จขกท เป็นเจ้าของกิจการให้บริการขนาดเล็กมีพนักงานประมาณ 10 คนรวมผู้บริหารและ จขกท
แต่ให้น้องชาย 2 คนคือ A และ B คุมการบริหารงานประจำทั้งหมดส่วน จขกท ให้คำปรึกษาภาพรวม
หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจเริ่มตกต่ำจากปัญหาเศรษฐกิจและปรับตัวไม่ัทันเทคโนโลยี่เหมือนกับหลายบริษัทที่จำต้องปิดตัวลง
จนกระทั่งปลายปี 2558 ยอดขายตกต่อเนื่องกว่า 60-70% บริษัทตัดสินใจจะเลิกกิจการเนื่องจากผลขาดทุนที่ต่อเนื่อง
และภาระหนี้สินที่พอกพูนจนทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินที่จะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนและคชจ.อื่น ๆ หากยังฝืนดำเนินธุรกิจต่อ
ในตอนนั้นบริษัทได้ประชุมพนักงานและมีหนังสือแจ้งพนักงานถึงสถานการณ์ดังกล่าวของบริษัท
พร้อมกับให้พนักงานเซ็นรับทราบเป็นลายลักษณ์อักษรทุกคนยกเว้น น.ส. โจโฉ ที่ไม่ยอมเซ็น
ในจดหมายยังระบุว่าจะให้เวลาพนักงานหางานใหม่ 3 เดือนโดยในระหว่างนี้พนักงานสามารถลางาน
ไปสัมภาษณ์โดยได้รับเงินเดือนเต็มเป็นปกติจนกว่าจะได้งาน
ปรากฏว่าก่อนครบกำหนด 3 เดือนบริษัทสามารถหาแหล่งเงินกู้จากญาติเพื่อยื้อชีวิตธุรกิจต่อได้อีก 1 ปี
จึงยังไม่ได้ปิดกิจการตามประกาศโดยหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและบริษัทจะกลับมาทำกำไรได้อีกเหมือนในอดีต
ปัจจุบันธุรกิจยังไม่กระเตื้องขึ้นและบริษัทกลับมีหนี้สิน (ทั้งในและนอกระบบ) เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ปีที่แล้ว (2559) มีพนักงานได้งานใหม่ลาออกไป 1 คน ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้เล็กน้อย
จนปลายปี 2559 บริษัทแจ้งพนักงานอีกครั้งว่าจะปิดกิจการภายใน 3 เดือน (มีผลปลาย ก.พ. 60 ที่ผ่านมา)
และขอให้พนักงานเซ็นรับทราบและให้พนักงานหางานใหม่เช่นดียวกับที่เคยแจ้งพนักงานเมื่อปีที่แล้ว
ครั้งนี้พนักงานทุกคนรวมทั้งน.ส. โจโฉ ยินยอมเซ็นรับทราบ (ปีที่แล้ว น.ส. โจโฉไม่ยอมเซ็น)
จากประกาศแจ้งข้างต้นทำให้ต้นปีนี้ (2560) มีพนักงานได้งานใหม่และลาออกไปแล้ว 3 คน
การลาออกของพนักงานข้างต้นช่วยลดภาระเงินเดือนได้ประมาณ 1 แสนบาทต่อเดือน
บริษัทจึงคิดจะสู้ต่ออีกจนถึงเฮือกสุดท้ายและได้พยายามหาทางลดค่าใช้จ่าย
และอุดรูรั่วทุกทางให้มากที่สุดเพื่อความอยู่รอดของบริษัทต่อไป
การเลิกจ้างพนักงานที่ทำงานด้วยกันมานานจะเป็นทางเลือกสุดท้ายและที่ผ่านมาเกือบปีครึ่ง
บริษัทยังคงรับภาระค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้งทั้งค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าดอกเบี้ยและค่าดำเนินงานอื่น ๆ
ช่วงต้นปี 2560 น้องชายคนโตของ จขกท คือนาย A ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจัดการและเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของน.ส. โจโฉ
