สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
ยินดีด้วยค่ะ ขอแบ่งปันให้เพื่อนสมาชิกในอีกแนวทางนึงบ้าง การมีเงินเดือนได้ขนาดนี้ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะได้มาจากการเปลี่ยนงาน ให้เป็นกำลังใจสำหรับคนที่ยังรักองค์กรที่ทำอยู่ ไม่คิดจะเปลี่ยนงานนะคะ ว่าคุณก็มีเงินแสนได้ก่อน 40 เช่นกัน เรื่องจริงจากลูกน้องดิฉันเอง
ลูกน้องคนที่ 1 - ทำงานมา 5 บริษัท 3 บริษัทแรกออกเพราะบริษัทปิดตัว ได้เงินชดเชยออกมา ที่ใหม่ที่ไปทำในแต่ละที่ได้เงินเดือนดีสุดก็ +5% จากฐานเงินเดือนเดิม ที่เหลือก็น้อยกว่าหรือเท่าเดิม บริษัทที่ 4 ลาออกไปเมื่อปลายปีที่แล้วเพราะงานเริ่มไม่ท้าทาย ได้งานใหม่ที่ท้าทายมากกกกก เงินเดือนเท่าเดิม แต่นางไปค่ะ เงินเดือน 14x,xxx อายุ 40ปี สรุป - ได้เกินแสนก่อน 40 จากการปรับเงินเดือนปกติ การเลื่อนขั้นปกตินี่แหละค่ะ
ลูกน้องคนที่ 2 - ทำงานที่เดียวมา 13 ปีตั้งกะจบ ป.ตรี ลาออกไปเมื่อปีกว่าๆที่แล้ว เงินเดือนก่อนออก 9x,xxx ออกเพราะเบื่อบรรยากาศเดิมๆ อยากไปเจออะไรใหม่ๆบ้าง อยากได้ฟีลลิ่งเปลี่ยนงานบ้าง ได้งานใหม่ตำแหน่งเดิม เงินเดือน +5% เอง ไกลบ้านหนักกว่าเดิม แต่งานท้าทาย บริษัทดี มั่นคง นางก็ไป ตอนนี้เงินเดือน 11x,xxx ในวัย 38 สรุป-ได้มาจากการปรับเงินเดือน เลื่อนขั้น ตามผลงาน
ลูกน้องคนที่ 3 - ทำงานที่แรก 14 ปี ตั้งกะจบ ป.ตรี ลาออกมาเพราะปัญหาส่วนตัว ก่อนออกเงินเดือน 9x,xxx บริษัทใหม่ให้ +7% (อายุ 37) ได้งานใหม่เพราะมี connection ทำมาจนถึงตอนนี้ เงินเดือน 15x,xxx ในวัย 42
ตัวดิฉันเอง - ทำงานที่แรก 3 ปี เริ่ม 13,xxx เงินเดือนสุดท้าย 3x,xxx ที่ที่ 2 ให้ +10% (ปรับตำแหน่งตามประสบการณ์) ทำไปเกือบ 13 ปี ลาออกตอนอายุ 37 เงินเดือนก่อนออก 14x,xxx ไปทำที่ที่ 3 บวกเพิ่มแค่ 5% ทำมา 7 ปี ก่อนออกเงินเดือน 23x,xxx
จะเห็นว่าทั้ง 4 คน เงินเดือนไม่ได้ก้าวกระโดดจากการเปลี่ยนงาน แต่ได้จากการปรับเงินเดือนและตำแหน่งตามผลงานเป็นหลัก สิ่งที่คล้ายๆกันสำหรับทุกคนคือ
1. องค์กรเป็นองค์กรต่างชาติขนาดกลาง-ใหญ่-ใหญ่พิเศษ มีโครงสร้างค่าตอบแทนพนักงานสูงกว่ามาตรฐานนิดหน่อย มีระบบการประเมินผลงาน+ผูกกับการปรับเงินเดือนและตำแหน่งในระดับดีพอสมควร
2. เนื่องจากเป็นองค์กรต่างชาติ ภาษาอังกฤษจำเป็นมาก และทุกคนที่อ้างถึง ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทุกคน โดยฝึกกันในงานนี่แหละ อาศัยความกล้า ช่างสังเกตจดจำ
3. ทุกคนจะมีนิสัยชอบความเปลี่ยนแปลง ชอบอาสาทำอะไรใหม่ๆ ลุยงานจริงจัง รู้ลึกรู้จริงรู้กว้างรู้รอบ มาครบทุกมุมเลย ถึงเวลาต้องทุ่มเทสุดๆก็เต็มที่ มีเวลาพักก็พักซะเต็มที่เหมือนกัน และเพราะชอบความท้าทาย พอโตหน่อยก็อยากหาความท้าทายข้างนอกบ้างแล้วล่ะ 555
4. ไม่เกี่ยงงาน งานอะไรที่ไม่มีเจ้าภาพแล้วมีผลต่องานตัวเอง ทำหมด ไม่ปล่อยผ่าน กลายเป็นคลังความรู้เคลื่อนที่ คนรู้จักเยอะ และชนะใจคนได้เพราะความไม่ดูดายกับงานแบบนี้นี่แหละ
5. กล้าพูด กล้าทำ กล้าออกความคิด กล้านำเสนอ โดยพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ
6. ทำงานเป็นทีม ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมากับข้อมูล ไม่ทิ่มแทงใคร แต่ไม่ยอมใครเช่นกันถ้าคนนั้นจะทำสิ่งไม่ถูกต้อง เวลาไปงัดกะใครมาก็วิ่งโร่มาบอกนายไว้ให้เตรียมรับมือล่วงหน้า
7. พัฒนาศักยภาพ เพิ่มความรู้ ทุกคนเรียนจบ ป.โท MBA ตอนทำงานไปด้วย เอาความรู้ด้านบริหารจัดการมาเสริมในงานได้ดีทีเดียว
ปล. ทุกคนจบ ป.ตรี สายวิศวะมาจากมหาวิทยาลัยภูธร (ของรัฐ)
ประมาณนี้ค่ะ
**เพิ่มเติม**
จากที่คุยกัน ทุกคนรวมทั้งตัวดิฉันเองไม่มีใครตั้งเป้าหมายเรื่องเงินเดือนและตำแหน่งนะคะ แต่จะตั้งเป้าหมายเรื่องงานที่ทำและรับผิดชอบ และทำให้เกินความคาดหมายและสร้างความแตกต่างอยู่เสมอ ดิฉันบอกตัวเองและสอนลูกน้องเสมอว่าทำเหตุให้ดีให้ถูกที่ถูกเวลาและสม่ำเสมอ ก็จะได้รับผลที่ดีเสมอ
ลูกน้องคนที่ 1 - ทำงานมา 5 บริษัท 3 บริษัทแรกออกเพราะบริษัทปิดตัว ได้เงินชดเชยออกมา ที่ใหม่ที่ไปทำในแต่ละที่ได้เงินเดือนดีสุดก็ +5% จากฐานเงินเดือนเดิม ที่เหลือก็น้อยกว่าหรือเท่าเดิม บริษัทที่ 4 ลาออกไปเมื่อปลายปีที่แล้วเพราะงานเริ่มไม่ท้าทาย ได้งานใหม่ที่ท้าทายมากกกกก เงินเดือนเท่าเดิม แต่นางไปค่ะ เงินเดือน 14x,xxx อายุ 40ปี สรุป - ได้เกินแสนก่อน 40 จากการปรับเงินเดือนปกติ การเลื่อนขั้นปกตินี่แหละค่ะ
ลูกน้องคนที่ 2 - ทำงานที่เดียวมา 13 ปีตั้งกะจบ ป.ตรี ลาออกไปเมื่อปีกว่าๆที่แล้ว เงินเดือนก่อนออก 9x,xxx ออกเพราะเบื่อบรรยากาศเดิมๆ อยากไปเจออะไรใหม่ๆบ้าง อยากได้ฟีลลิ่งเปลี่ยนงานบ้าง ได้งานใหม่ตำแหน่งเดิม เงินเดือน +5% เอง ไกลบ้านหนักกว่าเดิม แต่งานท้าทาย บริษัทดี มั่นคง นางก็ไป ตอนนี้เงินเดือน 11x,xxx ในวัย 38 สรุป-ได้มาจากการปรับเงินเดือน เลื่อนขั้น ตามผลงาน
ลูกน้องคนที่ 3 - ทำงานที่แรก 14 ปี ตั้งกะจบ ป.ตรี ลาออกมาเพราะปัญหาส่วนตัว ก่อนออกเงินเดือน 9x,xxx บริษัทใหม่ให้ +7% (อายุ 37) ได้งานใหม่เพราะมี connection ทำมาจนถึงตอนนี้ เงินเดือน 15x,xxx ในวัย 42
ตัวดิฉันเอง - ทำงานที่แรก 3 ปี เริ่ม 13,xxx เงินเดือนสุดท้าย 3x,xxx ที่ที่ 2 ให้ +10% (ปรับตำแหน่งตามประสบการณ์) ทำไปเกือบ 13 ปี ลาออกตอนอายุ 37 เงินเดือนก่อนออก 14x,xxx ไปทำที่ที่ 3 บวกเพิ่มแค่ 5% ทำมา 7 ปี ก่อนออกเงินเดือน 23x,xxx
