UK 1st Time: Scotland เดือนมีนา ฝนตก แดดออก แกะเต็มทุ่ง ดอกไม้บาน

ประเภทกระทู้: บอกเล่าทุกสิ่งอย่าง แนวไดอารีเที่ยวไปบ่นไป

ติดตาม Blog เต็มๆ เรื่องราวกิน เที่ยว มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างเต็มๆ ได้ที่ https://aliceinlavenderland.wordpress.com

บรรทัดที่ท่านผู้อ่านจะได้เห็นต่อไปนี้ เป็นเพียงระบบตอบรับอัตโนมัติของกระทู้รีวิวท่องเที่ยวในพันทิพย์แห่งนี้

    “นี่เป็นกระทู้รีวิวท่องเที่ยวครั้งแรกในพันทิพย์ จขกท ไม่เคยตั้งรีวิวท่องเที่ยวมาก่อน ขอฝากกระทู้น้อยๆนี้ไว้ในอ้อมตาอ้อมนิ้วของท่านผู้อ่านทุกท่าน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลต่างๆจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังเดินทางไปครั้งแรกหรือกำลังหาข้อมูลท่องเที่ยวอยู่ไม่มากก็น้อย และหากผิดพลาดประการใดทางผู้จัดทำกราบขอขมา โนดรามา มา ณ​ ที่นี้ด้วย”

            การเดินทางครั้งนี้เริ่มขึ้นจากการที่เจ้าป้าจำปีลื่นปรึ้ดดุจใยไหม ได้ทำการป่าวร้องข้ามปี ว่ามีบัตรโดยสารราคาพิเศษออกมาเป็นที่อื้อไปทั่วพระนครนั้น ข้าได้รับสารนั้นมาจากผู้ร่วมเดินทางและสนใจจะทำการจองอย่างเปิดเผย ด้วยเพราะมีหลายประเทศให้เลือกมากมาย รู้สึกเหมือนผีเสื้อนับพันตัวมาบินวนอยู่ในท้อง ด้วยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยไปยุโรปมาบ้างแล้วนั้น ประเทศที่อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่จึงตกไป สิ่งที่ดูเหมือนใกล้ตัวแต่ไม่เคยได้สัมผัสสักครั้ง นั่นคือ เกาะใหญ่ทางด้านตะวันตกของทวีปยุโรป แผ่นดินที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน หนึ่งใน Top 5 นักล่าอาณานิคม ที่ๆนักเรียนไทยไปเรียนต่อและมีคนไทยอาศัยอยู่มากมาย ประเทศที่รับประทานชายามบ่ายแม้จะสี่โมงเย็น และที่ๆผลิตถุงหมี ที่มีความเหนียว ทนทานและกันน้ำได้ดีซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่วัยรุ่นยุค 90 เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงตกลงทำการจองที่มหานครกรุงลอนดอน พร้อมด้วยความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศอังกฤษเป็น 0....

            เมื่อทำการจองเรียบร้อย ก็ได้ช่วงเดือนมีนาคม (โปรเจ้าป้าให้มาถึงแค่นี้) ครั้นจะไปช่วงปีใหม่ ก็เกรงว่าทุกอย่างจะขาวโพลนไปหมด เดี๋ยวภาพในหัวมันจะไม่เท่ากัน เลยยื้อได้จนถึงเดือนมีนาคม ที่อากาศพอจะดีขึ้นมาหน่อย ใบไม้เขียวๆเริ่มขึ้นมาบ้าง (บ้างจริงๆ) แต่กระนั้นด้วยความกลัวว่าจะเที่ยวได้ไม่คุ้มค่า ก็ขอวีซ่าเข้าอังกฤษทั้งที แต่จริงๆเข้าได้สี่ประเทศเลยนะเธอ จริงๆเขาเรียกว่า UK Visa อันประกอบไปด้วยประเทศอังกฤษ ประเทศสกอตแลนด์ ประเทศเวลส์ และประเทศไอน์แลนด์เหนือ เมื่อดูระยะเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่เข้าพำนักในสหราชอาณาจักรแห่งนี้ ก็เลยคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว คงไม่ได้มาบ่อยๆ เลยตัดสินใจควบสกอตแลนด์ โปรแกรมยอดฮิตจากทุกสำนัก ด้วยความรู้ เท่ากับ - 0...

