟฟ้า หรืออุโมงค์พันปีในหลายที่ ทำให้รถติดหนัก
นั่งดูข่าวหลายช่องที่ออกไปถามแท็กซี่หลายคนก็บอกว่า
อยากให้ช่วยปรับมิเตอร์ตอนที่รถติดได้หรือไม่? ตรงนี้ผมอยากให้ไปพิจารณาครับ
เพราะเข้าใจบางคนที่ไม่อยากไปรถติดๆเพราะได้เงินน้อย ผมไปถนนศรีนครรินทร์ช่วงวันที่มีตลาดนัดรถไฟ ถามว่าได้คนมั้ย?
คนก็ขึ้นตลอดครับ แต่รถมันติดมากไปไหนไม่ได้ อยากจะรับคนเยอะๆ ให้ได้กลับบ้านกับผมแต่ บางหลายครั้งก็ท้อ
รถติดสองชั่วโมงได้ผู้โดยสารสองเจ้าได้มาร้อยกว่าบาท หนักเลยคือก๊าชหมด รับใครไม่ได้ล่ะ ทำไงดีละที่นี่
แต่ถ้ามิเตอร์ตอนรถติดขึ้นมาอีกหน่อยก็ดีครับ ขึ้นอีกจากเดินนาทีละ 0.50-1 บาทจะดีมากครับ
ให้คนที่ตั้งใจทำอาชีพนี้ให้อยู่ได้ครับ
ที่ผมเขียน(พิมพ์) นั้นเป็นความเห็นส่วนตัวทั้งนั้นครับ ซึ่งผมมองว่าภาครัฐหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรจัดการได้แล้วครับ ไม่เช่นนั้นผู้โดยสารหรือประชาชนที่ต้องการใช้บริการรถสาธารณะ จะเดือดร้อนมากไปกว่านี้ครับ
มุมมองผมอาจจะไม่ดีหรือไม่ตรงใจใครยังไงก็ช่วยแนะนำและชี้แนะด้วยครับ ไม่ใช่ข้ออ้างหรือเขียนเข้าข้างแท็กซี่ด้วยกันครับ
เพราะผมเองก็เป็นผู้โดยสารคนหนึ่งที่ใช้บริการรถสาธารณะเหมือนกัน
จึงอยากให้ทราบถึงปัญหา และสาเหตุ(บางส่วน) การแก้ปัญหาคือเน้นหลักๆไปที่คนครับ เข้มงวดการคัดเลือก
คนที่จะเข้ามาทำอาชีพนี้และคนที่ ยังทำอยู่
ที่ทำให้แท็กซี่ไม่มีคุณภาพดั่งที่ควรจะเป็นครับ
หรือถ้าสิ่งที่ผมกล่าวมานั้นมีการทำอยู่แล้วก็ขอให้ท่านเข้มงวดจริงจังในการทำให้ดีขึ้นไปอีกครับ
ผมก็ได้แค่หวังว่า บ้านเราจะน่าอยู่กว่านี้ ไม่ใช่ประเทศไทยใครก็ได้หรืออะไรก็ได้ง่ายๆ
ปล.ที่ผมเลิกขับเพราะย้ายมาอยู่ทางเหนือครับ ปัญหารถสาธารณะทางเหนือนี้ก็มีปัญหาเหมือนกันไว้จะมาเขียนให้อ่านครับ
ขอบคุณครับ