เป็นอีกครั้งที่ได้กลับมารีวิวน้ำหอมให้ทุกท่านได้อ่านกัน หลังจากหายไปนาน
ซึ่งหลังจากนี้จะพยายามมารีวิวกันบ่อยๆตามที่ได้ตั้งใจไว้ เพื่อจะเป็นอีกหนึ่งช่องทาง
ในการช่วยลดเวลาหรือเป็นตัวช่วยตัดสินใจในการเลือกหาน้ำหอมตามที่แต่ละท่านต้องการ
เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ว่าน้ำหอมที่จะนำมารีวิวในวันนี้คือแบรนด์อินดี้น้องใหม่จากอเมริกา
ในนามว่า "DUA Fragrances" ที่มีเจ้าของแบรนด์และperfumerคนเดียวกันคือ Mahsam Raza
(ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเชื้อชาติอะไรเพราะหน้าตาออกแขกๆ แต่เข้าใจว่าใช้ชีวิตมีครอบครัว
และกิจการในอเมริกาเลย)
DUA นั้นเริ่มออกน้ำหอมมาตัวเเรกในปี2016 และภายในปีนั้นคาบเกี่ยวมาถึงปี2017
พี่ Mahsam Raza เล่นออกกลิ่นใหม่ๆมาต่อเนื่องทั้งปี จนตอนนี้คราวๆน่าจะมี 50 กลิ่นขึ้นแล้วครับ
ถามว่าทำไมถึงออกกลิ่นมาได้มากมายภายในเพียงแค่เวลาปีเศษๆ
คำตอบคือ เพราะแบรนด์นี้เค้าไม่ได้รังสรรค์กลิ่นขึ้นมาใหม่เองทั้งหมด
เค้าจะเอาน้ำหอมแบรนด์ดังๆทั้งราคาแพงมากๆ(niche) หรือราคากลางๆพวก designer house
มาเป็นแรงบันดาลใจในการปรุงกลิ่นพร้อมกับชื่อใหม่เก๋ๆออกมาขาย
ซึ่งกลิ่นที่ออกมามันก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับตัวต้นแบบเสียจริงๆ
(ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่า โดยส่วนมากในwebsiteของ DUA เค้าก็จะบอกเลยนะ
ว่าตัวไหนเอากลิ่นไหนเป็นต้นแบบ และกลิ่นไหนเค้าคิดและปรุงด้วยตัวเค้าเอง)
และกระแสของDUA ก็แรงขึ้นเรื่องๆ เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมน้ำหอม online
เพราะทั้งชื่อ แนวกลิ่นและวิธีการโปรโมทของเค้า มันค่อนข้างดึงดูดอยากให้ลองหา
มาครอบครองจริงๆ
และถ้าสังเกตดูที่ชื่อน้ำหอมในหัวเรื่องข้างบนแล้วจะพบคำว่า "The Series"
ซึ่งโดยปกติแล้วผมจะรีวิวแค่หนึ่งกลิ่นต่อหนึ่งกระทู้ แต่วันนี้จะถือโอกาสมารีวิว
พร้อมกันถึงสามกลิ่น ให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
อย่างบอกไปข้างต้นว่ากลิ่นน้ำหอมของDUAนั้นส่วนนึง(ซึ่งเป็นส่วนหลัก)
มันจะทำเลียนแบบน้ำหอมกลิ่นดังๆ บ้างก็ปรับกลิ่นให้ดูต่างแตกบ้างเล็กน้อย
หรือบางกลิ่นก็เหมือนจนน่าตกใจ ซึ่งกลิ่นแรกที่จะนำมารีวิวก็เป็นอีกหนึ่งกลิ่นดัง
ที่ผมได้นำมารีวิวไปในรอบที่แล้วก็คือ Pure Havane และกลิ่นของ DUA ก็เล่นคำกับชื่อ
