ผมจำไม่ได้แล้วว่าอนิเมชั่นเรื่องสุดท้ายที่ดูคือเรื่องอะไร แต่ต้องขอบคุณเพื่อนคนหนึ่ง (Thanakorn Wiriyenawat) ที่แนะนำให้ผมได้พบกับประสบการณ์ที่ "peak" & "hype" ที่หาจากหนังเรื่องอื่นไม่ได้จนต้องกลับมารีวิวตามสัญญากับมัน
คำถามแรกหลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงคือ "ต้องใช้กัญชากี่หลุมกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นมา?" ทั้งเจ้าของไอเดีย โปรดิวเซอร์ ผกก คนเขียนบท ยันไปถึงสตูดิโอที่ให้ทุนสร้าง
หากโนเบลสาขาวรรณกรรมปีล่าสุดยังยกให้บ๊อบ ดีแลน สำหรับผลงานเพลงเพื่อจรรโลงและหาความหมายของมนุษยชาติตลอดการทำงาน 70 ปีของเขา ใครจะรู้ว่าใน 70 ปีหน้า คณะกรรมการโนเบลอาจจะนำหนังเรื่องนี้กลับมาพิจารณาว่ามันสำคัญต่อโลกเราเพียงไร (รึ?)
ผมคงไม่พูดถึงคุณค่าหรือความดีงามของหนังในด้านใดโดยเฉพาะเจาะจง (เพราะมันไม่มี!) แต่เชื่อเถอะว่าหนังเรื่องนี้ใช้คุณค่าของความเป็นอนิเมชั่นได้โคตรคุ้ม ตั้งแต่พล็อตเรื่องไปจน symbolic มากมายตลอดเรื่อง หนังเรื่องนี้จิกกัดทัง เศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง-ประวัติศาสตร์-วัฒนธรรม-วิทยาศาสตร์-ศาสนา-ปรัชญา-เชื้อชาติ-เพศสภาพ-สันดานดิบ-ฯลฯ มันจิกกัดไปไกลถึงตัวของหนังมันเองด้วยซ้ำ ผมยังนึกไม่ออกว่ามีหนังเรื่องใดที่เคยชมมา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีที่สามารถ-ดันแง่มุมเรื่องราวของมวลมนุษย์ได้แทบทุกเรื่องอย่างถึงแก่นขนาดนี้ ยิ่งคุณเป็นคนชอบศึกษาเรื่องต่าง ๆ ของโลกมากเท่าไร คุณจะยิ่งเพลิดเพลินไปกับสารของหนังที่ใส่มาได้สุดขั้วในทุก scene
ผมคงไม่กล่าวสรรเสริญให้ใครที่เกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้ (เพราะผมไม่อยากจำ) และผมรู้ว่ามันต้องเมาอะไรสักอย่างตลอดเวลาการถ่ายทำจนงานนี้จบแน่นอน แต่ที่ทึ่งที่สุดคือ ขาติสต์ตัวพ่ออย่าง Edward Norton มามีส่วนร่วมในตัวละครที่
โคตรจะ-ดันตัวเองของเฮียแกเลย เพราะมันไม่มี(ห่า)อะไรที่จำเป็นต้องใช้เฮียแกเลย และใครก็รู้ว่านอร์ตันเป็นคนที่โคตรจะเลือกงาน แต่นั่นแหล่ะ เพราะเฮียคงรู้ว่างานเรื่องนี้จะเป็นหมุดหลักของศิลปะโลก จึงไม่อยากตกขบวนรถในครั้งนี้
เอาเป็นถ้าคุณมีโอกาสเดินผ่านแผงกระบะวีซีดี ดีวีดี บลูเรย์ แล้วเห็นมันมาลดถูกกว่า 79 บาท จงคว้ามันอย่าลังเล และขอบคุณผู้นำมาวางราวกับเขาเพิ่งให้ตำราความหมายแห่งชีวิตของคุณ เมื่อได้มันมาก็เชิญพ่อแม่ลูกหลานอาองอาม่ามาอยู่หน้าทีวีดูให้พร้อมหน้าเพื่อศึกษาดื่มด่ำไปกับสุนทรียะและเติมเต็มความหมายแห่งชีวิตเทอญ ~เอนมา
10/10 สำหรับอนิเมชั่นที่หาจุดบกพร่องจากความตั้งใจของผู้สร้างไม่ได้และความบ้าสุดขั้วของผู้เกี่ยวข้องทุกคน you're the man! dude
Sausage Party (2016): โคตรหนัง-อภิปรัชญา-กัญชา-ผีบ้า
คำถามแรกหลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงคือ "ต้องใช้กัญชากี่หลุมกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นมา?" ทั้งเจ้าของไอเดีย โปรดิวเซอร์ ผกก คนเขียนบท ยันไปถึงสตูดิโอที่ให้ทุนสร้าง
หากโนเบลสาขาวรรณกรรมปีล่าสุดยังยกให้บ๊อบ ดีแลน สำหรับผลงานเพลงเพื่อจรรโลงและหาความหมายของมนุษยชาติตลอดการทำงาน 70 ปีของเขา ใครจะรู้ว่าใน 70 ปีหน้า คณะกรรมการโนเบลอาจจะนำหนังเรื่องนี้กลับมาพิจารณาว่ามันสำคัญต่อโลกเราเพียงไร (รึ?)
ผมคงไม่พูดถึงคุณค่าหรือความดีงามของหนังในด้านใดโดยเฉพาะเจาะจง (เพราะมันไม่มี!) แต่เชื่อเถอะว่าหนังเรื่องนี้ใช้คุณค่าของความเป็นอนิเมชั่นได้โคตรคุ้ม ตั้งแต่พล็อตเรื่องไปจน symbolic มากมายตลอดเรื่อง หนังเรื่องนี้จิกกัดทัง เศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง-ประวัติศาสตร์-วัฒนธรรม-วิทยาศาสตร์-ศาสนา-ปรัชญา-เชื้อชาติ-เพศสภาพ-สันดานดิบ-ฯลฯ มันจิกกัดไปไกลถึงตัวของหนังมันเองด้วยซ้ำ ผมยังนึกไม่ออกว่ามีหนังเรื่องใดที่เคยชมมา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีที่สามารถ-ดันแง่มุมเรื่องราวของมวลมนุษย์ได้แทบทุกเรื่องอย่างถึงแก่นขนาดนี้ ยิ่งคุณเป็นคนชอบศึกษาเรื่องต่าง ๆ ของโลกมากเท่าไร คุณจะยิ่งเพลิดเพลินไปกับสารของหนังที่ใส่มาได้สุดขั้วในทุก scene
ผมคงไม่กล่าวสรรเสริญให้ใครที่เกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้ (เพราะผมไม่อยากจำ) และผมรู้ว่ามันต้องเมาอะไรสักอย่างตลอดเวลาการถ่ายทำจนงานนี้จบแน่นอน แต่ที่ทึ่งที่สุดคือ ขาติสต์ตัวพ่ออย่าง Edward Norton มามีส่วนร่วมในตัวละครที่
เอาเป็นถ้าคุณมีโอกาสเดินผ่านแผงกระบะวีซีดี ดีวีดี บลูเรย์ แล้วเห็นมันมาลดถูกกว่า 79 บาท จงคว้ามันอย่าลังเล และขอบคุณผู้นำมาวางราวกับเขาเพิ่งให้ตำราความหมายแห่งชีวิตของคุณ เมื่อได้มันมาก็เชิญพ่อแม่ลูกหลานอาองอาม่ามาอยู่หน้าทีวีดูให้พร้อมหน้าเพื่อศึกษาดื่มด่ำไปกับสุนทรียะและเติมเต็มความหมายแห่งชีวิตเทอญ ~เอนมา
10/10 สำหรับอนิเมชั่นที่หาจุดบกพร่องจากความตั้งใจของผู้สร้างไม่ได้และความบ้าสุดขั้วของผู้เกี่ยวข้องทุกคน you're the man! dude