สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ในฐานะที่เคยทำงานกับกลุ่มปลูกถ่ายอวัยวะมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง...ก็จะขอชี้แจงความจริงที่เคยได้พบและรับรู้มาว่า
การบริจาคอวัยวะจะทำได้ในกรณีเดียวเท่านั้นคือ คนคนนั้นเกิดภาวะสมองตาย โดยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ศัลยกรรมประสาทและเซ็นเอกสารกำกับโดยมีแพทย์ท่านอื่นมาร่วมเซ็นเป็นพยานด้วย
(แพทย์คนแรกคือแพทย์ศัลยกรรมประสาทที่เป็นผู้ลงความเห็นว่าสมองตาย
แพทย์คนที่สองจำไม่ได้ว่าเป็นแพทย์เจ้าของไข้? สุดท้ายคือผอ.รพ.)
เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา ข้อครหาว่าวินิจฉิยผิดหรือหากินผลประโยชน์จากการกระทำนี้ ถ้าตายด้วยกรณีอื่น เช่น ป่วยตาย ถูกแทงจนหมดลมหายใจก็จะบริจาคไม่ได้ หรือผู้แจ้งความจำนงจะบริจาคแต่ถ้าไม่อยู่ในภาวะสมองตายก็บริจาคไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นคนที่สามารถบริจาคอวัยวะได้จริงๆจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลเท่านั้น และเกือบ100% จะใส่ท่อช่วยหายใจ...ต่างจากผู้บริจาคร่างกาย(อาจารย์ใหญ่)ที่จะตายด้วยภาวะใดก็ได้ และจะมีรถไปรับถึงบ้านอย่างที่ความเห็น9 เคยบอก
การวินิจฉัยว่าสมองตายจะทำโดยแพทย์ศัลยกรรมประสาทเท่านั้น วิธีการคือแพทย์จะใช้อุปกรณ์ต่างๆเพื่อทดสอบว่าผู้ป่วยไม่มีการตอบสนองต่อสัมผัส ความร้อน ความเย็นและความเจ็บปวด ถ้าไม่มีการตอบสนอง แพทย์จะเซ็นเอกสารว่าผู้ป่วยสมองตาย และเว้นระยะอีกประมาณ6-12 ชั่วโมง(จำไม่ได้) ก็จะมาทดสอบอีกครั้ง ถ้าได้ผลเหมือนเดิมก็จะเซ็นยืนยันสมองตายครั้งที่1 และเว้นระยะก่อนจะทดสอบและเซ็นยืนยันครั้งที่2...วันที่ เวลา
เมื่อได้รับการยืนยันว่าผู้ป่วยสมองตายแน่ๆแล้ว ก็จะมีพยาบาลหรือแพทย์พูดขอให้บริจาคอวัยวะกับญาติของผู้ป่วย ซึ่งจะได้รับอวัยวะหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับญาติ เพราะร่างกายนี้จะถือเป็นสิทธิ์ของญาติซึ่งเขาจะให้หรือไม่ก็ได้ การมีบัตรแจ้งความจำนงบริจาคอวัยวะจะเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของผู้ป่วยให้ญาติรู้ แต่ถึงแม้ว่าเราจะมีบัตรแต่ถ้าญาติไม่ให้ก็จบ...