ให้ดูแล้วสื่อถึงกันได้นั้นก็คือ

*** Honey Havane ***
-The Scent : กลิ่นเปิดมาวูบแรกทำให้นึกถึง Pure Havane ได้ในทันทีครับ แต่ของDUA
จะได้กลิ่นของผลเชอรี่ แต่เป็นเชอรี่ที่ถูกเชื่อมให้มีกลิ่นหอมหวาน นึกถึงตอนเรา
กัดเชอรี่เชื่อมบนหน้าไอศครีมแล้วกลิ่นของเชอรี่มันตีขึ้นจมูกมา มันเป็นแบบนั้นเลย
กลิ่นนั้นหวานแต่ก็ให้ความฉ่ำอยู่พอตัว แต่เพียงแค่อึดใจเดียว กลิ่นเชอรี่นั้นค่อยๆ
ถูกกลืนลงไปและมาพร้อมกับน้ำผึ้งหวานๆที่ตีคู่ขึ้นมา กลิ่นจะหวานช่ำมากครับ
ความจริงช่วงนี้ผมชอบที่สุดเลย และส่วนตัวรู้สึกว่าตรงช่วงต้นถึงกลางนี้จะชอบมากกว่า
Pure Havaneเสียด้วยซ้ำ กลิ่นหวานช่ำในลักษณะนี้จะอยู่ค่อนข้างนานเลยทีเดียว
ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ แต่จะจับได้ว่าnoteที่เป็นพระเอกก็กำลังทำท่าจะออกมาเฉิดฉายอยู่รำไร
เพราะกลิ่นใบยาสูบนั้นตั้งท่ารองพื้นหลังมาตั้งแต่ชั่งโมงแรกแล้ว พอถึงชั่วโมงที่3-4เป็นต้นไป
คราวนี้กลิ่นตีคู่มากับเชอรี่ที่เคลือบน้ำผึ้งอย่างไม่มีลดราวาศอกกันเลย ถึงตรงช่วงนี้
กลิ่นจะคล้ายPure Havane มากแต่ของDUAจะไม่บาดจมูกเท่าครับ แต่ผมว่าร้อยละ90คือเหมือนเลย
สุดท้ายกลิ่นจะไม่เปลี่ยนไปมากครับ แต่ก็โทนของกลิ่นใบยาสูบค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆครับ
*** Caribbean Waters ***
-The Scent : ดูจากชื่อน่าจะพอเดาออกได้ว่าแนวของกลิ่นนั้นน่าจะออกแล้วสดชื่น ทะเล
เหมาะสำหรับวันพักผ่อน ซึ่งนั่นก็ถูกต้องครับ เพราะกลิ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากน้ำหอมตัวดังอย่าง
Creed Virgin Island Waterนั้นเอง กลิ่นเปิดมาเต็มกับความสดชื่นจากมะนาวและส้ม
บวกกับความหวานหอมของน้ำตาล ให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายสมกับชื่อของน้ำหอม
ทั้งของ DUA และ Creed จริงๆครับ หลังจากกลิ่นเปิดช่วงต้นไม่นาน กลิ่นมะพร้าวตีเด่นขึ้นมากๆ
แต่มันเป็นมะพร้าวที่เหมือนถูกปรุงแต่งมาแล้ว ไม่ใช่น้ำมะพร้าวสดๆจากลูก ดมแล้วจะคล้ายน้ำมันมะพร้าวซะมากกว่า
ใช่เลยครับกลิ่นๆนี้เหมาะกับการไปเที่ยวทะเล ผ่อนคลายไปกับการนั่งชิลๆ จิบน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มเย็นจัดๆ
ที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาว โดยปรุงใส่ไซรัปหวานๆ เคลือบขอบปากแก้วด้วยน้ำตาลและเกลือบางๆ