            การขอ UK Visa นั้น โดยส่วนตัวคิดว่าของ่ายกว่าการขอเชงเก้นมาก หากคุณมีข้อมูลครบ กรอกออนไลน์ก็ง่าย เพียงแต่อาจจะต้องกรอกเยอะหน่อย แต่ก็ถือว่าพอรับได้ เอกสารที่จะไปยื่นก็เตรียมไปให้พร้อม เอาจริงๆที่เขาดูก็เงินของคุณว่ามีพอแก่การท่องเที่ยวไหม มีจดหมายรับรองการทำงาน หรือใครไม่ได้ทำก็มีสปอนเซอร์ไหม เอาง่ายๆ คือ ดูเงินกับดูว่าคุณจะกลับมาไหม เอกสารจิปาถะ พวกแผนการเดินทาง ใบจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก ไม่ต้องใช้เลย รูปถ่ายก็ไม่ต้องใช้ เพราะเขาจะให้ถ่ายตอนที่ไปทำวีซ่าเลย เหมือนตอนเราไปถ่ายรูปทำพาสปอร์ตนั้นแล แล้วก็รวดเร็วมาก เพราะทำวันจันทร์ วันศุกร์เขาก็ส่งข้อความเข้ามือถือตู๊ดๆ (85 บาท...) ว่าสามารถไปรับเล่มได้แล้ว เราไปรับเอง เพราะ...งก บอกตรงๆ ถ้าส่งให้ที่บ้าน สิริรวมไปสองคนทั้งๆที่อยู่เดียวกัน แต่ต้องส่งคนละซอง ค่าส่งต่อคนก็ประมาณ 265 บาท ไปสองคนก็ห้าร้อยกว่าบาท ดังนั้น บ้านอยู่ในกรุงเทพก็เลยไปรับเองดีกว่า บวกลบคูณหารแล้วยังไงก็คุ้มกว่าอยู่ดี

            พรรณนาโวหารมาได้นานสองนาน เราก็ขอนำทุกท่านบินตรงลัดฟ้าสู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษด้วยเครื่องบิน A380  จากเจ้าป้าจำปีของเรา ไฟล์ขาไปเป็นที่ประทับใจในการบริการยิ่งนัก โดยส่วนตัว นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้ขึ้นเจ้าป้า ห่างจากครั้งแรกนับสิบปีได้ ด้วยเพราะเจ้าป้าราคาเกินเอื้อม และเสียงอื้ออึงอันหนาหูถึงความประทับใจจากผู้โดยสารชาวไทย แต่เมื่อได้สัมผัสกับไฟล์ขาไป ต้องขอชื่นชมให้กับความเป็นมืออาชีพของลูกเรือทุกคน และความใส่ใจในการบริการ โนชักสีหน้า โนเหวี่ยงตามที่ร่ำลือมา แต่นั่นแหละฮ่ะท่านผู้ชม ขอย้ำว่าเฉพาะขาไปเท่านั้น เพราะขากลับน่ะเหรอ หน้ามือเป็นหลังฝ่า...มือทีเดียว

           จากแผนการเดินทาง 11 วัน ในช่วง 5 วันแรก เราจะเข้าไปที่สกอตแลนด์ก่อน และหลังจากนั้น จะกลับมาเที่ยวในอังกฤษ โดยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่กรุงลอนดอน เมื่อลงถึงสนามบินฮีทโธรว์ (Heathrow) เรามีเวลาประมาณสองชั่วโมงนิดๆก่อนที่จะต่อเครื่องไปลงที่กรุงเอดินบะระ (Edinburgh) เมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ ด้วยความที่มากับเจ้าป้าอันช่ำชอง ก่อนมาเราเลยได้ขอให้เจ้าป้าช่วยส่งผ่านกระเป๋าของเราไปถึงจุดหมายปลายทางที่เอดินบะระเลย โดยไม่ต้องมาเอาลงที่ลอนดอน และไฟล์ที่จะต่อไปเอดินบะระนั้น เราใช้บริการของสายการบินแห่งชาติประเทศอังกฤษ บริติช แอร์เวย์ (British Airways) เลยทำให้การส่งผ่านกระเป๋าจากเจ้าป้านั้นลื่นปรึ้ดๆ แต่เมื่อมาถึงที่ลอนดอน คุณจะต้องมายืนยันกับสายการบินที่เราจะขึ้นอีกทีน่ะ ว่ากระเป๋าเราจะตามไปจริงๆน้า จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจไฮโซวไฮเวย์อะไร เพราะถ้ามีทางเลือกสายการบินต้นทุนต่ำจากฮีทโธรว์ได้ เราคงไม่รอช้า แต่ที่นี่เขามีแต่ของบริติช แอร์เวย์เท่านั้น เราเลยไม่มีทางเลือก ครั้นจะขึ้นรถไฟนั่งไปสวยๆถึงเอดินบะระก็คงจะไม่ไหว เพราะ 12 ชั่วโมงที่บินตรงมา ร่างก็แทบจะแหลกสลาย แถมราคารถไฟจากลอนดอนไปถึงที่เอดินบะระก็ใช่ว่าจะถูก หรืออีกวิธีคือไปต่อโลว์คอสซึ่งส่วนใหญ่จะใช้  Easyjet ก็ต้องลากสังขารไปสนามบินอื่นที่ห่างไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ บวกค่าเดินทางระหว่างสนามบินสะระตะ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สุดท้ายจบลงว่าขอต่อสวยๆที่ฮีทโธรล์นี่แหละ ให้ร่างยังคงรูปได้ไม่ปลิวสลายไปซะก่อน และยังประหยัดเวลาและพลังงานได้อีกด้วย
    
            ก่อนจะถึงสกอตแลนด์มีเรื่องตื่นเต้นตอนตรวจคนเข้าเมืองที่ฮีทโธรว์ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มา และเจอกับเจ้าหน้าที่ตม.ซึ่งคิดว่าน่าจะเพิ่งมาใหม่ เพราะมีเจ้าหน้าที่ชายอีกคนที่ดูแก่กว่ามาคอยประกบคอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ พาสปอร์ตอันที่ถือมาก็มีร่องรอยการผ่านเข้าออกประเทศอื่นมาบ้าง แต่จะเป็นประเทศในเอเชียทั้งหมด คุณเจ้าหน้าที่น้องใหม่ ก็ทำตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ พลิกหน้าพาสปอร์ตไปมา ถามว่าเข้ามาทำไม มากับใคร ไปไหนบ้าง แล้วจะออกเมื่อไหร่ ถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเธอจะกลับไปแน่ๆใช่ไหม (ในใจคิดว่าถามแบบนี้ ใครก็ต้องบอกว่ากลับแน่ๆไหมว้า แถมอาหารไทยเป็นหนึ่งในหล้า ยังไงฉันก็ต้องกลับมาตายรังแน่นอน) ระหว่างที่คุณเจ้าหน้าที่หน้าใหม่กำลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รุ่นพี่ก็คอยให้คำปรึกษารุ่นน้องอยู่ข้างๆ รุ่นพี่ก็ถามรุ่นน้องว่า เธอคิดว่าไง แล้วก็บลาๆ บอกตามตรง ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง เพราะหูชั้นในยังปรับสำเนียงอังกฤษได้ไม่ดีพอ ในใจก็คิดว่า “ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันมาดี เอาเงินมาให้น่ะ พลีสเลทมีโกวววว” หลังพลิกพาสปอร์ตกลับไปกลับมาพร้อมกับเสียงของรุ่นพี่ที่ลอยมาจากด้านหลังตลอดเวลา รุ่นพี่ก็บอกว่า ฉันโอเคนะ แต่การตัดสินใจอยู่ที่เธอ คุณเจ้าหน้าที่สดใหม่หันกลับมามองหน้า แล้วเตรียมจะยกประทับตรา ตอนนี้ใจเต้นตึกๆ ภาพในหัวเป็นภาพสโลว์โมชัน ทุกอย่างช้าลง แล้ว...แล้ว...ก็...พลิกหน้าพาสปอร์ตไปมาอี๊กกกกก...โอ้ย ลุ้นจะแย่อยู่แล้ว...หันกลับมามองหน้าประหนึ่งส่งโทรจิตมาว่า เธอต้องกลับจริงๆน่ะ ไม่งั้นงานเข้าพี่แน่ๆ...เราส่งสายตาตอบกลับไปว่า...เค้ากลับแน่ ตัวเองไม่ต้องเป็นห่วง เค้าไม่หายไปในป่าเป็นโรบินฮู้ดหรอก...แล้วคุณเจ้าหน้าที่คนใหม่ก็ประทับตราลงดัง...ปั๊ง! เหมือนภาพตัดมาตอนตื่นจากฝัน ฮ่ะนี่เราเข้าสู่ประเทศมหาอำนาจ อดีตเจ้าแห่งอาณานิคมมาได้แล้วหรือนี่ พอออกมาได้ก็ขอบคุณ แล้ววิ่งหน้าตั้งเพื่อไปต่อเครื่องทันที