ได้เรียกน.ส. โจโฉมาคุยขอลดเงินเดือนจาก 25,000 บาทเหลือ 15,000 บาทเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท
และจะจ่ายเงินเพิ่มพิเศษเป็นค่าคอมมิชชั่นโครงการต่าง ๆ ทุกครั้งที่สามารถปิดโครงการได้
น.ส. โจโฉ ไม่ยินยอม นาย A จึงเสนอว่าจะเสนองานใหม่ให้เธอโดยจะแนะนำต่อให้กับบริษัทลูกค้าที่ใช้บริการอยู่
เธอตอบรับข้อเสนอและยินยอมให้ส่งชื่อและคุณสมบัติของเธอไปให้ลูกค้าของบริษัทพิจารณาเกือบ 10 รายตั้งแต่ต้นปี
มีลูกค้าบางรายสนใจนัดสัมภาษณ์แต่ยังไม่พิจารณารับเข้าทำงานด้วย
ต่อมาต้นเดือนกุมภาพันธ์ น.ส. โจโฉ แจ้งกับนาย A ผู้บังคับบัญชาว่าเธอขอลาออกจากงาน
โดยให้เหตุผลว่าเครียดและต้องการพักเพื่อไปนั่งสมาธิตามที่เธอชอบและทำเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา
น.ส. โจโฉ เป็นคนโสด อายุประมาณ 50 ปี มีอายุงานในบริษัท 10 ปี
นาย A พยายามขอให้เธออยู่ช่วยงานต่อแต่น.ส. โจโฉ ยืนยันขอลาออก (แต่ไม่ยอมเซ็นใบลาออก)
นาย A จึงส่งเรื่องต่อไปให้น้องชายคนเล็กคือนาย B ซึ่งดูแลเรื่องการเงินการบริหาร
นาย B ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหุ้นส่วนแต่ไม่มีอำนาจลงนามได้ทำเรื่องเบิกจ่ายเงินเดือนงวดสุดท้าย
และเงินสะสมกองทุนเลี้ยงชีพรวมทั้งส่วนที่เป็นเงินสมทบของบริษัทมอบให้น.ส. โจโฉ ไปแล้วในวันที่ลาออก
น.ส. โจโฉได้ขอร้องให้นาย B ทำเรื่องแจ้งสำนักประกันสังคมว่าตนถูกเลิกจ้างแทนการลาออก
โดยให้เหตุผลว่าตนอายุมากแล้วกว่าจะหางานได้คงอีกนาน ฯลฯ
ขอให้เห็นแก่ตนโดยการแจ้งเลิกจ้างเพื่อจะได้ขอรับเงินชดเชยจากประกันสังคมฯ แทนการแจ้งลาออก
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ประกอบกับเป็นคนที่จิตใจดีรักพนักงานและสงสาร น.ส. โจโฉ
นาย B จึงปฏิบัติตามคำขอของ น.ส. โจโฉ ทุกประการ
หลังจากลาออกแ้ล้ว น.ส. โจโฉ ได้ไปสำนักประกันสังคมเพื่อติดต่อขอรับเงินชดเชย
จากนั้นนาย B ได้รับการโทรติดต่อจากสำนักประกันสังคมให้ส่งหนังสือแก้ไขสาเหตุการลาออก
นาย B รู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงได้ทำหนังสือถึงสำนักงานประกันสังคมว่าทำบันทึกสาเหตุการลาออก
ของ น.ส. โจโฉ ผิดพลาดและขอแก้ไขจาก ให้ออก เป็น เลิกจ้าง
จากนั้นน.ส. โจโฉ ได้ติดต่อ นางสาว ซื่อสัตย์ พนักงานคนหนึ่งในบริษัท
ให้ช่วยออกหนังสือรับรองการทำงานให้ตนเพื่อจะนำไปใช้ประกอบการสมัครงาน
ด้วยความซื่อสมชื่อ นางสาว ซื่อสัตย์ ได้ร่างจดหมายและส่งให้ น.ส. โจโฉ ทางอีเมล์เพื่อตรวจสอบ
น.ส. โจโฉ ส่งเมล์มาให้เพิ่มเติมแก้ไขหลายจุดและมีหลักฐานการโต้ตอบทางอีเมล์
แต่ก่อนที่จะส่งต้นฉบับจดหมายรับรองการทำงานไปให้น.ส. โจโฉทางไปรษณีย์ตามนัด
บริษัทได้รับหนังสือจากสำนักงานคุ้มครองแรงงานขอเชิญพบพนักงานตรวจแรงงานความว่า
น.ส. โจโฉ ได้ยื่นคำร้องว่าบริษัทเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย!!