นอนอาบแดดโดยทาครีมหรือน้ำมันที่มีกลิ่นหอมของมะพร้าวอย่างสบายใจ
*** Cannabliss With The Mobster ***
- The Scent : สำหรับ Cannabliss With The Mobster นั้นเป็นตัวต่อยอดกลิ่นดังของDUA
เค้าครับนั้นก็คือ The Mobster (ไว้มีโอกาสจะรีวิวตัวนี้ให้ด้วยครับ เป็นกลิ่นที่ผมชอบจริงๆ)
ซึ่งตัว The Mobsterนั้นเค้าเล่นธีมของกลิ่นไว้คือ เหล้า บุหรี่ มาเฟีย
ซึ่ง Cannabliss With The Mobster นั้นก็ยังคงอยู่ในธีมแบบนี้เช่นกันแต่noteที่เด่นขึ้นมาเลย
จะเป็นnoteของกลิ่นใบไม้แห้งๆไหม้ๆ ซึ่งเจ้าใบไม้ที่ว่านี้ก็คือCannabliss หรือกัญชา
ที่เจ้าของแบรนด์ตั้งใจให้เป็นจุดขายของกลิ่นนี้ และกลิ่นใบกัญชาแห้งๆไหม้ๆนี้ก็เด่นชัดมากครับ
สำหรับกลิ่นเปิด ส่งผลให้ผมย้อนนึกไปถึงสมัยเป็นวัยรุ่นที่เคยได้กลิ่นกัญชามาจากเพื่อนท่านนึง
ตอนแรกนึกว่าเค้าสูบบุหรี่ แต่พอกลิ่นควันโชยมาแตะจมูกมันกลับไม่ใช่ ตอนนั้นสงสัยมากว่า
ทำไมบุหรี่กลิ่นมันแปลกจัง กลิ่นจะออกเขียวๆ แห้งๆ เฝื่อนๆ เหมือนใบฝรั่งที่กำลังใกล้แห้ง
แล้วถูกขยี้ ก็เลยไปถามเค้าว่ามันคืออะไร ก็ได้รับคำตอบมาว่าเป็นกัญชานั้นเอง(กัญชาสำหรับเมืองไทย
ยังผิดกฎหมายอยู่นะ ใครอยากลองว่ากลิ่นมันเป็นยังไง ก็แนะนำให้ลองหาพวกกลิ่นสังเคราะห์แทน
อย่าไปหาของจริงมาลองละ) ตรงนี้เองผมคงต้องยอมรับว่าเค้าทำออกมาได้คล้ายกัญชาจริงๆ
จนสามารถดึงความทรงจำของผมออกมาได้ ต่อมากลิ่นแห้งๆเขียวๆนี้จะรู้สึกอุ่นขึ้น อมหวานนิดๆ
น่าจะมาจากการผสมกันของnote เหล้าและamberหรืออำพันที่จะสื่อถึงความอบอุ่น
และถ้ารอจนกลิ่นเข้าช่วงท้าย เหล่าnote กลิ่นที่กล่าวมาจะผสมกลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี
แต่จะมีอีกกลิ่นนึงที่เข้ามาแทรกกลางก็คือกลิ่นของเนื้อไม้จำพวกไม้กฤษณา(oud)
ส่งผลให้กลิ่นนี้ค่อนข้างซับซ้อนและโดดเด่นไม่เหมือนใครมากๆ ใครชอบลองกลิ่นที่แตกต่าง
ตัวนี้น่าจะทำให้ประทับใจได้ไม่น้อยครับ
สรุปแล้วทั้งสามตัวนี้มีดีแตกต่างกันไปครับ ซึ่งผมประทับใจCannabliss With The Mobsterมากที่สุด
ส่วนตัวอื่น ก็อย่างที่บอกครับว่าบางกลิ่นเค้าใช้น้ำหอมตัวดังมาเป็นต้นแบบ ซึ่งสำหรับผมเอง
ผมชอบที่จะเสพงานที่มาจากของดั้งเดิมมากกว่า แต่ถ้าถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน ผมคงตอบให้ไม่ได้
แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าDUAเหมาะกับพวกอยากลองของใหม่ๆแปลกๆซะมากกว่า
