มันเป็นตัวจอมปลอม พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงดีว่าชั่ว ชั่วว่าดี มีว่าไม่มีไปเสียหมด (หลวงตามหาบัว สอนธรรม)


“...พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี
พรหมโลกมี นิพพานมี เหล่านี้เป็นความถูกต้องแม่นยำ
ไม่มีเคลื่อนคลาดแม้แต่นิดเดียว และมีประจำโลก
มานานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย
เพราะเป็นหลักธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่มาแต่กาลไหน ๆ

สิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจของโลก เฉพาะอย่างยิ่งของชาวพุทธ
ที่นับถือพระพุทธศาสนา ในภาษาของศาสนาท่านเรียกว่า "กิเลส"

คือท่านให้ชื่อว่ากิเลส คือความปิดบังหุ้มห่อจิตใจ
ไม่ให้มองเห็นความจริงทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วเหล่านี้
สิ่งที่ผลักดันให้ทำ ให้พอใจทำ ให้สนใจทำ ให้ทำด้วยความจริงจังภายในจิตใจนั้น
คืองานของกิเลสที่บงการออกมาจากจิตใจ ผลักดันให้ออกมาจากจิตใจ
แล้วให้สัตว์ทั้งหลายเคลื่อนกาย วาจา ใจ ของตนหมุนไปตามมัน
ไม่ให้หมุนไปในทางที่ถูกที่ดี ตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้น
ให้หมุนไปตามความอยากความทะเยอทะยานของตน

สิ่งเหล่านี้ท่านเรียกว่าเป็นภัยต่อจิตใจของเรา
และเป็นภัยต่อธรรมทั้งหลาย
สอนโลกให้รู้สิ่งเหล่านี้ว่าเป็นภัย
เป็นสิ่งที่หลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลกมาเป็นเวลานาน
และปิดบังความจริงที่มีอยู่ทั้งหลายนั้นให้มิดตัว ไม่ให้มองเห็นเลย
ถึงกับไม่เชื่อสิ่งเหล่านั้นว่ามี

ดังที่กล่าวสักครู่นี้ว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลก นิพพานมี
นี้คือความจริงล้วน ๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ก็ตรัสรู้ความจริง
รู้เห็นสิ่งเหล่านี้เหมือนกันหมด นำมาแสดงแก่โลกเป็นแบบเดียวกันหมด
แต่กิเลสมันก็เป็นประเภทเดียวกัน นับแต่โคตรแซ่ของกิเลส
ปู่ย่าตายายของกิเลส มากัปไหนกาลใดก็ตาม มันเป็นตัวจอมปลอม
พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงดีว่าชั่ว ชั่วว่าดี มีว่าไม่มีไปเสียหมด


อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ว่าบาปมี
กิเลสมันก็บอกว่าบาปไม่มี
ทำให้สัตว์ทั้งหลายกล้าหาญในการทำบาป
และพอใจในการทำบาปโดยไม่ขยะแขยง
ไม่มีหิริโอตตัปปะประจำใจเลย

นี่เพราะกิเลสมันเสี้ยมสอนอยู่ภายในจิตใจ
ทั้ง ๆ ที่มันเป็นบาปมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว สำหรับผู้ทำบาป
ผู้ทำบุญก็เคยเป็นบุญมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว
ตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
กิเลสมันก็ลบล้างว่า ทำบาปไม่ได้บาป ทำบุญไม่ได้บุญ
นรก สวรรค์ พรหมโลก ไม่มี

สิ่งที่มีก็คือที่มันกดดันอยู่เวลานั้น ให้ทำตามความต้องการของมัน
ความต้องการของมัน จึงกลายมาเป็นความต้องการของเรา
เราอยากอะไรคือกิเลสพาให้อยาก มันไม่ให้ทราบว่าตัวมันพาให้อยาก
มันก็จับยัดเข้ามาหาตัวของเราว่าเราเป็นผู้อยาก

เมื่อเราเป็นผู้อยาก อยากทำอะไรก็ไม่คำนึงว่า
อะไรที่เป็นพิษเป็นภัยหนุนหลังอยู่เวลานั้น ก็ไม่คำนึง ไม่รู้
กิเลสจับเข้ามามัดไว้กับตัวของเราเอง
กลายเป็นเราอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ราคะตัณหาเหล่านี้ จึงกลายมาเป็นเราเสียทั้งหมด ไม่มีพิษมีภัยอะไร
เพราะตัวเราเองย่อมถือว่าเป็นเราสงวนเรา เราต้องการทำสิ่งใดก็ทำตาม
ความอยากของเรา ๆ นี้ละทำให้สัตว์ทั้งหลายลืมเนื้อลืมตัวลืมบุญลืมบาป
ไม่อยากทำในสิ่งที่เป็นธรรม อยากทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นธรรม
แล้วก็นำความทุกข์เข้ามาพัวพันตนเอง

พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตาสัตวโลกอย่างมากมาย
ไม่มีอะไรเกินพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ที่ตรัสรู้ขึ้นมา
ก็เพราะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายนี้มืดบอดที่สุด
ตา หู จมูก ลิ้น กายมีก็กลายเป็นเครื่องมือเป็นหุ่นของกิเลสเสียทั้งมวล
ไม่ได้เป็นเครื่องมือของอรรถของธรรม
จึงลำบากแก่การแนะนำสั่งสอน และลำบากแก่การจะปฏิบัติตาม
นอกจากไม่ลำบากในการเชื่อกิเลสและทำตามกิเลสเท่านั้น
เป็นทางเดินอันโล่งของมันตลอดมา จึงไม่ให้สัตว์ทั้งหลายรู้ดีรู้ชั่วรู้บุญรู้บาป
รู้แต่ความอยากความทะเยอทะยาน หมุนไปตามความอยากความทะเยอทะยาน

ครั้นตายไปแล้วก็ไปเกิดในสถานที่ไม่ดี ที่ไม่พึงหวังนั่นแล
เพราะกิเลสไม่เคยพาใครไปสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน
นอกจากหนุนให้ลงทางต่ำ คือความทุกข์ความทรมาน
ตกนรกหมกไหม้ เป็นเปรต เป็นผี

ครั้นฟื้นตัวขึ้นมาได้มันก็พาหมุนไปทางเดิม
ให้เกิดแก่เจ็บตายตกนรกอเวจีอยู่ตามเดิม อย่างนี้เรื่อยมา
ไม่มีวันที่มันจะปล่อยวางให้เราทั้งหลายรู้เนื้อรู้ตัวว่า มันเป็นพิษเป็นภัย
แล้วปลีกตัวหรือสลัดตัวให้ห่างไกลจากมันไปได้ นี่จึงเป็นการลำบากมาก
ที่จะแก้ความชั่ว แก้เชื้อแห่งการทำความชั่วภายในจิตใจ คือกิเลสตัวนี้ออกได้
ไม่มีสิ่งใดจะถอดถอนหรือแก้ชำระล้างมันได้ นอกจากธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ที่จะแก้มันได้ และกิเลสนี้กลัวแต่ธรรมอย่างเดียว อย่างอื่นไม่กลัว

นี่พวกเราทั้งหลายก็ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
อันเป็นศาสนาที่เลิศเลอ เป็นผู้รู้แจ้งแทงทะลุทั้งบุญทั้งบาปทุกสิ่งทุกอย่าง
ตลอดวิธีการแก้ไขถอดถอนภพชาติของตนให้หลุดพ้นไปได้
เพราะฉะนั้นจึงขอให้นำธรรมเข้าสู่ใจเป็นที่ยึดที่เกาะ
สติธรรมให้ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่า บาปมี บุญมี ให้ระวังให้ดี
นรกมี สวรรค์มี พรหมโลก นิพพานมี เป็นผู้ที่จะรู้จะเห็นก็คือเรา

สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้ว เป็นปัญหาอยู่กับที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น
ขอให้สร้างใจของเราด้วยธรรมขึ้นด้วยดี สิ่งเหล่านี้จะไม่มีปัญหาอะไร
กับตัวของเราที่รู้แล้วเห็นแล้ว ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านเห็น
ท่านเห็นจริง ๆ

ให้ยึดหลักใจของเราด้วยสติ เช่นไปไหนมาไหนอย่าลืมสติ
ให้ระลึกรู้ตัวว่าบาปมี บุญมี ความเป็นความตายมีกับตัวของเรา
ให้มีใจเป็นหลัก เมื่อใจเป็นหลักกับธรรม เช่นไปไหนนึกพุทโธติดใจอยู่เสมอ
ใครเคยอบรมธรรมบทใด ภาวนาธรรมบทใด ให้ยึดหลักธรรมนั้น ๆ
เข้ามาสู่จิตใจของตนเองยึดเกาะไว้ตลอดไป นี่เรียกว่าผู้ยึดหลักอันถูกต้องดีงาม
จะมีความสงบร่มเย็น จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นที่จิตใจของตนไปเป็นลำดับลำดา
ต่อไปก็พึ่งตนเองได้

สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงเครื่องอาศัยชั่วกาลเวลาที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น
เมื่อชีวิตหาไม่แล้ว สิ่งเหล่านั้นก็พังไป ๆ แต่ใจกับธรรมกับความดีงาม
ที่เราสร้างมานี้ไม่พัง เป็นเราเป็นตัวของเราโดยลำดับลำดา

นี้แลที่จะพาเราไปถึงฝั่งถึงแดนแห่งความดีทั้งหลาย
ตลอดแห่งมรรคผลนิพพาน คือธรรมนี้เป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะของใจ
เป็นลำดับไป อย่าพากันปล่อยวาง”

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
กัณฑ์เทศน์วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๑ ณ วัดธรรมสถิต จ.ระยอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่