เหตุการณ์คืนวันงาน ๑๐๐ ปี จุฬาฯ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐
ใครที่ไปร่วมงาน จุฬา ๑๐๐ ปี ศตวรรษแห่งความภูมิใจ คงประจักษ์ถึงปาฏิหืาริย์ที่เกิดต่อตาตัวเอง
เมื่อถึงเพลง "ในหลวงของแผ่นดิน" ละอองฝนก็หยาดลงมากระทบใบหน้า เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็พบว่าไม่มีวี่แววพายุ ไม่มีเมฆฝนทะมึน
ไม่มีแม้แต่ลมกรรโชกแรงให้รู้ว่าฝนจะเทลงมา เพื่อนหลายคนที่นั่งอยู่ด้วยกันยังเข้าใจว่าเป็นเอฟเฟ็คส์ของการจัดงาน เพราะได้จังหวะพอดี
กับเพลงอย่างสวยงามเหลือเกิน ในแสงสปอตไลต์ที่สาดส่องเป็นลำ เห็นฝอยฝนเป็นแววระยิบ เหมือนน้ำมนต์โปรยปรายจากสวรรค์
ฝนเริ่มพรำเม็ดมากขึ้น จนพวกเราหยิบร่มขึ้นมากาง ตอนนั้นรู้กันแล้วว่า เป็นน้ำฟ้าไม่ใช่จากมือมนุษย์ ต่างคนต่างมองหน้ากัน ขนลุก น้ำตาไหลพร้อมๆ กัน หันหน้าไปทางพระบรมราชานุสาวรีย์ เปล่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงมหาจุฬาลงกรณ์กันเต็มเสียงด้วยหัวใจเต็มตื้นเกินบรรยาย
พอจบเพลง กันกลับมาทางเวที ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ประทับอยู่ ฝนจางหาย เหลือแววๆ อยู่นิดหน่อย แล้วก็หายสนิทเมื่อมีพระราชดำรัส
เหตุอัศจรรย์ ปาฎิหาริย์ หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจเต็มตื้น อยากจะบันทึกไว้ให้ทุกคนได้อ่าน ให้ลูกให้หลานอ่าน เพราะบัดนี้ให้ประจักษ์แล้วว่า ทรง "พระเอื้ออาทร หลังพรคุ้มครอง" ชาวจุฬา จริงๆ
เช้าตื่นขึ้นมา ได้แรงบันดาลใจเขียนกลอนบทนี้รวดเดียวจบอย่างไม่เคยทำมาได้ อนุญาตให้เผยแพร่ได้ไม่จำกัดค่ะ
ครบร้อยปีจามจุรีศรีสง่า
แผ่สาขาไปทุกยุค ทุกแห่งหน
ครบศตวรรษที่พระภูวดล
วงศ์จักรีเจ้าสกลสถาปนา
มาพร้อมใจชุมนุมกันในวันนี้
เพื่อถวายความภักดีกันถ้วนหน้า
โอ้ในหลวงของแผ่นดินปิ่นพารา
เสด็จสู่ชั้นฟ้าเหลืออาลัย
พลันหยาดแก้วแววระยิบดังทิพย์ส่อง
โปรยละอองลงมาจากฟ้าใส
ดังน้ำมนต์พรมพร่างลงกลางใจ
ปิติจนชลนัยน์ไหลทั่วกัน
โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว
ทรงรับรู้ด้วยแล้วหรือไรนั่น
ชาวจุฬาภักดีองค์พระทรงธรรม์
ขอเทิดทูนสถาบันเท่าดวงใจ
จะเชิดชูพระเกียรติยศปรากฏยิ่ง
ทำทุกสิ่งให้จุฬาค่ายิ่งใหญ่
ตราบใดมีธรณินแผ่นดินไทย
นามจุฬาจะคู่ไปให้นิรันดร์
ว.วินิจฉัยกุล
ศิลปินแห่งชาติ ปี 2547
ค่ำวันนี้ขณะที่ผมนั่งชมการแสดงหน้าที่นั่ง เนื่องในโอกาสงานฉลองวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครบ 100 ปี อยู่ที่สนามหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ การแสดงและการขับร้องบนเวทีกำลังกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า โดยใช้เพลง"ในหลวงของเรา"เดินเรื่อง เมื่อเนื้อเพลงถึงตอนที่ว่า
"...หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน ทุกข์ร้อนจะพลันสลาย ทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน..."
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวมตึงแต่เย็น ผมรู้สึกว่ามีหยดน้ำตกลงมาต้องผิวกาย ครั้นแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นหยาดน้ำฝนเม็ดไม่ใหญ่ไม่เล็กตกกระจายห่างๆลงมาทั่วบริเวณ หยาดฝนโดนแสงไฟสีขาวที่ส่องประกอบการแสดงอยู่ ทำให้ภาพที่เห็นคล้ายกับมีหยดเงินขนาดเล็กงดงามกำลังหล่นร่วงลงมาจากท้องฟ้า แรกทีเดียวผมนึกว่าเป็นเทคนิคประกอบการแสดง วูบแรกนึกว่าอะไรจะลงทุนกันถึงขนาดนี้ แต่ชั่วอึดใจเดียวผมก็บอกกับตัวเองว่า ฝนกำลังตกจริงๆ แล้วฝนก็ตกต่อไปเรื่อยๆ เป็นการตกแบบโปรยปราย ที่ไม่ทำให้ตกใจหรือเปียกปอน อย่างไรก็ดีภูษามาลาก็เข้าถวายอยู่งานพระกลด และอีกไม่กี่นาทีต่อมาการแสดงก็จบสิ้นลง
คราวนี้เป็นคิวที่ผู้ร่วมงานประเภทที่เป็นกรรมการต้องขึ้นไปรออยู่บนเวทีเพื่อจะได้ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงมหาจุฬาลงกรณ์ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีก็เสด็จพระราชดำเนินขึ้นบนเวที ทรงร้องนำเพลงทั้งสองข้างต้น เม็ดฝนช่วงนี้ตกน้อยลง แต่ก็ยังมองเห็นได้เมื่อแสงไฟสาดส่อง
ครั้นเมื่อทุกคนร่วมกันร้องเพลงสำคัญสองเพลงแล้ว ลำดับต่อไปคือการพระราชทานพระราชดำรัส ทันทีที่เริ่มพระราชทานพระราชดำรัสฝนก็ขาดเม็ด ผมซึ่งนั่งอยู่บนพื้นของเวที กวาดสายตาไปบนท้องฟ้าจนทั่วก็ไม่เห็นเม็ดฝนที่สวยงามคล้ายเม็ดเงินตกลงมาอีกแล้ว เปนอันว่าฝนหยุดสนิทเมื่อเริ่มพระราชดำรัส และหยุดไปจนตลอดงาน
ผมดีใจที่ได้ไปร่วมงานในครั้งวันนี้ และได้พบเห็นเหตุการณ์ที่อยากจะเล่าให้คนรู้จักได้ฟัง และอีกหลายปีข้างหน้า เมื่อใครมาถามถึงงานในค่ำวันนี้ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องแรกที่ผมจะเล่าให้ฟังคือเรื่องฝนตก ตกอย่างน่ามหัศจรรย์และหยุดตกอย่างน่ามหัศจรรย์เช่นกัน สำหรับคนอย่างผมแล้ว ไม่มีคำพูดอื่นนอกจากจะบอกว่า
"เดชะพระบารมี"
ศ.ธงทอง จันทรางศุ
เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนร้อยปีจุฬาฯ
.
27/3/60> เพิ่มเติมจากฟองสนาน จามรจันทร์ นิเทศฯ รุ่น ๑๐ ที่กล่าวถึงเหตุการณ์คืนวันงาน ๑๐๐ ปี จุฬาฯ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อน้องพี่สีชมพูที่ติดภารกิจ ไม่ได้มาร่วมงาน และที่อยู่ต่างจังหวัดได้ทราบ
.
ช่วงที่มีการนำเสนอสื่อผสมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ชุด ‘จุฬาฯ ศตวรรษแห่งความภูมิใจ’ องค์ที่สี่ ‘ดั่งธงชัยเสาหลักของแผ่นดิน’ ซึ่งกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฝนก็ปรอยลงมา แรก ๆ มีผู้เข้าใจว่าเป็นฝนเทียมที่ฝ่ายจัดแสดงสร้างขึ้น เพราะสายฝนบาง ๆ ตัดกับแสงไฟ สวยงามตามแสงสีที่เปลี่ยนไป แต่ฝนปรอยเพิ่มขึ้น จนพนักงานต้องเข้าไปกางพระกลดถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนนิสิตเก่าอาวุโสทั้งหลาย ซึ่งอยู่หลังที่ประทับต่างพร้อมใจกันนั่งอยู่กับที่ ไม่ลุกหนีไปไหน แต่เมื่อการนำเสนอองค์ที่สี่จบลง ฝนก็หยุดโดยพลัน เสียงเฮจากนิสิตเก่าที่อยู่กลางสนามหน้าพระบรมรูป ๒ รัชกาล ดังลั่นโดยมิได้นัดหมาย - จากนั้น ลมเย็นก็โชยเข้ามาไล่ลมร้อนออกไปจากงาน
.
ช่วงสุดท้าย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จขึ้นไปบนเวที เพื่อทรงร้องนำเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลง ‘มหาจุฬาลงกรณ์’ แล้วมีพระราชดำรัสกับนิสิตเก่าที่มาในงาน โดยมีเสียงหัวเราะจากหน้าเวทีเป็นระยะ ๆ อันเนื่องมาจากพระอารมณ์ขัน เช่น ศตวรรษที่ผ่านมา จุฬาฯ เป็นเสาหลักของแผ่นดิน แต่ศตวรรษที่สอง ที่อธิการบดีรายงานว่าจะเผยแพร่พระนามจุฬาลงกรณ์ออกไปในระดับสากลนั้น ท่านคงไม่อยู่ได้เห็นแล้ว - ทรงพระเจริญ
.
(ภาพ: อดิศร วัฒนาวนิช)
ขอบพระคุณ พี่ฟองสนาน จามรจันทร์ ที่มาข้อมูล
~o~o~O~o~o~ จุฬา ๑๐๐ ปี ศตวรรษแห่งความภูมิใจ ~o~o~O~o~o~
ใครที่ไปร่วมงาน จุฬา ๑๐๐ ปี ศตวรรษแห่งความภูมิใจ คงประจักษ์ถึงปาฏิหืาริย์ที่เกิดต่อตาตัวเอง
เมื่อถึงเพลง "ในหลวงของแผ่นดิน" ละอองฝนก็หยาดลงมากระทบใบหน้า เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็พบว่าไม่มีวี่แววพายุ ไม่มีเมฆฝนทะมึน
ไม่มีแม้แต่ลมกรรโชกแรงให้รู้ว่าฝนจะเทลงมา เพื่อนหลายคนที่นั่งอยู่ด้วยกันยังเข้าใจว่าเป็นเอฟเฟ็คส์ของการจัดงาน เพราะได้จังหวะพอดี
กับเพลงอย่างสวยงามเหลือเกิน ในแสงสปอตไลต์ที่สาดส่องเป็นลำ เห็นฝอยฝนเป็นแววระยิบ เหมือนน้ำมนต์โปรยปรายจากสวรรค์
ฝนเริ่มพรำเม็ดมากขึ้น จนพวกเราหยิบร่มขึ้นมากาง ตอนนั้นรู้กันแล้วว่า เป็นน้ำฟ้าไม่ใช่จากมือมนุษย์ ต่างคนต่างมองหน้ากัน ขนลุก น้ำตาไหลพร้อมๆ กัน หันหน้าไปทางพระบรมราชานุสาวรีย์ เปล่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงมหาจุฬาลงกรณ์กันเต็มเสียงด้วยหัวใจเต็มตื้นเกินบรรยาย
พอจบเพลง กันกลับมาทางเวที ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ประทับอยู่ ฝนจางหาย เหลือแววๆ อยู่นิดหน่อย แล้วก็หายสนิทเมื่อมีพระราชดำรัส
เหตุอัศจรรย์ ปาฎิหาริย์ หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจเต็มตื้น อยากจะบันทึกไว้ให้ทุกคนได้อ่าน ให้ลูกให้หลานอ่าน เพราะบัดนี้ให้ประจักษ์แล้วว่า ทรง "พระเอื้ออาทร หลังพรคุ้มครอง" ชาวจุฬา จริงๆ
เช้าตื่นขึ้นมา ได้แรงบันดาลใจเขียนกลอนบทนี้รวดเดียวจบอย่างไม่เคยทำมาได้ อนุญาตให้เผยแพร่ได้ไม่จำกัดค่ะ
แผ่สาขาไปทุกยุค ทุกแห่งหน
ครบศตวรรษที่พระภูวดล
วงศ์จักรีเจ้าสกลสถาปนา
มาพร้อมใจชุมนุมกันในวันนี้
เพื่อถวายความภักดีกันถ้วนหน้า
โอ้ในหลวงของแผ่นดินปิ่นพารา
เสด็จสู่ชั้นฟ้าเหลืออาลัย
พลันหยาดแก้วแววระยิบดังทิพย์ส่อง
โปรยละอองลงมาจากฟ้าใส
ดังน้ำมนต์พรมพร่างลงกลางใจ
ปิติจนชลนัยน์ไหลทั่วกัน
โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว
ทรงรับรู้ด้วยแล้วหรือไรนั่น
ชาวจุฬาภักดีองค์พระทรงธรรม์
ขอเทิดทูนสถาบันเท่าดวงใจ
จะเชิดชูพระเกียรติยศปรากฏยิ่ง
ทำทุกสิ่งให้จุฬาค่ายิ่งใหญ่
ตราบใดมีธรณินแผ่นดินไทย
นามจุฬาจะคู่ไปให้นิรันดร์
ว.วินิจฉัยกุล
ศิลปินแห่งชาติ ปี 2547
ค่ำวันนี้ขณะที่ผมนั่งชมการแสดงหน้าที่นั่ง เนื่องในโอกาสงานฉลองวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครบ 100 ปี อยู่ที่สนามหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ การแสดงและการขับร้องบนเวทีกำลังกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า โดยใช้เพลง"ในหลวงของเรา"เดินเรื่อง เมื่อเนื้อเพลงถึงตอนที่ว่า
"...หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน ทุกข์ร้อนจะพลันสลาย ทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน..."
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวมตึงแต่เย็น ผมรู้สึกว่ามีหยดน้ำตกลงมาต้องผิวกาย ครั้นแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นหยาดน้ำฝนเม็ดไม่ใหญ่ไม่เล็กตกกระจายห่างๆลงมาทั่วบริเวณ หยาดฝนโดนแสงไฟสีขาวที่ส่องประกอบการแสดงอยู่ ทำให้ภาพที่เห็นคล้ายกับมีหยดเงินขนาดเล็กงดงามกำลังหล่นร่วงลงมาจากท้องฟ้า แรกทีเดียวผมนึกว่าเป็นเทคนิคประกอบการแสดง วูบแรกนึกว่าอะไรจะลงทุนกันถึงขนาดนี้ แต่ชั่วอึดใจเดียวผมก็บอกกับตัวเองว่า ฝนกำลังตกจริงๆ แล้วฝนก็ตกต่อไปเรื่อยๆ เป็นการตกแบบโปรยปราย ที่ไม่ทำให้ตกใจหรือเปียกปอน อย่างไรก็ดีภูษามาลาก็เข้าถวายอยู่งานพระกลด และอีกไม่กี่นาทีต่อมาการแสดงก็จบสิ้นลง
คราวนี้เป็นคิวที่ผู้ร่วมงานประเภทที่เป็นกรรมการต้องขึ้นไปรออยู่บนเวทีเพื่อจะได้ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงมหาจุฬาลงกรณ์ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีก็เสด็จพระราชดำเนินขึ้นบนเวที ทรงร้องนำเพลงทั้งสองข้างต้น เม็ดฝนช่วงนี้ตกน้อยลง แต่ก็ยังมองเห็นได้เมื่อแสงไฟสาดส่อง