ในช่วงที่ได้รับจดหมายจากสำนักแรงงานเป็นช่วงเดียวกับที่บริษัทลูกค้าที่บริษัทแนะนำน.ส. โจโฉไปสมัครงาน
ได้ตอบรับให้ น.ส. โจโฉ เข้าเริ่มทำงานกับบริษัทลูกค้าได้ทันทีซึ่งได้เริ่มทำงานแล้วโดยได้รับเงินเดือน 35,000 บาท
บริษัทได้ติดต่อน.ส. โจโฉ เพื่อขอร้องให้ถอนคำร้องกับสำนักแรงงานเพราะได้งานแล้ว
และจากวันที่ลาออกจากบริษัทจนถึงวันที่ได้งานใหม่กับบริษัทลูกค้าที่บริษัทแนะนำให้ห่างกันเพียง 3 สัปดาห์
หรือเท่ากับขาดรายได้ไปเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น แต่ได้รับคำปฏิเสธจาก น.ส. โจโฉ อย่างไม่ไยดี
จขกท พบว่าน้องชายทั้ง 2 คนคือ นาย A และ นาย B เป็นหัวหน้างานที่ใจดีและรักลูกน้องแบบใช้อารมณ์เหนือเหตุผล
มีการปล่อยปละละเลยลูกจ้างคนนี้มากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทำให้เกิดช่องโหว่ที่ทำให้ น.ส. โจโฉ ใช้ประโยชน์ในการวางแผนสร้างเรื่องราวปัญหาข้างต้น
ไปสู่การร้องเรียนสำนักแรงงานว่าถูกเลิกจ้างเพื่อขอค่าชดเชยโดยการวางแผนขอลาออกเอง
แล้วขอร้องให้นาย B แจ้งว่าเลิกจ้าง ขอหนังสือรับรองการทำงาน จนถึงการร้องเรียนสำนักแรงงานดังกล่าว
จขกท จะต้องเตรียมเอกสารเสนอข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้สำนักงานแรงงานสิ้นเดือนนี้แล้ว
จึงขอเล่ากรณีข้างต้นเพื่อขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้ที่มีประสบการณ์
เพื่อว่าบริษัทจะสามารถเตรียมหลักฐานที่จะเป็นประโยชน์ในกรณีที่ น.ส. โจโฉ ไม่สมควรได้รับค่าชดเชย
เพื่อนำไปยื่นแสดงความบริสุทธิ์ให้กับสำนักแรงงานว่าไม่ได้เป็นการเลิกจ้างตามข้อกล่าวอ้าง
แต่เป็นความสมัครใจลาออกเองแถมยังมีการเตรียมการวางแผนสร้างเรื่องเท็จว่าถูกเลิกจ้างเพื่อขอค่าชดเชยค่ะ
ขอเพิ่มเติมข้อมูลของ น.ส. โจโฉ เผื่อว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือหลักฐานที่เป็นประโยชน์
ว่าน.ส. โจโฉ เป็นลูกจ้างที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมและไม่สมควรเรียกร้องค่าชดเชยจากบริษัท
1. บริษัทได้รับการร้องเรียนและคำตำหนิจากลูกค้าเกี่ยวกับการบริการที่ไม่เหมาะสมของ น.ส. โจโฉ เสมอ
มีทั้งที่เป็นวาจาและหลักฐานทางอีเมล์ที่รวบรวมได้ 3 ฉบับ
ทุกครั้งจะมีการว่ากล่าวตักเตือนทั้งด้วยวาจาจากผู้บังคับบัญชาและลายลักษณ์อักษรแต่น.ส. โจโฉ
ปฏิเสธการเซ็นรับทราบเสมอจนต้องให้พนักงาน 2 คนเข้ารับฟังเป็นพยานและเซ็นรับทราบ
พฤติกรรมและการบริการต่อลูกค้าที่ไม่เหมาะสมตลอดมาของ น. ส. โจโฉ อาจมีส่วนทำให้บริษัทเสียลูกค้า
ทั้งทางตรงและทางอ้อมจนเป็นเหตุให้ยอดขายตกอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ
และการปรับตัวไม่ทันตามเทคโนโยลี่ก็เป็นได้
2. ที่ผ่านมา น.ส. โจโฉ มีการลงเวลาทำงานเป็นปกติยกเว้นเดือนสุดท้ายก่อนลาออกไม่มีการเซ็นลงเวลา
โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่มีใครทราบเพราะกว่าจะทราบก็ตอนที่ลาออกไปแล้ว เป็นข้อน่าสงสัยและสันณิฐานได้ว่า
ตั้งใจเตรียมการวางแผนลาออก และสร้างเรื่องราวเพื่อร้องเรียนขอค่าชดเชยหรือไม่
3. น.ส. โจโฉ เป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยไพเราะ ห้วน ห้าว แข็งกระด้าง ไม่มีน้ำใจต่อผู้ร่วมงาน
และมักไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของบริษัท จึงไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานและทำให้
บรรยากาศในที่ทำงานเสีย จนเป็นที่เอือมระอาของเพื่อนร่วมงานทุกคนมาโดยตลอด
4. น.ส. โจโฉ เคยมีประวัติเป็นผู้ป่วยทางจิต เมื่อ 2 ปีที่แล้วเคยใช้อีเมล์ที่มีชื่อบริษัทเขียนคุย
กับบุคคลภายนอกในเวลาทำงานเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเพศ พนักงานเพิ่งพบอีเมล์หลังจากเธอลาออก
ขณะนี้เธอยังใช้อีเมล์ที่มีชื่อบริษัทกับชื่อของเธอแม้จะเป็นฟรีอีเมล์ เช่น Email: น.ส. โจโฉ+ชื่อบริษัท@gmail.com
บริษัทยังไม่ได้ดำเนินการแจ้งข้อหากับเธอในเรื่องนี้ เพราะสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงของบริษัท
อีกประการไม่แ่น่ใจว่าจะขอให้เธอยกเลิกชื่อ Email นี้ได้หรือไม่เพราะเกรงเธอจะใช้ชื่อ Email ที่มีชื่อบริษัทพ่วง
สร้างภาพลักษณ์ที่เสียหายให้กับบริษัทได้
การร้องเรียนของ น.ส. โจโฉ ในครั้งนี้ทำให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนช็อกกับการกระทำของเธอเป็นอย่างมาก
และพนักงานทุกคนพร้อมใจกันจะไปเป็นพยานแจ้งข้อเท็จจริงให้เจ้าหน้าที่ทราบหากทำได้และมีการสืบพยาน
เพราะพนักงานทุกคนรู้จักนิสัยของ น.ส. โจโฉ ดีว่าเป็นผู้ที่มีความประพฤติและทัศนคติทางด้านลบ
ที่อาจจะทำให้บริษัทเสียหายได้เสมอ
ขออภัยที่ต้องเขียนอธิบายยาวและอาจจะเขียนวกวนไปบ้างนะคะ
และขอขอบพระคุณสำหรับความคิดเห็นและคำแนะนำจากทุกท่านด้วยค่ะ
ลูกจ้างวางแผนสร้างเรื่องเท็จฟ้องถูกเลิกจ้างเพื่อขอค่าชดเชยค่ะ
แต่ให้น้องชาย 2 คนคือ A และ B คุมการบริหารงานประจำทั้งหมดส่วน จขกท ให้คำปรึกษาภาพรวม
หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจเริ่มตกต่ำจากปัญหาเศรษฐกิจและปรับตัวไม่ัทันเทคโนโลยี่เหมือนกับหลายบริษัทที่จำต้องปิดตัวลง
จนกระทั่งปลายปี 2558 ยอดขายตกต่อเนื่องกว่า 60-70% บริษัทตัดสินใจจะเลิกกิจการเนื่องจากผลขาดทุนที่ต่อเนื่อง