และถ้าดูราคาต่อมิลลิลิตรจะเห็นได้ว่า DUA นั้นแพงเอาเรื่องครับ
ซึ่งตรงนี้ก็ต้องพิจารณากันดีๆ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละบุคคลครับ
[CR] pERFuME MY OWn [6] รีวิวน้ำหอม DUA Fragrances (The Series)
ซึ่งหลังจากนี้จะพยายามมารีวิวกันบ่อยๆตามที่ได้ตั้งใจไว้ เพื่อจะเป็นอีกหนึ่งช่องทาง
ในการช่วยลดเวลาหรือเป็นตัวช่วยตัดสินใจในการเลือกหาน้ำหอมตามที่แต่ละท่านต้องการ
เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ว่าน้ำหอมที่จะนำมารีวิวในวันนี้คือแบรนด์อินดี้น้องใหม่จากอเมริกา
ในนามว่า "DUA Fragrances" ที่มีเจ้าของแบรนด์และperfumerคนเดียวกันคือ Mahsam Raza
(ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเชื้อชาติอะไรเพราะหน้าตาออกแขกๆ แต่เข้าใจว่าใช้ชีวิตมีครอบครัว
และกิจการในอเมริกาเลย)
DUA นั้นเริ่มออกน้ำหอมมาตัวเเรกในปี2016 และภายในปีนั้นคาบเกี่ยวมาถึงปี2017
พี่ Mahsam Raza เล่นออกกลิ่นใหม่ๆมาต่อเนื่องทั้งปี จนตอนนี้คราวๆน่าจะมี 50 กลิ่นขึ้นแล้วครับ
ถามว่าทำไมถึงออกกลิ่นมาได้มากมายภายในเพียงแค่เวลาปีเศษๆ
คำตอบคือ เพราะแบรนด์นี้เค้าไม่ได้รังสรรค์กลิ่นขึ้นมาใหม่เองทั้งหมด
เค้าจะเอาน้ำหอมแบรนด์ดังๆทั้งราคาแพงมากๆ(niche) หรือราคากลางๆพวก designer house
มาเป็นแรงบันดาลใจในการปรุงกลิ่นพร้อมกับชื่อใหม่เก๋ๆออกมาขาย
ซึ่งกลิ่นที่ออกมามันก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับตัวต้นแบบเสียจริงๆ
(ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่า โดยส่วนมากในwebsiteของ DUA เค้าก็จะบอกเลยนะ
ว่าตัวไหนเอากลิ่นไหนเป็นต้นแบบ และกลิ่นไหนเค้าคิดและปรุงด้วยตัวเค้าเอง)
และกระแสของDUA ก็แรงขึ้นเรื่องๆ เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมน้ำหอม online
เพราะทั้งชื่อ แนวกลิ่นและวิธีการโปรโมทของเค้า มันค่อนข้างดึงดูดอยากให้ลองหา
มาครอบครองจริงๆ
และถ้าสังเกตดูที่ชื่อน้ำหอมในหัวเรื่องข้างบนแล้วจะพบคำว่า "The Series"
ซึ่งโดยปกติแล้วผมจะรีวิวแค่หนึ่งกลิ่นต่อหนึ่งกระทู้ แต่วันนี้จะถือโอกาสมารีวิว
พร้อมกันถึงสามกลิ่น ให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
อย่างบอกไปข้างต้นว่ากลิ่นน้ำหอมของDUAนั้นส่วนนึง(ซึ่งเป็นส่วนหลัก)
มันจะทำเลียนแบบน้ำหอมกลิ่นดังๆ บ้างก็ปรับกลิ่นให้ดูต่างแตกบ้างเล็กน้อย
