ฟรานเชสโก เปตราก
ชีวิต
ครอบครัว และวัยเยาว์
ฟรานเชสโก เปตรากเป็นบุตรชายของ เปตรากโก( Petracco ) ผู้ซึ่งเป็นสหายของ ดานเต้ อาลิกิเอรี( Dante Alighieri ) และเป็นทนายความอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์.
พ่อของเขานั้นถูกบีบบังคับให้ต้องย้ายออกจากเมืองเนื่องจากพ่ายแพ้สงความทางการเมืองให้กับพวก black guelphs( ITA : guelfi neri ) โดยได้หลบหนีไปยังเมือง อาเรซโซ่( Arezzo ) อิตาลี ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเกิดในปี ค.ศ. 1304.
อาเรซโซ่, ทอสคาน่า, อิตาลี
การโยกย้ายไปยังอาวิญง และการศึกษาเล่าเรียน
ถัดมาอีกไม่นานเปตรากและครอบครัวได้ย้ายไปยังเมือง อาวิญง( Avignon ) ในฝรั่งเศส ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก.
เมื่ออายุได้ 12 ปี เปตรากถูกส่งไปยังเมืองมงเปอลีเย( Montpellier ) เพื่อศึกษาด้านกฏหมาย ; ที่นี่เปตรากได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการตายของมารดา และได้ระบายความเจ็บปวดของเขาผ่านลงบนบทกวีซึ่งเป็นงานชิ้นแรกๆของเขาที่ถูกเขียนในภาษาละติน.
ในปี ค.ศ. 1320 เดินทางกลับมายังอิตาลีเพื่อสานต่อการศึกษาวิชากฏหมาย ณ มหาวิทยาลัยแห่งโบโลญา( l'università di Bologna ), และถึงแม้ว่าจะกำลังศึกษาด้านกฏหมายอยู่แต่เปตรากก็ยังคงให้ความสนใจกับวิชาคลาสสิกละตินมากกว่า.
หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดาในปี ค.ศ. 1326 เปตรากได้ละทิ้งการศึกษาที่มหาวิทยาลัย และกลับไปยังอาวิญงด้วยความหวังที่จะได้ทำงานในวังของพระสันตะปาปาในขณะนั้น.
ที่ประทับของพระสันตะปาปา ณ อาวิญง
ครอบครัวโคโลนนา และการพบกับลอร่า
เมื่อกลับจากอาวิญงก็ได้เข้ารับใช้ครอบครัวโคโลนนา( Colonna ) และได้พบกับ ลอร่า( Laura ) เป็นครั้งแรก ซึ่งนักกวีหนุ่มก็ตกหลุมรักเธอโดยทันที( นักประวัติศาสตร์บางท่านให้ความเห็นว่าลอร่านั้น
อาจจะไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ ).
เปตรากใช้รับใช้ครอบครัวโคโลนนาจนถึง ค.ศ. 1347 เมื่อความสัมพันธ์ได้ขาดลงเนื่องจากความสนใจในการเคลื่อนไหวของนักพิทักษ์สิทธิประชาชน
โคล่า ดิ ริเอนโซ่( Cola di Rienzo ).
เขาได้ใช้ชีวิต ณ อาวิญง โดยใช้ชีวิตส่วนมากไปกับความสุขทางโลก(เงินทอง และ ผู้หญิง) และในปี ค.ศ. 1337 และ 1343 เปตรากได้กลายเป็นพ่อของ โจวานนี( Giovanni ) และ ฟรานเชสกา( Francesca )ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดากัน.
ลอร่า และ เปตราก
ช่วงเวลาแห่งการเดินทาง และวิกฤตทางศีลธรรม
ในปี ค.ศ. 1333 เปตรากได้เริ่มต้นการเดินทางของเขาโดยสิ้นสุดที่โรม, ระหว่างทางเขาได้เป็นประเด็นเรื่องวิกฤตทางศีลธรรม.
เมื่อมีอายุได้ประมาณ 30 ปี เปตรากได้เริ่มที่จะรวบรวมบทกวีชุดแรกที่เขาเคยเขียนเอาไว้ ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นชนวนหลักของผลงานชิ้นเอกของเขา Il Canzoniere.
ส่วนหนึ่งจาก Il Canzoniere ของเปตราก
ชีวิตสันโดษ ณ วอคลูเซอ
หลังจากผ่านพ้นวิกฤตทางศีลธรรมมาได้ เปตรากรู้สึกถึงความต้องการของชีวิตที่เงียบสงบกว่าเดิมและมีความสันโดษมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงย้ายไปยัง
วอคลูเซอ( Vaucluse ) ; ที่นี่เปตรากได้เริ่มเขียน Il De viris illustribus และ L'Africa โดยบทประพันธ์ทั้งสองชิ้นนี้ได้ถูกเขียนขึ้นในภาษาละติน.
วอคลูเซอ, อาวิญง, ฝรั่งเศส
พิธีมอบมงกุฏสำหรับนักกวี
ในปี ค.ศ. 1340 เปตรากได้รับการเชิญจากทั้งปารีสและโรมเพื่อเข้าพีธีรับมงกุฏสำหรับนักกวีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น : เขาเลือกที่จะไปตามคำขอของกรุงโรม จากนั้นได้เดินทางไปยังนาโปลี( Napoli ) และอยู่ภายใต้การคุ้มครองของโรเบิร์ต, กษัตริย์แห่งนาโปลี( Robert of Anjou ).
เมื่อได้ทำการทดสอบคุณสมบัตฺผ่านเรียบร้อยแล้ว เปตรากก็ได้เดินทางไปยัง คัมปิโดโญ( Campidoglio ) เพื่อเข้ารับพิธีมอบมงกุฏ.
คัมปิโดโญ, ลาซิโอ, อิตาลี
วิกฤตทางศาสนา, ความชอบทางการเมือง และ การจากไปของลอร่า
ณ อวิญง หลังจากปี ค.ศ. 1342 วิกฤตทางศาสนาได้เข้าทาทรมานจิตใจของเปตรากเป็นอย่างมาก.
ความขัดแย้งภายในตัวของเขาได้กลายเป็นปัญหาเรื้องรังเพิ่มเข้าไปอีกในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาดไปทั่วยุโรป : ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท หรือคนรู้จัก แต่แม้กระทั่งลอร่าก็ได้พบกับจุดจบของตนเองจากโรคระบาด.
หลังจากปี ค.ศ. 1348 ได้เดินทางกลับไปยังวอคลูเซอ เพื่อให้ชีวิตแบบสันโดษ และช่วงนี้เปตรากยังได้เขียนบทประพันธ์มาอีก 3 ชิ้นด้วยกันโดยทั้งสามชิ้นนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของจิตวิญญานทางศาสนาคริสต์ : Il Segretum, Il De vita solitaria และ Il De otio religioso.
ความสนใจในนักพิทักษ์สิทธิของประชาชน, โคล่า ดิ ริเอนโซ่, ได้นำพาเขาไปถึงกรุงโรม แต่ในภายหลังความล้มเหลว ของโคล่า ดิ ริเอนโซ่ส่งผลให้ความฝันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของเปตรากต้องหยุดชะงักลง.
อีกไม่กี่ปีต่อมาเขาได้เริ่มเดินทางไปยังเมืองต่างๆของอิตาลีทางภาคเหนือ และได้รับการให้ที่พักอาศัยโดยลอร์ดของแต่ละเมือง.
ในปี ค.ศ. 1350 ได้เดินทางไปยังโรม จากนั้นก็ได้ย้ายไปฟลอเรซ์โดยที่นี่เขาได้พบกับ โจวานนี โบคัชโช่( Giovanni Boccaccio ) และหลังจากนั้นได้ไปสิ้นสุดที่ปาโดวา( Padova ).
ที่ปาโดวา โบคัชโช่ ได้มอบเอกสารสำหรับอำนาจทางการเมืองของฟลอเรซ์ให้กับเปตราก แต่ทว่าเปตรากนั้นได้บอกปัดข้อเสนอ และกลับไปยังวอคลูเซอ และเขาก็ได้เริ่มเขียน I Trionfi ที่เมืองนี้.
เขาได้ใช้ชีวิตอยู้ที่นี่ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1353 พระสันตะปาปา อินโนเซนท์ที่ 6( Pope Innocent VI ) ได้เชิญเปตรากกลับมายังอีตาลี.
โรคระบาดในยุโรปซึ่งคร่าชีวิตประชาการจำนวนมาก
รูปปั้นของ โคล่า ดิ ริเอนโซ่
โจวานนี่ โบคัชโช่ หนึ่งในกวีเอกชาวอิตาเลียน
บั้นปลายชีวิตในอิตาลี
หลังจากกลับมาจากวอคลูเซอ เปตรากได้ใช้ชีวิตอยู่ที่มิลาน ในวังของพวกวิสคอนติ( Visconti ) ซึ่งเป็นศัตรูกับฟอลเรนซ์ในขณะนั้น.
ระหว่างนั้นเปตรากได้รับตั้งยศเสมือนกับทูตและถูกส่งไปยังหลายเมืองในอิตาลีและยุโรป, ขณะอยู่ที่มิลานเขาได้เริ่มเขียน Il De remediis utriusque fortunae และสานต่องานชิ้นเอกของเขา Il Canzoniere.
ในปี ค.ศ. 1361 สืบเนื่องมากจากโรคระบาดทั่วยุโรป เปตรากจึงได้ย้ายไปยังปาโดวา และถัดมาก็ได้ย้ายที่พักอาศัยไปยังเวนิสโดยได้รับที่พักเป็นค่าตอบแทนมาจากการจัดสร้างห้องสมุดให้กับเมือง.
อีก 6 ปีต่อมาเขาได้เดินทางกลับไปยังปาโดวาโดยที่นี่เขาได้ใช้ช่วงสุดท้ายในชีวิต ณ เมือง อาร์ควา( Arquà ) โดยได้รับการบริจาคที่ดินจากผู้คนละแวกนั้นและเขาก็ได้สร้างหมู่บ้านเล็กๆขึ้นมา( ทุกวันนี้หมู่บ้านนั้นชื่อ Arquà Petrarca ).
ที่อาร์ควาเปตรากได้ใช้ชีวิตบั้นปลายของเขาพร้อมกับลูกสาวจนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อมีอายุได้ 70 ปี ในคืนวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1374
หมู่บ้าน อาร์ควา เปตราก
บุคคลิกภาพ
ชายผู้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เปตรากนั้นมีบุคคลิกที่ขัดแย้งกันนั่นก็เพราะว่า ถึงแม้ว่าเขาลุ่มหลงในสิ่งของทางโลกเช่นความมีสง่าราศีของผลงานตน และกิเลสอย่างเช่นความรักที่มีต่อลอร่า แต่จิตวิญญานของเขาก็ยังโหยหาความบริสุทธิ์ในทางศาสนาเช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วเปตรากไม่เจอจุดสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้.
ส่วนตัวเขาเองนั้น, ใน Segretum, ก็ได้ยอมรับว่าความอ่อนแอของเขานั้นมันไม่ต่างจากเชื้อโรคซึ่งเขาได้เปรียบเทียบกับหนึ่งในบาปเจ็ดประการของศาสนาคริต์นั่นคือ"ความเกียจคร้าน"
ชีวิตในสังคม
สำหรับเปตรากนั้นมันไม่มีกำแพงกั้นระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตในสังคม มากไปกว่านั้นระหว่างการเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวรางวัลทางด้านวรรณกรรม เขายังสามารถที่จะจดจ่ออยู่กับผลงานของเขาได้เช่นเดียวกัน.
ในขณะที่ดานเต้นั้นมองตนเองเป็นเหมือนกับพลเมืองของฟลอเรนซ์เท่านั้น, เปตรากไม่มีความรู้สึกที่การเป็นพลเมืองของที่ใด เขาย้ายจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองโดยที่ไม่เคยคิดจะหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งเลย.
ดานเต้เมื่อถูกขับไล่ออกจากฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1301
การก่อตัวทางความคิด
การก้าวเข้าสู่อาชีพนักวรรณคดี
ในช่วงวัยรุ่น เปตรากนั้นได้ให้ความสนใจในวิชาภาษาละตินและวิชาคลาสสิกเป็นอย่างมากโดยได้รับการแนะนำโดยศาสตร์ตราจารของเขา,
คอนเวเนโวเล ดา ปราโต( Convenevole da Prato ).
บิดาของเปตรากนั้นอยากให้เขาศึกษาทางด้านกฏหมาย แต่หลังจากการเสียชีวิตของบิดาเปตรากก็ได้ละทิ้งการเรียนทั้งหมดและทุ่มเทให้กับวรรณกรรมเพียงอย่างเดียว.
คอนเวเนโวเล ดา ปราโต
นักวรรณคดีที่ชื่นชอบ
นักเขียนต้นแบบของเปตรากนั้นคือ เวอร์จิล( Virgil ) สำหรับบทกวีของเขา และชิเชโร( Cicero )สำหรับบทความของเขา.
นอกจากนั้นยังมีลิวี่( Livy ) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของจักวรรดิโรมันด้วย.
ในผลงานของเขา, Segretum, นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป( Augustine of Hippo )ยังได้เขามามีบทบาทสำคัญในการโต้แย้งทางศีลธรรมและการค้นหาความจริงกับเขาด้วย.
นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป
ป.ล. หากมีข้อมูลตรงไหนที่ผิดพลาดหรือการใช้คำที่ไม่ถูกต้องรบกวนชี้แจงด้วยนะครับ
ฟรานเชสโก เปตรากา (Francesco Petrarca)
ชีวิต
ครอบครัว และวัยเยาว์
ฟรานเชสโก เปตรากเป็นบุตรชายของ เปตรากโก( Petracco ) ผู้ซึ่งเป็นสหายของ ดานเต้ อาลิกิเอรี( Dante Alighieri ) และเป็นทนายความอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์.
พ่อของเขานั้นถูกบีบบังคับให้ต้องย้ายออกจากเมืองเนื่องจากพ่ายแพ้สงความทางการเมืองให้กับพวก black guelphs( ITA : guelfi neri ) โดยได้หลบหนีไปยังเมือง อาเรซโซ่( Arezzo ) อิตาลี ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเกิดในปี ค.ศ. 1304.
การโยกย้ายไปยังอาวิญง และการศึกษาเล่าเรียน
ถัดมาอีกไม่นานเปตรากและครอบครัวได้ย้ายไปยังเมือง อาวิญง( Avignon ) ในฝรั่งเศส ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก.
เมื่ออายุได้ 12 ปี เปตรากถูกส่งไปยังเมืองมงเปอลีเย( Montpellier ) เพื่อศึกษาด้านกฏหมาย ; ที่นี่เปตรากได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการตายของมารดา และได้ระบายความเจ็บปวดของเขาผ่านลงบนบทกวีซึ่งเป็นงานชิ้นแรกๆของเขาที่ถูกเขียนในภาษาละติน.
ในปี ค.ศ. 1320 เดินทางกลับมายังอิตาลีเพื่อสานต่อการศึกษาวิชากฏหมาย ณ มหาวิทยาลัยแห่งโบโลญา( l'università di Bologna ), และถึงแม้ว่าจะกำลังศึกษาด้านกฏหมายอยู่แต่เปตรากก็ยังคงให้ความสนใจกับวิชาคลาสสิกละตินมากกว่า.
หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดาในปี ค.ศ. 1326 เปตรากได้ละทิ้งการศึกษาที่มหาวิทยาลัย และกลับไปยังอาวิญงด้วยความหวังที่จะได้ทำงานในวังของพระสันตะปาปาในขณะนั้น.
ครอบครัวโคโลนนา และการพบกับลอร่า
เมื่อกลับจากอาวิญงก็ได้เข้ารับใช้ครอบครัวโคโลนนา( Colonna ) และได้พบกับ ลอร่า( Laura ) เป็นครั้งแรก ซึ่งนักกวีหนุ่มก็ตกหลุมรักเธอโดยทันที( นักประวัติศาสตร์บางท่านให้ความเห็นว่าลอร่านั้นอาจจะไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ ).
เปตรากใช้รับใช้ครอบครัวโคโลนนาจนถึง ค.ศ. 1347 เมื่อความสัมพันธ์ได้ขาดลงเนื่องจากความสนใจในการเคลื่อนไหวของนักพิทักษ์สิทธิประชาชน
โคล่า ดิ ริเอนโซ่( Cola di Rienzo ).
เขาได้ใช้ชีวิต ณ อาวิญง โดยใช้ชีวิตส่วนมากไปกับความสุขทางโลก(เงินทอง และ ผู้หญิง) และในปี ค.ศ. 1337 และ 1343 เปตรากได้กลายเป็นพ่อของ โจวานนี( Giovanni ) และ ฟรานเชสกา( Francesca )ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดากัน.
ช่วงเวลาแห่งการเดินทาง และวิกฤตทางศีลธรรม
ในปี ค.ศ. 1333 เปตรากได้เริ่มต้นการเดินทางของเขาโดยสิ้นสุดที่โรม, ระหว่างทางเขาได้เป็นประเด็นเรื่องวิกฤตทางศีลธรรม.
เมื่อมีอายุได้ประมาณ 30 ปี เปตรากได้เริ่มที่จะรวบรวมบทกวีชุดแรกที่เขาเคยเขียนเอาไว้ ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นชนวนหลักของผลงานชิ้นเอกของเขา Il Canzoniere.
ชีวิตสันโดษ ณ วอคลูเซอ
หลังจากผ่านพ้นวิกฤตทางศีลธรรมมาได้ เปตรากรู้สึกถึงความต้องการของชีวิตที่เงียบสงบกว่าเดิมและมีความสันโดษมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงย้ายไปยัง
วอคลูเซอ( Vaucluse ) ; ที่นี่เปตรากได้เริ่มเขียน Il De viris illustribus และ L'Africa โดยบทประพันธ์ทั้งสองชิ้นนี้ได้ถูกเขียนขึ้นในภาษาละติน.
พิธีมอบมงกุฏสำหรับนักกวี
ในปี ค.ศ. 1340 เปตรากได้รับการเชิญจากทั้งปารีสและโรมเพื่อเข้าพีธีรับมงกุฏสำหรับนักกวีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น : เขาเลือกที่จะไปตามคำขอของกรุงโรม จากนั้นได้เดินทางไปยังนาโปลี( Napoli ) และอยู่ภายใต้การคุ้มครองของโรเบิร์ต, กษัตริย์แห่งนาโปลี( Robert of Anjou ).
เมื่อได้ทำการทดสอบคุณสมบัตฺผ่านเรียบร้อยแล้ว เปตรากก็ได้เดินทางไปยัง คัมปิโดโญ( Campidoglio ) เพื่อเข้ารับพิธีมอบมงกุฏ.
วิกฤตทางศาสนา, ความชอบทางการเมือง และ การจากไปของลอร่า
ณ อวิญง หลังจากปี ค.ศ. 1342 วิกฤตทางศาสนาได้เข้าทาทรมานจิตใจของเปตรากเป็นอย่างมาก.
ความขัดแย้งภายในตัวของเขาได้กลายเป็นปัญหาเรื้องรังเพิ่มเข้าไปอีกในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาดไปทั่วยุโรป : ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท หรือคนรู้จัก แต่แม้กระทั่งลอร่าก็ได้พบกับจุดจบของตนเองจากโรคระบาด.
หลังจากปี ค.ศ. 1348 ได้เดินทางกลับไปยังวอคลูเซอ เพื่อให้ชีวิตแบบสันโดษ และช่วงนี้เปตรากยังได้เขียนบทประพันธ์มาอีก 3 ชิ้นด้วยกันโดยทั้งสามชิ้นนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของจิตวิญญานทางศาสนาคริสต์ : Il Segretum, Il De vita solitaria และ Il De otio religioso.
ความสนใจในนักพิทักษ์สิทธิของประชาชน, โคล่า ดิ ริเอนโซ่, ได้นำพาเขาไปถึงกรุงโรม แต่ในภายหลังความล้มเหลว ของโคล่า ดิ ริเอนโซ่ส่งผลให้ความฝันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของเปตรากต้องหยุดชะงักลง.
อีกไม่กี่ปีต่อมาเขาได้เริ่มเดินทางไปยังเมืองต่างๆของอิตาลีทางภาคเหนือ และได้รับการให้ที่พักอาศัยโดยลอร์ดของแต่ละเมือง.
ในปี ค.ศ. 1350 ได้เดินทางไปยังโรม จากนั้นก็ได้ย้ายไปฟลอเรซ์โดยที่นี่เขาได้พบกับ โจวานนี โบคัชโช่( Giovanni Boccaccio ) และหลังจากนั้นได้ไปสิ้นสุดที่ปาโดวา( Padova ).
ที่ปาโดวา โบคัชโช่ ได้มอบเอกสารสำหรับอำนาจทางการเมืองของฟลอเรซ์ให้กับเปตราก แต่ทว่าเปตรากนั้นได้บอกปัดข้อเสนอ และกลับไปยังวอคลูเซอ และเขาก็ได้เริ่มเขียน I Trionfi ที่เมืองนี้.
เขาได้ใช้ชีวิตอยู้ที่นี่ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1353 พระสันตะปาปา อินโนเซนท์ที่ 6( Pope Innocent VI ) ได้เชิญเปตรากกลับมายังอีตาลี.
บั้นปลายชีวิตในอิตาลี
หลังจากกลับมาจากวอคลูเซอ เปตรากได้ใช้ชีวิตอยู่ที่มิลาน ในวังของพวกวิสคอนติ( Visconti ) ซึ่งเป็นศัตรูกับฟอลเรนซ์ในขณะนั้น.