และภาระหนี้สินที่พอกพูนจนทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินที่จะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนและคชจ.อื่น ๆ หากยังฝืนดำเนินธุรกิจต่อ
ในตอนนั้นบริษัทได้ประชุมพนักงานและมีหนังสือแจ้งพนักงานถึงสถานการณ์ดังกล่าวของบริษัท
พร้อมกับให้พนักงานเซ็นรับทราบเป็นลายลักษณ์อักษรทุกคนยกเว้น น.ส. โจโฉ ที่ไม่ยอมเซ็น
ในจดหมายยังระบุว่าจะให้เวลาพนักงานหางานใหม่ 3 เดือนโดยในระหว่างนี้พนักงานสามารถลางาน
ไปสัมภาษณ์โดยได้รับเงินเดือนเต็มเป็นปกติจนกว่าจะได้งาน
ปรากฏว่าก่อนครบกำหนด 3 เดือนบริษัทสามารถหาแหล่งเงินกู้จากญาติเพื่อยื้อชีวิตธุรกิจต่อได้อีก 1 ปี
จึงยังไม่ได้ปิดกิจการตามประกาศโดยหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและบริษัทจะกลับมาทำกำไรได้อีกเหมือนในอดีต
ปัจจุบันธุรกิจยังไม่กระเตื้องขึ้นและบริษัทกลับมีหนี้สิน (ทั้งในและนอกระบบ) เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ปีที่แล้ว (2559) มีพนักงานได้งานใหม่ลาออกไป 1 คน ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้เล็กน้อย
จนปลายปี 2559 บริษัทแจ้งพนักงานอีกครั้งว่าจะปิดกิจการภายใน 3 เดือน (มีผลปลาย ก.พ. 60 ที่ผ่านมา)
และขอให้พนักงานเซ็นรับทราบและให้พนักงานหางานใหม่เช่นดียวกับที่เคยแจ้งพนักงานเมื่อปีที่แล้ว
ครั้งนี้พนักงานทุกคนรวมทั้งน.ส. โจโฉ ยินยอมเซ็นรับทราบ (ปีที่แล้ว น.ส. โจโฉไม่ยอมเซ็น)
จากประกาศแจ้งข้างต้นทำให้ต้นปีนี้ (2560) มีพนักงานได้งานใหม่และลาออกไปแล้ว 3 คน
การลาออกของพนักงานข้างต้นช่วยลดภาระเงินเดือนได้ประมาณ 1 แสนบาทต่อเดือน
บริษัทจึงคิดจะสู้ต่ออีกจนถึงเฮือกสุดท้ายและได้พยายามหาทางลดค่าใช้จ่าย
และอุดรูรั่วทุกทางให้มากที่สุดเพื่อความอยู่รอดของบริษัทต่อไป
การเลิกจ้างพนักงานที่ทำงานด้วยกันมานานจะเป็นทางเลือกสุดท้ายและที่ผ่านมาเกือบปีครึ่ง
บริษัทยังคงรับภาระค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้งทั้งค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าดอกเบี้ยและค่าดำเนินงานอื่น ๆ
ช่วงต้นปี 2560 น้องชายคนโตของ จขกท คือนาย A ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจัดการและเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของน.ส. โจโฉ
ได้เรียกน.ส. โจโฉมาคุยขอลดเงินเดือนจาก 25,000 บาทเหลือ 15,000 บาทเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท
และจะจ่ายเงินเพิ่มพิเศษเป็นค่าคอมมิชชั่นโครงการต่าง ๆ ทุกครั้งที่สามารถปิดโครงการได้