            กว่าจะถึงสกอตแลนด์ เมื่อลงจากเครื่องบิน ก็มานั่งรถ Airlink สาย 100 ต่อเข้าสู่เมืองเอดินบะระ และภาพแรกที่ลงมาจากรถก็คือ
Scott Monument


            ร่างที่แทบจะแหลกสลาย กลับฟื้นคืนชีพ ฤดูใบไม้ผลิที่รอคอยยย ถึงแม้อากาศจะหนาวต่ำกว่าสิบองศา ลมจะพัดกระแทกเข้าหน้าอย่างไม่ใยดี แต่มือก็เริ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าโดยอัตโนมัติ คว้ามือถือที่ใส่ Sim2Fly ซึ่งจัดว่าดี มาถ่ายภาพที่อยู่ตรงหน้า ตามด้วยสเตปชาวไทยอย่างเราๆ ก็เลยจัดโพสลงโซเชียลแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่วันนี้ยังอีกยาวไกล เพราะเหลือเวลาอีกครึ่งวัน จะต้องเที่ยวให้คุ้ม ว่าแล้วก็รวมพลังที่เหลือเช็คอินเข้าที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดลงรถ และลุยเมืองเทพนิยายแห่งนี้ต่อไป
    
        โปรแกรมแรก คือ การไปเยือนปราสาทเอดินบะระ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาถึงเมืองหลวงแห่งสกอตแลนด์ต้องมาเยือน ความประทับใจส่วนตัวให้ 3.5/5 คะแนน ให้จากวิวเมืองที่มองมาจากปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขา ส่วนภายใน และอาคารภายในปราสาทโดยรวมก็ถือว่าโอเค ด้วยความที่ปราสาทนี้เป็นป้อมปราการในตัว ทำให้รูปลักษณ์และการตกแต่งดูขึงขัง มั่นคงและพร้อมใช้งาน ให้ความรู้สึก Game of Throne เล็กๆ มากกว่าที่จะวิจิตรงดงาม หรูหรา จึงยังไม่ว้าวสำหรับตัวเรา เมื่อเทียบกับปราสาทอื่นๆในยุโรปที่เคยได้สัมผัสมา





             ถึงจะยังไม่ตระการตา ตื่นตะลึงไปซะทีเดียว แต่ถ้าได้ไปถ่ายรูปปราสาทจากสวนที่อยู่ใกล้ๆ คือ Princes Street Gardens พร้อมกับน้ำพุที่ชื่อว่า Ross Fountain ปราสาทจะให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทฮอกวอตส์บนยอดเขาเลยทีเดียว ถ้าจะมีที่ไหนแห่งที่อยากให้เวลาเดินช้าลง เราขอให้ลองมาเดินสวนที่นี่ รับรองไม่ผิดหวัง ยิ่งพอเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มตัว ใบไม้เต็มต้น ดอกไม้เบ่งบาน บอกได้คำเดียวว่า ฟินนนนน...(แต่เสียดายที่มาก่อนใบไม้ผลิจริงๆไปนิดนึง)





              อีกสถานที่หนึ่งที่อยากจะแนะนำให้ไปชิลๆ คือที่ Calton Hill สถานที่ชมวิวเมืองอีกแห่ง เดินง่าย เหนื่อยน้อย ไม่ไกลจากใจกลางเมือง แต่ถ้าใครมีแรงและเวลาก็อยากให้ลองไปที่ Arthur’s Seat เดินยากกว่า ไกลกว่า สูงกว่า แต่ก็คงได้ภาพวิวระดับพาโนคมชัด 8K เลยทีเดียว ส่วนตัวเราเองมีเวลาจำกัดก็เลยเลือกที่จะไป Calton Hill และขอบอกเลยว่าถ้าอยากได้ภาพแบคกราวน์ไม่ติดคนเป็นมดหลากสี อารมณ์เขาลูกนี้เป็นของข้าคนเดียว ขอแนะนำให้ไปให้ไปช่วงแปดโมงเช้าหรือถ้าก่อนได้ก็ยิ่งดี ฟีลตอนแปดโมง ลมตอนเช้ากระพือเข้าหน้าดีมาก บริหารกล้ามเนื้อหน้าไปในตัว รักเลย ^.^ (เสียงจุงกิโอปป้าในโฆษณาลอยมา)



แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่