อุทาหรณ์เรื่อง: โจรสายพานที่เราทำอะไรไม่ได้เลย

วันนี้พอดีมีเวลาอยากจะขอแชร์เรื่องโจรสายพานที่ผมได้ประสบมาเมื่อวันที่ 19 Feb 2017 ที่ผ่านมา

ผมได้นั่งเครื่องบินกลับมาจากกระบี่ด้วยสายการบิน Thai Smile Airway เที่ยวบินที่ WE 248 เป็นเที่ยวสุดท้ายที่เดินทางจากจังหวัดกระบี่มากรุงเทพ ตอนแรกก็ไม่ได้อยากจะโหลดของเท่าไหร่เนื่องจากกระเป๋าไม่ใหญ่และพอจะแบกขึ้นเครื่องได้แต่พอดีมีของเหลวที่ปริมาตรเกิน 100 ML เลยจำเป็นต้อง load แต่ไหนๆก็ load แล้วก็ใส่ของในกระเป๋าให้หมดเลยจะได้เดินสบายๆ ยังดีที่หยิบเงินกะบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าติดตัวไว้ ก็โหลดไปไม่คิดอะไรเพราะส่วนตัวก็บินมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยมีปัญญาเรื่องการถูกรื้อกระเป๋าขณะขนของเลย เคสนี้ถือเป็นครั้งแรกของการเดินทางของผมที่ถูกรื้อกระเป๋าเลย

พอมาถึงสุวรรณภูมิเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็มารอกระเป๋าที่ load ไว้ที่สายพาน เมื่อได้กระเป๋าก็รู้สึกแปลกใจว่ากระเป๋าเราไม่มีแถบสติ๊กเกอร์ที่เวลาตอน scan กระเป๋าเสร็จจะทีเจ้าหน้าที่ติดสติ้กเกอร์นี้ให้ โดยสภาพกระเป๋าก็ประมาณนี้ครับ

ก็เลยลองเปิดตรวจสอบดูสัมภาระของตัวเองเบื้องต้นพบว่าลำโพง Bose sound link mini ราคาประมาณ 9900 + cover อีก 900 บาท ที่โหลดไว้หายไป


พอดีเดินทางไปกับเพื่อนประมาณ 4-5 คน ก็แนะนำให้เราไปแจ้งที่ lost & found ของการบินไทย พอไปถึงก็เจอเจ้าหน้าที่เหลือคนเดียวซึ่งกำลังจะปิด office เนื่องจากจะรีบไปไหนซักที่และให้เราโทรไปที่ call center ของ Thai Smile แล้วก็ปิด office เดินจากไปเหลือไว้แค่ป้ายหน้า office

พอเราโทรไปหา call center เล่ารายละเอียดให้ฟังว่าโดนรื้อกระเป๋ายังไง ทาง call center ก็บอกให้เราส่ง email มาซึ่งเวลานั้นก็ประมาณห้าทุ่มกว่าๆ เราก็เกรงใจเพื่อนเพราะดึกมากแล้วและพรุ่งนี้ต้องทำงานกัน เราจึงกะว่าวันรุ่งขึ้นก็ค่อย mail หาทาง Thai Smile อีกที
กลับบ้านไปก็พบว่าของหายเพิ่มอีก 3-4 รายการ รวมได้ดังนี้
1.    ลำโพง Bose sound link mini มูลค่า 9900 บาท + Cover 900 บาท
2.    ที่ชาร์จลำโพง
3.    สาย AUX
4.    น้ำหอม David Beckham ซื้อมาประมาณ 900 บาท เหลือประมาณ 75%
5.    บัตร star bucks โชคดีที่ใช้เงินในบัตรหมดพอดี
5 รายการข้างต้นเก็บไว้คนละซิปนะ ความหมายคือ มันค้นละเอียดมาก โชคดีที่มันไม่เอาแว่นตากันแดดไปซึ่งเก็บไว้ที่เดียวกับลำโพงมูลค่า 13,000 บาท  
วันรุ่งขึ้นเราก็ได้ mail หา Thai Smile ตามนี้
หลังจากนั้นก็รอทางบริษัทตอบมา วันรุ่งขึ้นก็มีคนจาก thai smile โทรหาเราบอกให้ไปแจ้งความเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดที่สนามบิน สุวรรณภูมิ และ กระบี่ เราก็ไปแจ้งความตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำที่สถานีตำรวจที่สนามบินสุวรรณภูมิ

พอแจ้งความเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็พาเราไปดูกล้องวงจรปิด ระหว่างเดินไปก็ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ บอกว่าช่วงนี้มีคนโดนรื้อกระเป๋าเยอะมากและขอเดาเลยว่าเป็นสายการบิน Thai Smile ใช่ไม๊? เราก็ตอบว่า ใช่ เจ้าหน้าที่บอกว่ากว่า 90% ของรายที่โดนรื้อกระเป๋าเป็นของสายการบิน Thai Smile …..

พอเราเข้าไปดูกล้องที่ AOT ก็แจ้งวัน เวลา เพื่อดูกล้อง เจ้าหน้าที่บริการดี พูดจาดี แต่อยากจะบอกว่ากล้องที่ดูได้มีแค่ 1 ตัวเท่านั้น คือ ตำแหน่งที่รถขนของเอาของขึ้นสายพานเท่านั้น ตำแหน่งที่เหลือ เช่น ตำแหน่งจาก เครื่องลงรถ, หรือบนรถขนของ ไม่มีคร้าบบบบ ผมนี่อึ้งแพร้บ บวกกับกล้องที่มีภาพก็เบลอมาก เอาเป็นว่าผมและเจ้าหน้าที่ ยังดูไม่รู้เรื่องเลยว่ากระเป๋าไหนของเรา = =”
ผลปรากฏว่าวันนั้นก็ยังไม่ได้มีความคืบหน้าอะไร

หลังจากดูกล้องเสร็จกลับบ้านไปก็ส่ง mail ใบแจ้งความไปหา Thai Smile เพื่อดำเนินการดูกล้องที่สนามบินกระบี่ เจ้าหน้าที่ก็รับปากว่าจะดูให้
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เจ้าหน้าที่ก็โทรมาหาเราบอกว่า ได้ดำเนินการดูกล้องให้แล้วไม่พบสิ่งผิดปกติประการใด
ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้ง 2 ที่ แต่ของหายไปเฉยๆ ซะงั้น!!!!
เราคิดในใจว่าคงต้องทำใจแล้วสินะ แล้วเวลาผ่านไปไม่นานก็มี mail จาก Thai Smile หาเราดังนี้

จนถึงวันนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าจากนี้ สรุปคือ ของเราหายไปเฉยๆ และก็ทำอะไรไม่ได้เลย
เลยอยากจะขอแชร์ให้กับเพื่อนๆ ได้รับรู้ และอยากให้ผู้เกี่ยวข้องที่ดูแลเรื่องนี้ช่วยปรับปรุงมาตรการการดูแลเรื่องสัมภาระผู้โดยสารให้ดีกว่านี้รวมถึงการ Tracking system ที่มีประสิทธิภาพเมื่อเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่