น.ส. โจโฉ ไม่ยินยอม นาย A จึงเสนอว่าจะเสนองานใหม่ให้เธอโดยจะแนะนำต่อให้กับบริษัทลูกค้าที่ใช้บริการอยู่
เธอตอบรับข้อเสนอและยินยอมให้ส่งชื่อและคุณสมบัติของเธอไปให้ลูกค้าของบริษัทพิจารณาเกือบ 10 รายตั้งแต่ต้นปี
มีลูกค้าบางรายสนใจนัดสัมภาษณ์แต่ยังไม่พิจารณารับเข้าทำงานด้วย
ต่อมาต้นเดือนกุมภาพันธ์ น.ส. โจโฉ แจ้งกับนาย A ผู้บังคับบัญชาว่าเธอขอลาออกจากงาน
โดยให้เหตุผลว่าเครียดและต้องการพักเพื่อไปนั่งสมาธิตามที่เธอชอบและทำเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา
น.ส. โจโฉ เป็นคนโสด อายุประมาณ 50 ปี มีอายุงานในบริษัท 10 ปี
นาย A พยายามขอให้เธออยู่ช่วยงานต่อแต่น.ส. โจโฉ ยืนยันขอลาออก (แต่ไม่ยอมเซ็นใบลาออก)
นาย A จึงส่งเรื่องต่อไปให้น้องชายคนเล็กคือนาย B ซึ่งดูแลเรื่องการเงินการบริหาร
นาย B ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหุ้นส่วนแต่ไม่มีอำนาจลงนามได้ทำเรื่องเบิกจ่ายเงินเดือนงวดสุดท้าย
และเงินสะสมกองทุนเลี้ยงชีพรวมทั้งส่วนที่เป็นเงินสมทบของบริษัทมอบให้น.ส. โจโฉ ไปแล้วในวันที่ลาออก
น.ส. โจโฉได้ขอร้องให้นาย B ทำเรื่องแจ้งสำนักประกันสังคมว่าตนถูกเลิกจ้างแทนการลาออก
โดยให้เหตุผลว่าตนอายุมากแล้วกว่าจะหางานได้คงอีกนาน ฯลฯ
ขอให้เห็นแก่ตนโดยการแจ้งเลิกจ้างเพื่อจะได้ขอรับเงินชดเชยจากประกันสังคมฯ แทนการแจ้งลาออก
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ประกอบกับเป็นคนที่จิตใจดีรักพนักงานและสงสาร น.ส. โจโฉ
นาย B จึงปฏิบัติตามคำขอของ น.ส. โจโฉ ทุกประการ
หลังจากลาออกแ้ล้ว น.ส. โจโฉ ได้ไปสำนักประกันสังคมเพื่อติดต่อขอรับเงินชดเชย
จากนั้นนาย B ได้รับการโทรติดต่อจากสำนักประกันสังคมให้ส่งหนังสือแก้ไขสาเหตุการลาออก
นาย B รู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงได้ทำหนังสือถึงสำนักงานประกันสังคมว่าทำบันทึกสาเหตุการลาออก
ของ น.ส. โจโฉ ผิดพลาดและขอแก้ไขจาก ให้ออก เป็น เลิกจ้าง
จากนั้นน.ส. โจโฉ ได้ติดต่อ นางสาว ซื่อสัตย์ พนักงานคนหนึ่งในบริษัท
ให้ช่วยออกหนังสือรับรองการทำงานให้ตนเพื่อจะนำไปใช้ประกอบการสมัครงาน
ด้วยความซื่อสมชื่อ นางสาว ซื่อสัตย์ ได้ร่างจดหมายและส่งให้ น.ส. โจโฉ ทางอีเมล์เพื่อตรวจสอบ
น.ส. โจโฉ ส่งเมล์มาให้เพิ่มเติมแก้ไขหลายจุดและมีหลักฐานการโต้ตอบทางอีเมล์
แต่ก่อนที่จะส่งต้นฉบับจดหมายรับรองการทำงานไปให้น.ส. โจโฉทางไปรษณีย์ตามนัด
บริษัทได้รับหนังสือจากสำนักงานคุ้มครองแรงงานขอเชิญพบพนักงานตรวจแรงงานความว่า
น.ส. โจโฉ ได้ยื่นคำร้องว่าบริษัทเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย!!