จะเห็นว่าทั้ง 4 คน เงินเดือนไม่ได้ก้าวกระโดดจากการเปลี่ยนงาน แต่ได้จากการปรับเงินเดือนและตำแหน่งตามผลงานเป็นหลัก สิ่งที่คล้ายๆกันสำหรับทุกคนคือ
1. องค์กรเป็นองค์กรต่างชาติขนาดกลาง-ใหญ่-ใหญ่พิเศษ มีโครงสร้างค่าตอบแทนพนักงานสูงกว่ามาตรฐานนิดหน่อย มีระบบการประเมินผลงาน+ผูกกับการปรับเงินเดือนและตำแหน่งในระดับดีพอสมควร
2. เนื่องจากเป็นองค์กรต่างชาติ ภาษาอังกฤษจำเป็นมาก และทุกคนที่อ้างถึง ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทุกคน โดยฝึกกันในงานนี่แหละ อาศัยความกล้า ช่างสังเกตจดจำ
3. ทุกคนจะมีนิสัยชอบความเปลี่ยนแปลง ชอบอาสาทำอะไรใหม่ๆ ลุยงานจริงจัง รู้ลึกรู้จริงรู้กว้างรู้รอบ มาครบทุกมุมเลย ถึงเวลาต้องทุ่มเทสุดๆก็เต็มที่ มีเวลาพักก็พักซะเต็มที่เหมือนกัน และเพราะชอบความท้าทาย พอโตหน่อยก็อยากหาความท้าทายข้างนอกบ้างแล้วล่ะ 555
4. ไม่เกี่ยงงาน งานอะไรที่ไม่มีเจ้าภาพแล้วมีผลต่องานตัวเอง ทำหมด ไม่ปล่อยผ่าน กลายเป็นคลังความรู้เคลื่อนที่ คนรู้จักเยอะ และชนะใจคนได้เพราะความไม่ดูดายกับงานแบบนี้นี่แหละ
5. กล้าพูด กล้าทำ กล้าออกความคิด กล้านำเสนอ โดยพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ
6. ทำงานเป็นทีม ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมากับข้อมูล ไม่ทิ่มแทงใคร แต่ไม่ยอมใครเช่นกันถ้าคนนั้นจะทำสิ่งไม่ถูกต้อง เวลาไปงัดกะใครมาก็วิ่งโร่มาบอกนายไว้ให้เตรียมรับมือล่วงหน้า
7. พัฒนาศักยภาพ เพิ่มความรู้ ทุกคนเรียนจบ ป.โท MBA ตอนทำงานไปด้วย เอาความรู้ด้านบริหารจัดการมาเสริมในงานได้ดีทีเดียว
ปล. ทุกคนจบ ป.ตรี สายวิศวะมาจากมหาวิทยาลัยภูธร (ของรัฐ)
ประมาณนี้ค่ะ
**เพิ่มเติม**
จากที่คุยกัน ทุกคนรวมทั้งตัวดิฉันเองไม่มีใครตั้งเป้าหมายเรื่องเงินเดือนและตำแหน่งนะคะ แต่จะตั้งเป้าหมายเรื่องงานที่ทำและรับผิดชอบ และทำให้เกินความคาดหมายและสร้างความแตกต่างอยู่เสมอ ดิฉันบอกตัวเองและสอนลูกน้องเสมอว่าทำเหตุให้ดีให้ถูกที่ถูกเวลาและสม่ำเสมอ ก็จะได้รับผลที่ดีเสมอ
แสดงความคิดเห็น
เคยตั้งเป้าว่าอยากได้เงินเดือนเลยแสนก่อนอายุ 40 วันนี้ทำได้แล้ว
ขอเล่าประวัติส่วนตัวนิดนึง ปัจจุบัน อายุ 36 ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง โดยทำงานมา 4 ที่เริ่มทำงานตั้งแต่จบ ป.ตรี เมื่อปี 2546
บริษัทที่ 1
ตอนนั้นเงินเดือนเริ่มต้น 10,000 บาท ทำอยู่ได้ 3 ปี เงินเดือนสุดท้ายที่ออก 15,000 บาท ระหว่างที่ทำเงินเดือนใช้เดือนชนเดือน เนื่องจากมาทำงานในกทม. แม้ว่าในสมัยนั้น (14 ปีก่อน) ข้าวของไม่ได้แพงเท่านี้ แต่ก็แค่พอใช้ ไม่ค่อยเหลือเก็บ แม้ว่าทุกเดือนที่เงินเดือนออกพยายามกันไว้ 1-2 พันแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องกดมาใช้อยู่ดี ระหว่างที่ทำงานสิ่งหนึ่งที่อยากพัฒนาตัวเองคือ ภาษาอังกฤษ เพราะตอนนั้นที่ทำงาน ใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จำได้ว่า Bonus ออกมาประมาณ 50,000 บาท เอาเก็บไว้เรียนภาษาอังกฤษแล้วตั้งใจแบบจริงจัง ทุกๆ เย็นที่กลับบ้านเลิกงานต้องกลับไปนั่งท่องศัพท์ ทบทวนสิ่งที่เรียนตอนเย็น gเรียนอยู่ได้ประมาณ 2 ปี...จึงลาออก เพื่อไปเรียนต่อปริญญาโท
บริษัทที่ 2+3
เรียนจบโทแล้ว จึงเริ่มต้นสมัครงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเริ่มต้นเงินเดือนที่ 30,000 บาท แต่ทำงานที่ธนาคารได้แค่ 6 เดือน รู้สึกว่าไม่ใช่งานที่ถนัด/ชอบเลย ต้องกลับบ้านดึกดื่นตลอด ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเพราะกลับบ้าน 4-5 ทุ่มตลอด เลยตัดสินใจลาออก เพื่อสมัครงานที่ใหม่ (ที่ที่ 3) ได้เงินเดือนน้อยลงกว่าเดิมอยู่ที่ 28,000 บาท แต่ชอบลักษณะงานที่ทำ ที่เงินเดือนลดลงเพราะไม่มีประสบการณ์ตรงด้านนี้มาก่อน แต่บอกผู้สัมภาษณ์ไปว่าคิดว่าทำได้ จึงได้งานที่นี่
ระหว่างทำที่ที่ 3 (ซึ่งทำทั้งหมด 5 ปี) รู้สึกชอบบรรยากาศ เพื่อนร่วมงาน Office อยู่แนวชานเมือง เดินทางสะดวก รวมไปถึงเนื้องานที่ทำ เงินเดือนก็ปรับทุกปีๆ ละ 7-8% จนเข้าสู่ปีที่ 3 ของได้ Promote เงินเดือนจึงเพิ่มเป็น 40,000 บาท แล้วก็ทำไปอีก 2 ปี เงินเดือนสุดท้ายก่อนออกประมาณ 45,000 บาท
จริงๆ ส่วนตัวไม่เคยคิดจะออกจากที่นี่เลย แต่ก็มองว่า ถ้าทำงานที่นี่ต่อไปขึ้นเดือนขึ้นปีละ 6-8% เมื่อไรจะมีเงินเก็บเป็นจริงเป็นจัง จนวันหนึ่งคิดว่า ถ้าอยากจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเยอะ การย้ายงานน่าจะเป็นวิธีที่ดี อีกอย่างทำที่ที่ 3 มาประมาณ 5 ปี (ตอนนั้นอายุ 33) ก็คิดว่าได้เวลาออกจาก Comfort Zone แล้ว จึงเริ่มสมัครงานซึ่งตอนนั้น อยากกลับมาทำงานใกล้บ้าน เพราะอยากอยู่กับครอบครัว...จึงเป็นที่มาของการเริ่มทำงานที่ที่ 4
บริษัทที่ 4
ได้งานที่นี่ได้เงินเดือน 72,000 บาท ขึ้นมาประมาณ 60% จากที่เดิม คิดว่าที่เพิ่มได้พอสมควรเนื่องจากมีประสบการณ์ในสายงานตรงประมาณ 5 ปี บวกกับที่ใหม่เป็นบริษัทต่างชาติ ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเยอะ ทำให้นึกไปถึงตอนที่ทำงานที่ที่ 1 เลยว่า ตอนนั้นคิดว่าตัดสินใจถูกที่ไปเรียนภาษาอังกฤษ ทำที่นี่เข้าสู่ปีที่ 3 เงินเดือนก็ปรับมาตลอดจนอยู่ที่ 84,000 บาท ซึ่งอยู่ที่ที่ 4 เนื่องจากอยู่ชานเมือง ค่อนข้างประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะจึงเก็บเงินได้พอสมควร
จนต้นปีมีบริษัทแห่งหนึ่งติดต่อมาเสนอให้เงินเดือน รวมรายได้อื่น ประมาณ 130,000 บาท คิดดูแล้วเพิ่มมาประมาณ 55% เป็น level ที่ทำให้ควรให้ย้ายอีกครั้ง ทำให้ไปขอลาออกกับบริษัท แต่เนื่องจากบริษัทบอกว่าต้องการให้อยู่ช่วยต่อ แต่จะปรับเงินเดือนให้เท่ากับที่ใหม่ที่ได้...ซึ่งปัจจุบันก็ได้รับเท่ากับที่ใหม่