ครั้นเมื่อทุกคนร่วมกันร้องเพลงสำคัญสองเพลงแล้ว ลำดับต่อไปคือการพระราชทานพระราชดำรัส ทันทีที่เริ่มพระราชทานพระราชดำรัสฝนก็ขาดเม็ด ผมซึ่งนั่งอยู่บนพื้นของเวที กวาดสายตาไปบนท้องฟ้าจนทั่วก็ไม่เห็นเม็ดฝนที่สวยงามคล้ายเม็ดเงินตกลงมาอีกแล้ว เปนอันว่าฝนหยุดสนิทเมื่อเริ่มพระราชดำรัส และหยุดไปจนตลอดงาน
ผมดีใจที่ได้ไปร่วมงานในครั้งวันนี้ และได้พบเห็นเหตุการณ์ที่อยากจะเล่าให้คนรู้จักได้ฟัง และอีกหลายปีข้างหน้า เมื่อใครมาถามถึงงานในค่ำวันนี้ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องแรกที่ผมจะเล่าให้ฟังคือเรื่องฝนตก ตกอย่างน่ามหัศจรรย์และหยุดตกอย่างน่ามหัศจรรย์เช่นกัน สำหรับคนอย่างผมแล้ว ไม่มีคำพูดอื่นนอกจากจะบอกว่า
"เดชะพระบารมี"
ศ.ธงทอง จันทรางศุ
เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนร้อยปีจุฬาฯ
.
27/3/60> เพิ่มเติมจากฟองสนาน จามรจันทร์ นิเทศฯ รุ่น ๑๐ ที่กล่าวถึงเหตุการณ์คืนวันงาน ๑๐๐ ปี จุฬาฯ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อน้องพี่สีชมพูที่ติดภารกิจ ไม่ได้มาร่วมงาน และที่อยู่ต่างจังหวัดได้ทราบ
.
ช่วงที่มีการนำเสนอสื่อผสมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ชุด ‘จุฬาฯ ศตวรรษแห่งความภูมิใจ’ องค์ที่สี่ ‘ดั่งธงชัยเสาหลักของแผ่นดิน’ ซึ่งกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฝนก็ปรอยลงมา แรก ๆ มีผู้เข้าใจว่าเป็นฝนเทียมที่ฝ่ายจัดแสดงสร้างขึ้น เพราะสายฝนบาง ๆ ตัดกับแสงไฟ สวยงามตามแสงสีที่เปลี่ยนไป แต่ฝนปรอยเพิ่มขึ้น จนพนักงานต้องเข้าไปกางพระกลดถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนนิสิตเก่าอาวุโสทั้งหลาย ซึ่งอยู่หลังที่ประทับต่างพร้อมใจกันนั่งอยู่กับที่ ไม่ลุกหนีไปไหน แต่เมื่อการนำเสนอองค์ที่สี่จบลง ฝนก็หยุดโดยพลัน เสียงเฮจากนิสิตเก่าที่อยู่กลางสนามหน้าพระบรมรูป ๒ รัชกาล ดังลั่นโดยมิได้นัดหมาย - จากนั้น ลมเย็นก็โชยเข้ามาไล่ลมร้อนออกไปจากงาน
.
ช่วงสุดท้าย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จขึ้นไปบนเวที เพื่อทรงร้องนำเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลง ‘มหาจุฬาลงกรณ์’ แล้วมีพระราชดำรัสกับนิสิตเก่าที่มาในงาน โดยมีเสียงหัวเราะจากหน้าเวทีเป็นระยะ ๆ อันเนื่องมาจากพระอารมณ์ขัน เช่น ศตวรรษที่ผ่านมา จุฬาฯ เป็นเสาหลักของแผ่นดิน แต่ศตวรรษที่สอง ที่อธิการบดีรายงานว่าจะเผยแพร่พระนามจุฬาลงกรณ์ออกไปในระดับสากลนั้น ท่านคงไม่อยู่ได้เห็นแล้ว - ทรงพระเจริญ
.
(ภาพ: อดิศร วัฒนาวนิช)
ขอบพระคุณ พี่ฟองสนาน จามรจันทร์ ที่มาข้อมูล