ในช่วงที่ได้รับจดหมายจากสำนักแรงงานเป็นช่วงเดียวกับที่บริษัทลูกค้าที่บริษัทแนะนำน.ส. โจโฉไปสมัครงาน
ได้ตอบรับให้ น.ส. โจโฉ เข้าเริ่มทำงานกับบริษัทลูกค้าได้ทันทีซึ่งได้เริ่มทำงานแล้วโดยได้รับเงินเดือน 35,000 บาท
บริษัทได้ติดต่อน.ส. โจโฉ เพื่อขอร้องให้ถอนคำร้องกับสำนักแรงงานเพราะได้งานแล้ว
และจากวันที่ลาออกจากบริษัทจนถึงวันที่ได้งานใหม่กับบริษัทลูกค้าที่บริษัทแนะนำให้ห่างกันเพียง 3 สัปดาห์
หรือเท่ากับขาดรายได้ไปเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น แต่ได้รับคำปฏิเสธจาก น.ส. โจโฉ อย่างไม่ไยดี
จขกท พบว่าน้องชายทั้ง 2 คนคือ นาย A และ นาย B เป็นหัวหน้างานที่ใจดีและรักลูกน้องแบบใช้อารมณ์เหนือเหตุผล
มีการปล่อยปละละเลยลูกจ้างคนนี้มากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทำให้เกิดช่องโหว่ที่ทำให้ น.ส. โจโฉ ใช้ประโยชน์ในการวางแผนสร้างเรื่องราวปัญหาข้างต้น
ไปสู่การร้องเรียนสำนักแรงงานว่าถูกเลิกจ้างเพื่อขอค่าชดเชยโดยการวางแผนขอลาออกเอง
แล้วขอร้องให้นาย B แจ้งว่าเลิกจ้าง ขอหนังสือรับรองการทำงาน จนถึงการร้องเรียนสำนักแรงงานดังกล่าว
จขกท จะต้องเตรียมเอกสารเสนอข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้สำนักงานแรงงานสิ้นเดือนนี้แล้ว
จึงขอเล่ากรณีข้างต้นเพื่อขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้ที่มีประสบการณ์
เพื่อว่าบริษัทจะสามารถเตรียมหลักฐานที่จะเป็นประโยชน์ในกรณีที่ น.ส. โจโฉ ไม่สมควรได้รับค่าชดเชย
เพื่อนำไปยื่นแสดงความบริสุทธิ์ให้กับสำนักแรงงานว่าไม่ได้เป็นการเลิกจ้างตามข้อกล่าวอ้าง
แต่เป็นความสมัครใจลาออกเองแถมยังมีการเตรียมการวางแผนสร้างเรื่องเท็จว่าถูกเลิกจ้างเพื่อขอค่าชดเชยค่ะ
ขอเพิ่มเติมข้อมูลของ น.ส. โจโฉ เผื่อว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือหลักฐานที่เป็นประโยชน์
ว่าน.ส. โจโฉ เป็นลูกจ้างที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมและไม่สมควรเรียกร้องค่าชดเชยจากบริษัท
1. บริษัทได้รับการร้องเรียนและคำตำหนิจากลูกค้าเกี่ยวกับการบริการที่ไม่เหมาะสมของ น.ส. โจโฉ เสมอ
มีทั้งที่เป็นวาจาและหลักฐานทางอีเมล์ที่รวบรวมได้ 3 ฉบับ
ทุกครั้งจะมีการว่ากล่าวตักเตือนทั้งด้วยวาจาจากผู้บังคับบัญชาและลายลักษณ์อักษรแต่น.ส. โจโฉ
ปฏิเสธการเซ็นรับทราบเสมอจนต้องให้พนักงาน 2 คนเข้ารับฟังเป็นพยานและเซ็นรับทราบ
พฤติกรรมและการบริการต่อลูกค้าที่ไม่เหมาะสมตลอดมาของ น. ส. โจโฉ อาจมีส่วนทำให้บริษัทเสียลูกค้า
ทั้งทางตรงและทางอ้อมจนเป็นเหตุให้ยอดขายตกอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ
และการปรับตัวไม่ทันตามเทคโนโยลี่ก็เป็นได้
2. ที่ผ่านมา น.ส. โจโฉ มีการลงเวลาทำงานเป็นปกติยกเว้นเดือนสุดท้ายก่อนลาออกไม่มีการเซ็นลงเวลา
โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่มีใครทราบเพราะกว่าจะทราบก็ตอนที่ลาออกไปแล้ว เป็นข้อน่าสงสัยและสันณิฐานได้ว่า
ตั้งใจเตรียมการวางแผนลาออก และสร้างเรื่องราวเพื่อร้องเรียนขอค่าชดเชยหรือไม่
3. น.ส. โจโฉ เป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยไพเราะ ห้วน ห้าว แข็งกระด้าง ไม่มีน้ำใจต่อผู้ร่วมงาน
และมักไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของบริษัท จึงไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานและทำให้
บรรยากาศในที่ทำงานเสีย จนเป็นที่เอือมระอาของเพื่อนร่วมงานทุกคนมาโดยตลอด
4. น.ส. โจโฉ เคยมีประวัติเป็นผู้ป่วยทางจิต เมื่อ 2 ปีที่แล้วเคยใช้อีเมล์ที่มีชื่อบริษัทเขียนคุย
กับบุคคลภายนอกในเวลาทำงานเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเพศ พนักงานเพิ่งพบอีเมล์หลังจากเธอลาออก
ขณะนี้เธอยังใช้อีเมล์ที่มีชื่อบริษัทกับชื่อของเธอแม้จะเป็นฟรีอีเมล์ เช่น Email: น.ส. โจโฉ+ชื่อบริษัท@gmail.com
บริษัทยังไม่ได้ดำเนินการแจ้งข้อหากับเธอในเรื่องนี้ เพราะสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงของบริษัท
อีกประการไม่แ่น่ใจว่าจะขอให้เธอยกเลิกชื่อ Email นี้ได้หรือไม่เพราะเกรงเธอจะใช้ชื่อ Email ที่มีชื่อบริษัทพ่วง
สร้างภาพลักษณ์ที่เสียหายให้กับบริษัทได้
การร้องเรียนของ น.ส. โจโฉ ในครั้งนี้ทำให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนช็อกกับการกระทำของเธอเป็นอย่างมาก
และพนักงานทุกคนพร้อมใจกันจะไปเป็นพยานแจ้งข้อเท็จจริงให้เจ้าหน้าที่ทราบหากทำได้และมีการสืบพยาน
เพราะพนักงานทุกคนรู้จักนิสัยของ น.ส. โจโฉ ดีว่าเป็นผู้ที่มีความประพฤติและทัศนคติทางด้านลบ
ที่อาจจะทำให้บริษัทเสียหายได้เสมอ
ขออภัยที่ต้องเขียนอธิบายยาวและอาจจะเขียนวกวนไปบ้างนะคะ
และขอขอบพระคุณสำหรับความคิดเห็นและคำแนะนำจากทุกท่านด้วยค่ะ