ที่เขียนมายาว ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองประสบความสำเร็จอะไร แต่แค่อยากบอกว่า คนเราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ส่วนตัวตั้งเป้าว่าขอมีเงินเดือนเกินแสนบาทก่อนอายุ 40 ซึ่งเป้าหมายนี้ตั้งไว้เมื่อ 14 ปีก่อนที่เรียนจบใหม่ๆ จึงอยากสรุปสั้นๆ เป็นข้อๆ อีกทีเผื่อเป็นประโยชน์ให้แก่มนุษย์เงินเดือนบางคน
1. จะทำอะไรต้องตั้งเป้าหมายให้ชัด ถ้าเป้าหมายไม่ชัด เราไม่มีทางรู้เลยว่าชีวิตข้างหน้าจะเป็นยังไง
2. คำนวนระยะเวลาที่ต้องทำงานเก็บเงินอยู่เสมอ บางคนบอกอายุเพิ่ง 30 กว่าจะเกษียญอีกตั้ง 30 ปี มีเวลาเก็บเงินอีกเยอะ ต้องย้อนมาถามตัวเองว่า เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าจะมีโอกาสทำงานอีก 30 ปี
3. การออกจาก Comfort Zone เป็นสิ่งจำเป็น หลายๆ คนพลาดโอกาสดีๆ เพราะได้แต่คิด แต่ไม่กล้าลงมือทำอย่างจริงจัง นึกถึงคำพูดหนึ่งที่บอกว่า
" มี 2 สิ่งในชีวิตที่คนมักเสียใจภายหลังคือ 1. ทำโดยไม่คิด 2. ได้แต่คิดแต่ไม่ลงมือทำ"...
4. การเก็บออมตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นสิ่งจำเป็น แต่ออมอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักศึกษาแนวทางการลงทุนด้วย
5. ภาษาอังกฤษโคตรสำคัญเลย จริงๆ แล้วมันเป็นปัจจัยหลักอีกตัวหนึ่งที่จะตัดสินได้เลยว่าชีวิตทำงานจะสำเร็จหรือล้มเหลว
6. เวลาทำงานมันมีหลายเรื่องที่เข้ามากวนใจเรา ทั้งเรื่องคน เรื่องนินทา เรื่องการเมืองในที่ทำงาน แต่พูดตรงๆ เรื่องพวกนั้นมันเรื่องเล็กน้อย ทุกอย่างวัดกันที่ผลงาน พยายามนึกถึงเป้าหมายสำคัญของชีวิตให้มากๆ อย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ มามีผลต่อเป้าหมายของเรา
7. ถ้าเราทำงานเต็มที่เป็นมืออาชีพ บริษัทก็ต้องจ่ายให้เหมาะสมกับผลงาน ตัวเราต้องรู้ว่า ความสามารถเราเหมาะกับรายได้ขนาดไหน
8. คนมีครอบครัว ทำงานแล้วต้องแบ่งเวลาให้ครอบครัวได้ รายได้เยอะ แต่ไม่มีเวลาอยู่กับคนที่รัก ก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร Balance Your Life เป็นสิ่งสำคัญ
9. เวลาอายุมากขึ้น ต้องดูแลรักษาสุขภาพเยอะๆ
10. ความเป็นมืออาชีพสำคัญมาก ไมว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เราอยากทำ หรือไม่มีอารมณ์ทำ เมื่อหัวหน้าสั่งงานมาต้องทำให้เสร็จและดีด้วย
11. การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญมาก
ปล...มีคนเคยบอกว่า..."มีทั้งคนวิ่งและคนเดินเพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน แต่คนที่ถึงก่อนก็ได้พักก่อน"