ระหว่างนั้นเปตรากได้รับตั้งยศเสมือนกับทูตและถูกส่งไปยังหลายเมืองในอิตาลีและยุโรป, ขณะอยู่ที่มิลานเขาได้เริ่มเขียน Il De remediis utriusque fortunae และสานต่องานชิ้นเอกของเขา Il Canzoniere.
ในปี ค.ศ. 1361 สืบเนื่องมากจากโรคระบาดทั่วยุโรป เปตรากจึงได้ย้ายไปยังปาโดวา และถัดมาก็ได้ย้ายที่พักอาศัยไปยังเวนิสโดยได้รับที่พักเป็นค่าตอบแทนมาจากการจัดสร้างห้องสมุดให้กับเมือง.
อีก 6 ปีต่อมาเขาได้เดินทางกลับไปยังปาโดวาโดยที่นี่เขาได้ใช้ช่วงสุดท้ายในชีวิต ณ เมือง อาร์ควา( Arquà ) โดยได้รับการบริจาคที่ดินจากผู้คนละแวกนั้นและเขาก็ได้สร้างหมู่บ้านเล็กๆขึ้นมา( ทุกวันนี้หมู่บ้านนั้นชื่อ Arquà Petrarca ).
ที่อาร์ควาเปตรากได้ใช้ชีวิตบั้นปลายของเขาพร้อมกับลูกสาวจนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อมีอายุได้ 70 ปี ในคืนวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1374
บุคคลิกภาพ
ชายผู้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เปตรากนั้นมีบุคคลิกที่ขัดแย้งกันนั่นก็เพราะว่า ถึงแม้ว่าเขาลุ่มหลงในสิ่งของทางโลกเช่นความมีสง่าราศีของผลงานตน และกิเลสอย่างเช่นความรักที่มีต่อลอร่า แต่จิตวิญญานของเขาก็ยังโหยหาความบริสุทธิ์ในทางศาสนาเช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วเปตรากไม่เจอจุดสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้.
ส่วนตัวเขาเองนั้น, ใน Segretum, ก็ได้ยอมรับว่าความอ่อนแอของเขานั้นมันไม่ต่างจากเชื้อโรคซึ่งเขาได้เปรียบเทียบกับหนึ่งในบาปเจ็ดประการของศาสนาคริต์นั่นคือ"ความเกียจคร้าน"
ชีวิตในสังคม
สำหรับเปตรากนั้นมันไม่มีกำแพงกั้นระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตในสังคม มากไปกว่านั้นระหว่างการเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวรางวัลทางด้านวรรณกรรม เขายังสามารถที่จะจดจ่ออยู่กับผลงานของเขาได้เช่นเดียวกัน.
ในขณะที่ดานเต้นั้นมองตนเองเป็นเหมือนกับพลเมืองของฟลอเรนซ์เท่านั้น, เปตรากไม่มีความรู้สึกที่การเป็นพลเมืองของที่ใด เขาย้ายจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองโดยที่ไม่เคยคิดจะหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งเลย.
การก่อตัวทางความคิด
การก้าวเข้าสู่อาชีพนักวรรณคดี
ในช่วงวัยรุ่น เปตรากนั้นได้ให้ความสนใจในวิชาภาษาละตินและวิชาคลาสสิกเป็นอย่างมากโดยได้รับการแนะนำโดยศาสตร์ตราจารของเขา,
คอนเวเนโวเล ดา ปราโต( Convenevole da Prato ).
บิดาของเปตรากนั้นอยากให้เขาศึกษาทางด้านกฏหมาย แต่หลังจากการเสียชีวิตของบิดาเปตรากก็ได้ละทิ้งการเรียนทั้งหมดและทุ่มเทให้กับวรรณกรรมเพียงอย่างเดียว.
นักวรรณคดีที่ชื่นชอบ
นักเขียนต้นแบบของเปตรากนั้นคือ เวอร์จิล( Virgil ) สำหรับบทกวีของเขา และชิเชโร( Cicero )สำหรับบทความของเขา.
นอกจากนั้นยังมีลิวี่( Livy ) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของจักวรรดิโรมันด้วย.
ในผลงานของเขา, Segretum, นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป( Augustine of Hippo )ยังได้เขามามีบทบาทสำคัญในการโต้แย้งทางศีลธรรมและการค้นหาความจริงกับเขาด้วย.
ป.ล. หากมีข้อมูลตรงไหนที่ผิดพลาดหรือการใช้คำที่ไม่ถูกต้องรบกวนชี้แจงด้วยนะครับ