ถ้าญาติให้จะมีการจดข้อมูลผู้ป่วยส่งไปที่ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย เพื่อทางศูนย์จะส่งข้อมูลไปยังรพ.ที่มีผู้รอคิวเปลี่ยนอวัยวะที่ได้ลงทะเบียนไว้ได้จัดการเตรียมทีมผ่าตัดและเรียกตัวคนรอเปลี่ยนมาที่รพ.นั้นๆเพื่อเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ
ในทีมผ่าตัดผู้บริจาคก็เดินทางไปที่รพ.ที่ผู้ป่วยอยู่ ส่วนทีมการรักษาก็จะดูแลผู้ป่วยไม่ให้หัวใจหยุดเต้นก่อนการผ่าตัด เมื่อทุกอย่างพร้อมก็จะเริ่มผ่าตัดโดยทีมขอรับบริจาคหัวใจจะเป็นคนผ่าเปิดช่องอก และจะเป็นผู้หนีบหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ(Aorta) โดยจะขานบอกว่าจะclamp aortaแล้ว พยาบาลจะจดเวลาไว้และถือเวลานั้นเป็นเวลาถึงแก่กรรมที่จะไปทำมรณบัตร และเมื่อนำหัวใจออกจากร่างผู้บริจาคก็จะรีบกลับไปรพ.ต่อเพื่อไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้กับผู้รับบริจาคให้เสร็จภายใน4 ชั่วโมง...ส่วนทีมผ่าตัดช่องท้อง(ตับ)จึงเริ่มงานต่อโดยตัดตับและไตแต่ละข้างแล้วเย็บปิดช่องท้องอย่างสวยงาม สุภาพและให้ความเคารพตลอดเวลา ถ้าคนใดบริจาคดวงตาด้วย ทีมศูนย์ดวงตาก็จะม่าผ่าตาออกไปเพื่อนำไปรอเปลี่ยนให้กับผู้อื่นต่อไป โดยจะเย็บหนังตาให้ปิดสนิทเหมือนคนนอนหลับและยกมือไหว้ศพด้วยความเคารพทุกคนตั้งแต่อ.แพทย์และพยาบาล
เมื่อทีมตับกลับมารพ.ก็ผ่าตัดเปลี่ยนตับให้คนไข้เรียบร้อย ส่วนไตก็จะนำไปไว้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ เพื่อให้ทางศูนย์ทำกรค้นหาผู้เหมาะสมต่อไป
ขั้นตอนที่กล่าวมานี้ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจมาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่ทำไปเพื่อจริยธรรมแห่งการรักษาทั้งสิ้น
การบริจาคอวัยวะจะทำได้ในกรณีเดียวเท่านั้นคือ คนคนนั้นเกิดภาวะสมองตาย โดยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ศัลยกรรมประสาทและเซ็นเอกสารกำกับโดยมีแพทย์ท่านอื่นมาร่วมเซ็นเป็นพยานด้วย
(แพทย์คนแรกคือแพทย์ศัลยกรรมประสาทที่เป็นผู้ลงความเห็นว่าสมองตาย
แพทย์คนที่สองจำไม่ได้ว่าเป็นแพทย์เจ้าของไข้? สุดท้ายคือผอ.รพ.)
เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา ข้อครหาว่าวินิจฉิยผิดหรือหากินผลประโยชน์จากการกระทำนี้ ถ้าตายด้วยกรณีอื่น เช่น ป่วยตาย ถูกแทงจนหมดลมหายใจก็จะบริจาคไม่ได้ หรือผู้แจ้งความจำนงจะบริจาคแต่ถ้าไม่อยู่ในภาวะสมองตายก็บริจาคไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นคนที่สามารถบริจาคอวัยวะได้จริงๆจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลเท่านั้น และเกือบ100% จะใส่ท่อช่วยหายใจ...ต่างจากผู้บริจาคร่างกาย(อาจารย์ใหญ่)ที่จะตายด้วยภาวะใดก็ได้ และจะมีรถไปรับถึงบ้านอย่างที่ความเห็น9 เคยบอก
การวินิจฉัยว่าสมองตายจะทำโดยแพทย์ศัลยกรรมประสาทเท่านั้น วิธีการคือแพทย์จะใช้อุปกรณ์ต่างๆเพื่อทดสอบว่าผู้ป่วยไม่มีการตอบสนองต่อสัมผัส ความร้อน ความเย็นและความเจ็บปวด ถ้าไม่มีการตอบสนอง แพทย์จะเซ็นเอกสารว่าผู้ป่วยสมองตาย และเว้นระยะอีกประมาณ6-12 ชั่วโมง(จำไม่ได้) ก็จะมาทดสอบอีกครั้ง ถ้าได้ผลเหมือนเดิมก็จะเซ็นยืนยันสมองตายครั้งที่1 และเว้นระยะก่อนจะทดสอบและเซ็นยืนยันครั้งที่2...วันที่ เวลา
เมื่อได้รับการยืนยันว่าผู้ป่วยสมองตายแน่ๆแล้ว ก็จะมีพยาบาลหรือแพทย์พูดขอให้บริจาคอวัยวะกับญาติของผู้ป่วย ซึ่งจะได้รับอวัยวะหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับญาติ เพราะร่างกายนี้จะถือเป็นสิทธิ์ของญาติซึ่งเขาจะให้หรือไม่ก็ได้ การมีบัตรแจ้งความจำนงบริจาคอวัยวะจะเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของผู้ป่วยให้ญาติรู้ แต่ถึงแม้ว่าเราจะมีบัตรแต่ถ้าญาติไม่ให้ก็จบ...
ถ้าญาติให้จะมีการจดข้อมูลผู้ป่วยส่งไปที่ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย เพื่อทางศูนย์จะส่งข้อมูลไปยังรพ.ที่มีผู้รอคิวเปลี่ยนอวัยวะที่ได้ลงทะเบียนไว้ได้จัดการเตรียมทีมผ่าตัดและเรียกตัวคนรอเปลี่ยนมาที่รพ.นั้นๆเพื่อเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ
ในทีมผ่าตัดผู้บริจาคก็เดินทางไปที่รพ.ที่ผู้ป่วยอยู่ ส่วนทีมการรักษาก็จะดูแลผู้ป่วยไม่ให้หัวใจหยุดเต้นก่อนการผ่าตัด เมื่อทุกอย่างพร้อมก็จะเริ่มผ่าตัดโดยทีมขอรับบริจาคหัวใจจะเป็นคนผ่าเปิดช่องอก และจะเป็นผู้หนีบหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ(Aorta) โดยจะขานบอกว่าจะclamp aortaแล้ว พยาบาลจะจดเวลาไว้และถือเวลานั้นเป็นเวลาถึงแก่กรรมที่จะไปทำมรณบัตร และเมื่อนำหัวใจออกจากร่างผู้บริจาคก็จะรีบกลับไปรพ.ต่อเพื่อไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้กับผู้รับบริจาคให้เสร็จภายใน4 ชั่วโมง...ส่วนทีมผ่าตัดช่องท้อง(ตับ)จึงเริ่มงานต่อโดยตัดตับและไตแต่ละข้างแล้วเย็บปิดช่องท้องอย่างสวยงาม สุภาพและให้ความเคารพตลอดเวลา ถ้าคนใดบริจาคดวงตาด้วย ทีมศูนย์ดวงตาก็จะม่าผ่าตาออกไปเพื่อนำไปรอเปลี่ยนให้กับผู้อื่นต่อไป โดยจะเย็บหนังตาให้ปิดสนิทเหมือนคนนอนหลับและยกมือไหว้ศพด้วยความเคารพทุกคนตั้งแต่อ.แพทย์และพยาบาล
เมื่อทีมตับกลับมารพ.ก็ผ่าตัดเปลี่ยนตับให้คนไข้เรียบร้อย ส่วนไตก็จะนำไปไว้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ เพื่อให้ทางศูนย์ทำกรค้นหาผู้เหมาะสมต่อไป
ขั้นตอนที่กล่าวมานี้ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจมาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่ทำไปเพื่อจริยธรรมแห่งการรักษาทั้งสิ้น
แสดงความคิดเห็น
การบริจาคอวัยวะได้บุญมหาศาล แต่ทำไมคนบริจาคมีน้อยจังคะ ? หรือมีข้อเสียอะไรคะ ?
(31 มีนาคม วันนี้วันเกิดหนู และนี่เป็นกระทู้แรก ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ด้วยเลยละกันจ้า )