การแผ่เมตตา หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Loving Kindness Meditation” หรือ “Compassion Meditation” ถือเป็นดาวดวงใหม่ของศาสตร์สมาธิสำหรับชาวตะวันตก ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายเท่าการเจริญสติ (Mindfulness Meditation) แต่ก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
การแผ่เมตตามุ่งให้เกิดความรู้สึกเมตตา เห็นอกเห็นใจแบบเข้าใจ ทั้งต่อคนที่เรารักและคนที่
ยากจะเข้าใจ
ถ้าคุณอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ให้ฝึกความเมตตา..ถ้าคุณอยากมีความสุข ให้ฝึกความเมตตา (ดาไล ลามะ)
สเตฟาน จี ฮอฟแมน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากภาควิชาวิทยาศาสตร์ใจและสมองแห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน อธิบายว่า “ความเมตตาเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกในพุทธปรัชญาซึ่งสอนเราอย่างมากว่าผู้คนมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไรและอะไรคือวัตถุประสงค์ในการเกิดมาของเรา ความเมตตาเป็นแนวคิดพื้นฐานของรากพุทธปรัชญา ..หากชีวิตเป็นทุกข์และเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เราจำเป็นต้องยอมรับมันและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่มีความทุกข์เช่นกัน สิ่งนี้จะทำให้เราใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้น”
สเตฟาน จี ฮอฟแมน
ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยบอสตัน
การแผ่เมตตา เป็นมากกว่า การปฏิบัติที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดี...เพราะการแผ่เมตตาทำให้ มีการพัฒนาด้านอารมณ์ มีความเสียสละมากขึ้น โกรธน้อยลง ความเครียดและความฟุ้งซ่านลดลง
ยิ้มและให้อภัย เป็นเพียงทางเดียวของการใช้ชีวิต
อมูลงานวิจัยนานาชาติเรื่องการแผ่เมตตา
1. งานวิจัยจาก VA Puget Sound Health Care System ในซีแอทเทิล เมื่อพ.ศ.2556 พบว่า การแผ่เมตตาเป็นเวลา12สัปดาห์ช่วยลดความเครียดที่เกิดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจรุนแรงหรือโรคPTSD ของทหารผ่านศึก
2. งานวิจัยจาก ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยดุ๊ก เมื่อพ.ศ.2548 พบว่า การแผ่เมตตาเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ช่วยลดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทางจิตใจในผู้ป่วยที่ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง
3. งานวิจัยจากบราซิล เมื่อพ.ศ.2558 พบว่า การฝึกโยคะควบคู่ไปกับการแผ่เมตตา3ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 8สัปดาห์ ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ความมีชีวิตชีวา การใส่ใจดูแลและความเมตตาตนเองในญาติที่ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์
4. งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน เมื่อพ.ศ.2551พบว่า การแผ่เมตตาอาจช่วยจัดระบบไฟฟ้าในสมอง โดยมีการสแกนสมองด้วยวิธีMRI พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของวงจรสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึก รวมถึงความเห็นอกเห็นใจ ในคนที่ฝึกแผ่เมตตามามาก
ฮอฟแมนระบุว่า การแผ่เมตตานั้นค่อนข้างแตกต่างจากการทำสมาธิแบบอื่น การเจริญสติส่งเสริมให้คนจดจ่อกับลมหายใจเพื่อพัฒนาความรู้ตัวในปัจจุบันขณะ และปล่อยความคิดให้ผ่านไปโดยไม่ตัดสินหรือปรุงแต่ง
แต่การแผ่เมตตานั้นให้คนใส่ใจกับบางอย่าง มากกว่าปล่อยใจให้ล่องลอยไป อาจเป็นการภาวนาคำที่สื่อถึงความรักความเมตตา เพื่อปรับอารมณ์จากการตัดสินผู้อื่นหรือความไม่ชอบใจ ให้กลายเป็นความรักความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจผู้อื่น
แต่กระนั้นการเจริญสตินั้นจำเป็นสำหรับการแผ่เมตตา ดร .ชาร์ล ไรสัน จิตแพทย์และศาสตราจารย์จากคณะมนุษยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน แนะนำว่า การนั่งสมาธิเจริญสตินั้นต้องทำมาก่อนการแผ่เมตตา ใจต้องนิ่ง มั่นคง จึงจะเกิดประโยชน์จากการทำวิธีอื่นต่อไป... นึกถึงคนที่เป็นทุกข์ นึกเห็นอกเห็นใจ เข้าใจเขา เพื่อสร้างและส่งความเมตตาไปถึงคนนั้น