หรือบางกลิ่นก็เหมือนจนน่าตกใจ ซึ่งกลิ่นแรกที่จะนำมารีวิวก็เป็นอีกหนึ่งกลิ่นดัง
ที่ผมได้นำมารีวิวไปในรอบที่แล้วก็คือ Pure Havane และกลิ่นของ DUA ก็เล่นคำกับชื่อ
ให้ดูแล้วสื่อถึงกันได้นั้นก็คือ
*** Honey Havane ***
-The Scent : กลิ่นเปิดมาวูบแรกทำให้นึกถึง Pure Havane ได้ในทันทีครับ แต่ของDUA
จะได้กลิ่นของผลเชอรี่ แต่เป็นเชอรี่ที่ถูกเชื่อมให้มีกลิ่นหอมหวาน นึกถึงตอนเรา
กัดเชอรี่เชื่อมบนหน้าไอศครีมแล้วกลิ่นของเชอรี่มันตีขึ้นจมูกมา มันเป็นแบบนั้นเลย
กลิ่นนั้นหวานแต่ก็ให้ความฉ่ำอยู่พอตัว แต่เพียงแค่อึดใจเดียว กลิ่นเชอรี่นั้นค่อยๆ
ถูกกลืนลงไปและมาพร้อมกับน้ำผึ้งหวานๆที่ตีคู่ขึ้นมา กลิ่นจะหวานช่ำมากครับ
ความจริงช่วงนี้ผมชอบที่สุดเลย และส่วนตัวรู้สึกว่าตรงช่วงต้นถึงกลางนี้จะชอบมากกว่า
Pure Havaneเสียด้วยซ้ำ กลิ่นหวานช่ำในลักษณะนี้จะอยู่ค่อนข้างนานเลยทีเดียว
ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ แต่จะจับได้ว่าnoteที่เป็นพระเอกก็กำลังทำท่าจะออกมาเฉิดฉายอยู่รำไร
เพราะกลิ่นใบยาสูบนั้นตั้งท่ารองพื้นหลังมาตั้งแต่ชั่งโมงแรกแล้ว พอถึงชั่วโมงที่3-4เป็นต้นไป
คราวนี้กลิ่นตีคู่มากับเชอรี่ที่เคลือบน้ำผึ้งอย่างไม่มีลดราวาศอกกันเลย ถึงตรงช่วงนี้
กลิ่นจะคล้ายPure Havane มากแต่ของDUAจะไม่บาดจมูกเท่าครับ แต่ผมว่าร้อยละ90คือเหมือนเลย
สุดท้ายกลิ่นจะไม่เปลี่ยนไปมากครับ แต่ก็โทนของกลิ่นใบยาสูบค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆครับ
*** Caribbean Waters ***
-The Scent : ดูจากชื่อน่าจะพอเดาออกได้ว่าแนวของกลิ่นนั้นน่าจะออกแล้วสดชื่น ทะเล
เหมาะสำหรับวันพักผ่อน ซึ่งนั่นก็ถูกต้องครับ เพราะกลิ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากน้ำหอมตัวดังอย่าง
Creed Virgin Island Waterนั้นเอง กลิ่นเปิดมาเต็มกับความสดชื่นจากมะนาวและส้ม
บวกกับความหวานหอมของน้ำตาล ให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายสมกับชื่อของน้ำหอม
ทั้งของ DUA และ Creed จริงๆครับ หลังจากกลิ่นเปิดช่วงต้นไม่นาน กลิ่นมะพร้าวตีเด่นขึ้นมากๆ
แต่มันเป็นมะพร้าวที่เหมือนถูกปรุงแต่งมาแล้ว ไม่ใช่น้ำมะพร้าวสดๆจากลูก ดมแล้วจะคล้ายน้ำมันมะพร้าวซะมากกว่า
ใช่เลยครับกลิ่นๆนี้เหมาะกับการไปเที่ยวทะเล ผ่อนคลายไปกับการนั่งชิลๆ จิบน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มเย็นจัดