ภัยร้ายของประเทศคือข้าราชการและนักการเมืองทั้งหลาย ไม่เกรงกลัวความผิด คิดว่ากฎหมายเอื้อมมือไปไม่ถึง จึงยังคงประพฤติเป็นภัยร้ายแรงแอบแฝงกัดกร่อนความดีงามให้มัวหมอง
ตอนนี้ศาลปราบทุจริตเริ่มทำงานแล้ว คนใดก็ตามที่ไม่เกรงกลัว ยังประพฤติผิด ทุจริต ประพฤติมิชอบ ก็คงต้องรับโทษทัณฑ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว ถ้าไม่เข็ดหลาบกับบ้างเลยก็ลงโทษเสียให้หนัก แผ่นดินนี้จะได้มีคนทำงานเพื่อประชาชนด้วยหน้าที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นหลักให้ประชาชนเคารพนับถืออย่างจริงใจ
ขอบคุณศาลปราบโกงนะคะ....
เบื่อจริงคนโกงทั้งหลาย...



🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅
มาอ่านบทความนี้กันดีกว่าค่ะ.....

📃📃📃
เชื่อว่าหลายคนหากติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบแล้วคงได้เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและจับตามองว่านี่อาจเป็นความหวังและอนาคตสำหรับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการและนักการเมืองในบ้านเราในอนาคต
พิจารณาจากคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมาถึงสองคดีรวด
คดีแรกเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1063/2558 ที่นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน อดีต ผอ.สำนักวิชาการป่าไม้ 9 และอดีตรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายปลอดประสพ สุรัสวดี อายุ 72 ปี อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2546 -12 พ.ย. 2554 จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นพนักงานตามกฎหมาย ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจสั่งการ อนุญาต อนุมัติ ได้ออกคำสั่งมอบหมายงานในหน้าที่ตามคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯ ที่ 287/2546 และให้ระงับการมอบหมายงานในหน้าที่ตามคำสั่ง 399/2546 ที่ให้เลื่อนและแต่งตั้งโจทก์ขึ้นดำรงตำแหน่งผอ.สำนัก (นักวิชาการป่าไม้ 9) และให้ถือว่าเป็นการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวไว้ก่อน ซึ่งเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ เนื่องจากจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองโจทก์เป็นการส่วนตัว ทำให้ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ไม่ได้รับพิจารณาให้ได้รับเครื่องราชชั้นสูงกว่าที่ได้รับในปัจจุบัน และความก้าวหน้าทางราชการ เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ขอให้ลงโทษตาม ป.อาญา มาตรา 157
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายปลอดประสพ จำเลยกระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จริง ให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี และปรับเงิน 20,000 บาท นอกจากนี้ให้จำเลยชดใช้เงินทดแทนความเสียหายโจทก์ด้วย 1.4 ล้านบาท
อีกคดีหนึ่งในวันเดียวกันศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท.46/2559 ที่อัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 70 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 43 ปี บุตรสาว ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ม.6,11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ม.12
โดยศาลพิพากษาว่า นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6 , 11 และ น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6, 11 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท รวม 11 กระทง ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานในองค์การฯ ตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก จำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 66 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงคงจำคุกไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 44 ปี และริบเงินจำนวน 1,822,494 เหรียญสหรัฐ และดอกผลที่เกิดขึ้น ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งศาลให้กำหนดมูลค่าสิ่งที่สั่งริบดังกล่าว ตามมาตรการสำหรับคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ เพิ่มขึ้นอีกมาตรการหนึ่ง เป็นเงินจำนวน 62,724,776 บาท
นี่ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาคดีแยกออกมาจากคดีอาญาทั่วไปของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่เกิดขึ้นหลังจาก พรบ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พศ.2559 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2559 และมีการเปิดที่ทำการศาลฯอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา
แน่นอนว่าการก่อตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือที่เรียกว่า"ศาลปราบโกง"ดังกล่าวเป็นความหวังสำหรับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างได้ผลและให้ลดน้อยลงไป และเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาในการพิจารณาทั้งสองคดีโดยคดีแรกเข้าใจว่าน่าจะเป็นการโอนคดีมาสู่การพิจารณาของศาลนี้หลังจากที่มีการดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว และคดีที่สองข้างต้นถือว่าใช้เวลาไม่นานนัก ซึ่งนี่แหละคือ"หัวใจสำคัญ"ของกระบวนการยุติธรรมที่มีการกล่าวกันว่า "กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม" เหมือนกับหลายคดีที่กว่าจะมีการตัดสินต้องใช้เวลานาน นานจนลืมไปแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมามีคดีอาญาที่เกิดขึ้นจำนวนมากไม่ได้แยกคดีออกมาเป็นการเฉพาะทำให้มีข้อจำกัด แต่เมื่อมีการแยกคดีเกี่ยวกับการทุจริตออกมาแบบนี้ทำให้มีความหวังกันมากขึ้นว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการจัดการกับคนทุจริตประพฤติมิชอบได้อย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อน
นั่นคือคดีที่จะมาสู่การพิจารณาของ"ศาลปราบโกง"ดังกล่าวส่วนใหญ่จะมาจากการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ปปท.) ซึ่งหากสองหน่วยงานทำงานเร็วคดีก็จะเข้ามาที่ศาลมาก โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯจะพิจารณาเฉพาะคดีประเภทนี้อย่างเดียวโดยไม่พิจารณาคดีอื่นปะปน ทำให้การพิจารณาคดีทำได้รวดเร็ว เหมือนกับสองคดีที่มีการพิพากษาข้างต้นก็ล้วนเป็นการโอนคดีมาพิจารณา แม้ว่าตามขั้นตอนจะต้องมีศาลอุทธรณ์(สิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์ยกเว้นได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาให้ฎีกาได้)แต่กระบวนการก็รวดเร็วแยกออกมาต่างหาก นั่นคือศาลปราบโกงใช้ระบบ"ไต่สวน"ซึ่งฉับไวกว่า และที่สำคัญสำหรับคดีทุจริตประพฤติมิชอบจะ"ไม่มีหมดอายุความ"หนีได้หนีไป หนีให้ตลอดชีวิต
ซึ่งนี่แหละจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนที่คิดจะโกง คิดที่จะประพฤติมิชอบได้ยับยั้งชั่งใจได้บ้าง เนื่องจากเห็นกันอยู่ตรงหน้า
ดังนั้นเมื่อได้เห็นกระบวนการทำงานและขอบเขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลางที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อตัดสินคดีทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐที่แยกออกมาพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะทำงานได้รวดเร็ว ดังที่มีการพิพากษาสองคดีข้างต้น ซึ่งเชื่อว่าทำให้เป็นการกำหราบคนที่คิดทุจริตฯมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน !!
http://m.manager.co.th/Politics/detail/9600000032712
((มาลาริน)) ^_^ เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ความยุติธรรมกำลังกำจัดภัยร้าย..ศาลปราบทุจริตเริ่มทำงาน คนโกง-ประพฤติมิชอบมีหนาว !
ตอนนี้ศาลปราบทุจริตเริ่มทำงานแล้ว คนใดก็ตามที่ไม่เกรงกลัว ยังประพฤติผิด ทุจริต ประพฤติมิชอบ ก็คงต้องรับโทษทัณฑ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว ถ้าไม่เข็ดหลาบกับบ้างเลยก็ลงโทษเสียให้หนัก แผ่นดินนี้จะได้มีคนทำงานเพื่อประชาชนด้วยหน้าที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นหลักให้ประชาชนเคารพนับถืออย่างจริงใจ
ขอบคุณศาลปราบโกงนะคะ....
เบื่อจริงคนโกงทั้งหลาย...
🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅🙅
มาอ่านบทความนี้กันดีกว่าค่ะ.....
เชื่อว่าหลายคนหากติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบแล้วคงได้เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและจับตามองว่านี่อาจเป็นความหวังและอนาคตสำหรับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการและนักการเมืองในบ้านเราในอนาคต
พิจารณาจากคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมาถึงสองคดีรวด
คดีแรกเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1063/2558 ที่นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน อดีต ผอ.สำนักวิชาการป่าไม้ 9 และอดีตรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายปลอดประสพ สุรัสวดี อายุ 72 ปี อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2546 -12 พ.ย. 2554 จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นพนักงานตามกฎหมาย ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจสั่งการ อนุญาต อนุมัติ ได้ออกคำสั่งมอบหมายงานในหน้าที่ตามคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯ ที่ 287/2546 และให้ระงับการมอบหมายงานในหน้าที่ตามคำสั่ง 399/2546 ที่ให้เลื่อนและแต่งตั้งโจทก์ขึ้นดำรงตำแหน่งผอ.สำนัก (นักวิชาการป่าไม้ 9) และให้ถือว่าเป็นการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวไว้ก่อน ซึ่งเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ เนื่องจากจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองโจทก์เป็นการส่วนตัว ทำให้ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ไม่ได้รับพิจารณาให้ได้รับเครื่องราชชั้นสูงกว่าที่ได้รับในปัจจุบัน และความก้าวหน้าทางราชการ เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ขอให้ลงโทษตาม ป.อาญา มาตรา 157
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายปลอดประสพ จำเลยกระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จริง ให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี และปรับเงิน 20,000 บาท นอกจากนี้ให้จำเลยชดใช้เงินทดแทนความเสียหายโจทก์ด้วย 1.4 ล้านบาท
อีกคดีหนึ่งในวันเดียวกันศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท.46/2559 ที่อัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 70 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 43 ปี บุตรสาว ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ม.6,11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ม.12
โดยศาลพิพากษาว่า นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6 , 11 และ น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6, 11 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท รวม 11 กระทง ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานในองค์การฯ ตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก จำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 66 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงคงจำคุกไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 44 ปี และริบเงินจำนวน 1,822,494 เหรียญสหรัฐ และดอกผลที่เกิดขึ้น ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งศาลให้กำหนดมูลค่าสิ่งที่สั่งริบดังกล่าว ตามมาตรการสำหรับคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ เพิ่มขึ้นอีกมาตรการหนึ่ง เป็นเงินจำนวน 62,724,776 บาท
นี่ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาคดีแยกออกมาจากคดีอาญาทั่วไปของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่เกิดขึ้นหลังจาก พรบ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พศ.2559 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2559 และมีการเปิดที่ทำการศาลฯอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา
แน่นอนว่าการก่อตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือที่เรียกว่า"ศาลปราบโกง"ดังกล่าวเป็นความหวังสำหรับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างได้ผลและให้ลดน้อยลงไป และเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาในการพิจารณาทั้งสองคดีโดยคดีแรกเข้าใจว่าน่าจะเป็นการโอนคดีมาสู่การพิจารณาของศาลนี้หลังจากที่มีการดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว และคดีที่สองข้างต้นถือว่าใช้เวลาไม่นานนัก ซึ่งนี่แหละคือ"หัวใจสำคัญ"ของกระบวนการยุติธรรมที่มีการกล่าวกันว่า "กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม" เหมือนกับหลายคดีที่กว่าจะมีการตัดสินต้องใช้เวลานาน นานจนลืมไปแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมามีคดีอาญาที่เกิดขึ้นจำนวนมากไม่ได้แยกคดีออกมาเป็นการเฉพาะทำให้มีข้อจำกัด แต่เมื่อมีการแยกคดีเกี่ยวกับการทุจริตออกมาแบบนี้ทำให้มีความหวังกันมากขึ้นว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการจัดการกับคนทุจริตประพฤติมิชอบได้อย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อน
นั่นคือคดีที่จะมาสู่การพิจารณาของ"ศาลปราบโกง"ดังกล่าวส่วนใหญ่จะมาจากการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ปปท.) ซึ่งหากสองหน่วยงานทำงานเร็วคดีก็จะเข้ามาที่ศาลมาก โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯจะพิจารณาเฉพาะคดีประเภทนี้อย่างเดียวโดยไม่พิจารณาคดีอื่นปะปน ทำให้การพิจารณาคดีทำได้รวดเร็ว เหมือนกับสองคดีที่มีการพิพากษาข้างต้นก็ล้วนเป็นการโอนคดีมาพิจารณา แม้ว่าตามขั้นตอนจะต้องมีศาลอุทธรณ์(สิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์ยกเว้นได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาให้ฎีกาได้)แต่กระบวนการก็รวดเร็วแยกออกมาต่างหาก นั่นคือศาลปราบโกงใช้ระบบ"ไต่สวน"ซึ่งฉับไวกว่า และที่สำคัญสำหรับคดีทุจริตประพฤติมิชอบจะ"ไม่มีหมดอายุความ"หนีได้หนีไป หนีให้ตลอดชีวิต
ซึ่งนี่แหละจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนที่คิดจะโกง คิดที่จะประพฤติมิชอบได้ยับยั้งชั่งใจได้บ้าง เนื่องจากเห็นกันอยู่ตรงหน้า
ดังนั้นเมื่อได้เห็นกระบวนการทำงานและขอบเขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลางที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อตัดสินคดีทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐที่แยกออกมาพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะทำงานได้รวดเร็ว ดังที่มีการพิพากษาสองคดีข้างต้น ซึ่งเชื่อว่าทำให้เป็นการกำหราบคนที่คิดทุจริตฯมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน !!
http://m.manager.co.th/Politics/detail/9600000032712