ดร .ชาร์ล ไรสัน จิตแพทย์และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน
เหตุผลที่ซ่อนอยู่คือ “ สัตวโลกล้วนอยู่บนเรือลำเดียวกัน เราทั้งหมดล้วนอยากมีความสุข เป้าหมายภาพใหญ่ของการแผ่เมตตาคือพัฒนาความรู้สึกที่ลึกซึ้งของความเป็นญาติและความเกี่ยวเนื่องกับคนนั้น”
ฮอฟแมนแนะนำว่า การทำเช่นนี้ คุณจะต้องนั่งเงียบๆ หายใจอย่างนุ่มนวล และภาวนาถ้อยคำที่สร้างความรู้สึกที่ปรารถนาดี เช่น “ ขอให้ ..(ระบุชื่อ).. พ้นจากความทุกข์กายทุกข์ใจด้วยเทอญ” และไรสันกล่าวว่า จะช่วยได้ดีหากเริ่มกับคนที่คุณชอบ แล้วค่อยแผ่เมตตาให้คนที่คุณมีความคับข้องใจ
ส่วนการแผ่เมตตาให้ตนเอง เป้าหมายคือ บ่มเพาะ ปลูกฝัง พัฒนา ความเมตตา ความเข้าใจและเห็นใจตนเอง เพื่อเตือนความทรงจำว่าอารมณ์และความคิดในทางลบนั้นเป็นอันตรายต่อคุณ
ผู้เชี่ยวชาญอย่าง คริสติน เนฟ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งภาควิชาจิตวิทยาการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส-ออสติน เชื่อว่า การแผ่เมตตาให้ตนเองเป็นส่วนประกอบสำคัญของความเท่าเทียม “ ถ้าคุณให้ความเมตตาคนอื่น และไม่ให้ความเมตตาตนเอง คุณจะเกิดอาการเบิร์นเอ๊าท์ คือเหนื่อยทั้งกายและใจ” เนฟ นักเขียนหนังสือเรื่อง “เมตตากรุณาต่อตนเอง: พลังแห่งความใจดีต่อตนเองที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว” ... “ การมีเมตตาต่อทั้งตนเองและผู้อื่น เป็นองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ เป็นการมีสัมพันธภาพต่อผู้อื่นที่เราล้วนมีอยู่ร่วมกัน ...
เช่นเดียวกับการฝึกสมาธิแบบอื่นๆ การแผ่เมตตาก็เป็นการปฏิบัติสมาธิอย่างหนึ่ง ไรสันกล่าวว่า “ การฝึกสมาธิเหล่านี้ ก็เหมือนการออกกำลังกาย ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วมที่กระตือรือร้นและวินัย และสิ่งเหล่านี้ไม่ง่าย” เป็นการฝึกจิตใจให้อยู่เหนือความคิดและบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจและสัมพันธภาพต่อคนอื่น
ที่มา:
http://health.usnews.com/wellness/articles/2016-03-23/the-surprising-benefits-of-compassion-meditation
http://cheerfulpeace.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
แผ่เมตตาวนไป...ให้ใสเจี๊ยบ (การแผ่เมตตาเป็นดาวดวงใหม่ของศาสตร์สมาธิสำหรับชาวตะวันตก)
การแผ่เมตตามุ่งให้เกิดความรู้สึกเมตตา เห็นอกเห็นใจแบบเข้าใจ ทั้งต่อคนที่เรารักและคนที่
ยากจะเข้าใจ
ถ้าคุณอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ให้ฝึกความเมตตา..ถ้าคุณอยากมีความสุข ให้ฝึกความเมตตา (ดาไล ลามะ)
สเตฟาน จี ฮอฟแมน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากภาควิชาวิทยาศาสตร์ใจและสมองแห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน อธิบายว่า “ความเมตตาเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกในพุทธปรัชญาซึ่งสอนเราอย่างมากว่าผู้คนมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไรและอะไรคือวัตถุประสงค์ในการเกิดมาของเรา ความเมตตาเป็นแนวคิดพื้นฐานของรากพุทธปรัชญา ..หากชีวิตเป็นทุกข์และเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เราจำเป็นต้องยอมรับมันและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่มีความทุกข์เช่นกัน สิ่งนี้จะทำให้เราใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้น”
สเตฟาน จี ฮอฟแมน
ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยบอสตัน
การแผ่เมตตา เป็นมากกว่า การปฏิบัติที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดี...เพราะการแผ่เมตตาทำให้ มีการพัฒนาด้านอารมณ์ มีความเสียสละมากขึ้น โกรธน้อยลง ความเครียดและความฟุ้งซ่านลดลง
ยิ้มและให้อภัย เป็นเพียงทางเดียวของการใช้ชีวิต
อมูลงานวิจัยนานาชาติเรื่องการแผ่เมตตา
1. งานวิจัยจาก VA Puget Sound Health Care System ในซีแอทเทิล เมื่อพ.ศ.2556 พบว่า การแผ่เมตตาเป็นเวลา12สัปดาห์ช่วยลดความเครียดที่เกิดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจรุนแรงหรือโรคPTSD ของทหารผ่านศึก
2. งานวิจัยจาก ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยดุ๊ก เมื่อพ.ศ.2548 พบว่า การแผ่เมตตาเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ช่วยลดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทางจิตใจในผู้ป่วยที่ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง
3. งานวิจัยจากบราซิล เมื่อพ.ศ.2558 พบว่า การฝึกโยคะควบคู่ไปกับการแผ่เมตตา3ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 8สัปดาห์ ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ความมีชีวิตชีวา การใส่ใจดูแลและความเมตตาตนเองในญาติที่ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์
4. งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน เมื่อพ.ศ.2551พบว่า การแผ่เมตตาอาจช่วยจัดระบบไฟฟ้าในสมอง โดยมีการสแกนสมองด้วยวิธีMRI พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของวงจรสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึก รวมถึงความเห็นอกเห็นใจ ในคนที่ฝึกแผ่เมตตามามาก
ฮอฟแมนระบุว่า การแผ่เมตตานั้นค่อนข้างแตกต่างจากการทำสมาธิแบบอื่น การเจริญสติส่งเสริมให้คนจดจ่อกับลมหายใจเพื่อพัฒนาความรู้ตัวในปัจจุบันขณะ และปล่อยความคิดให้ผ่านไปโดยไม่ตัดสินหรือปรุงแต่ง
แต่การแผ่เมตตานั้นให้คนใส่ใจกับบางอย่าง มากกว่าปล่อยใจให้ล่องลอยไป อาจเป็นการภาวนาคำที่สื่อถึงความรักความเมตตา เพื่อปรับอารมณ์จากการตัดสินผู้อื่นหรือความไม่ชอบใจ ให้กลายเป็นความรักความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจผู้อื่น
แต่กระนั้นการเจริญสตินั้นจำเป็นสำหรับการแผ่เมตตา ดร .ชาร์ล ไรสัน จิตแพทย์และศาสตราจารย์จากคณะมนุษยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน แนะนำว่า การนั่งสมาธิเจริญสตินั้นต้องทำมาก่อนการแผ่เมตตา ใจต้องนิ่ง มั่นคง จึงจะเกิดประโยชน์จากการทำวิธีอื่นต่อไป... นึกถึงคนที่เป็นทุกข์ นึกเห็นอกเห็นใจ เข้าใจเขา เพื่อสร้างและส่งความเมตตาไปถึงคนนั้น
ดร .ชาร์ล ไรสัน จิตแพทย์และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน
เหตุผลที่ซ่อนอยู่คือ “ สัตวโลกล้วนอยู่บนเรือลำเดียวกัน เราทั้งหมดล้วนอยากมีความสุข เป้าหมายภาพใหญ่ของการแผ่เมตตาคือพัฒนาความรู้สึกที่ลึกซึ้งของความเป็นญาติและความเกี่ยวเนื่องกับคนนั้น”
ฮอฟแมนแนะนำว่า การทำเช่นนี้ คุณจะต้องนั่งเงียบๆ หายใจอย่างนุ่มนวล และภาวนาถ้อยคำที่สร้างความรู้สึกที่ปรารถนาดี เช่น “ ขอให้ ..(ระบุชื่อ).. พ้นจากความทุกข์กายทุกข์ใจด้วยเทอญ” และไรสันกล่าวว่า จะช่วยได้ดีหากเริ่มกับคนที่คุณชอบ แล้วค่อยแผ่เมตตาให้คนที่คุณมีความคับข้องใจ
ส่วนการแผ่เมตตาให้ตนเอง เป้าหมายคือ บ่มเพาะ ปลูกฝัง พัฒนา ความเมตตา ความเข้าใจและเห็นใจตนเอง เพื่อเตือนความทรงจำว่าอารมณ์และความคิดในทางลบนั้นเป็นอันตรายต่อคุณ
ผู้เชี่ยวชาญอย่าง คริสติน เนฟ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งภาควิชาจิตวิทยาการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส-ออสติน เชื่อว่า การแผ่เมตตาให้ตนเองเป็นส่วนประกอบสำคัญของความเท่าเทียม “ ถ้าคุณให้ความเมตตาคนอื่น และไม่ให้ความเมตตาตนเอง คุณจะเกิดอาการเบิร์นเอ๊าท์ คือเหนื่อยทั้งกายและใจ” เนฟ นักเขียนหนังสือเรื่อง “เมตตากรุณาต่อตนเอง: พลังแห่งความใจดีต่อตนเองที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว” ... “ การมีเมตตาต่อทั้งตนเองและผู้อื่น เป็นองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ เป็นการมีสัมพันธภาพต่อผู้อื่นที่เราล้วนมีอยู่ร่วมกัน ...
เช่นเดียวกับการฝึกสมาธิแบบอื่นๆ การแผ่เมตตาก็เป็นการปฏิบัติสมาธิอย่างหนึ่ง ไรสันกล่าวว่า “ การฝึกสมาธิเหล่านี้ ก็เหมือนการออกกำลังกาย ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วมที่กระตือรือร้นและวินัย และสิ่งเหล่านี้ไม่ง่าย” เป็นการฝึกจิตใจให้อยู่เหนือความคิดและบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจและสัมพันธภาพต่อคนอื่น
ที่มา: http://health.usnews.com/wellness/articles/2016-03-23/the-surprising-benefits-of-compassion-meditation
http://cheerfulpeace.blogspot.com/2017/04/blog-post.html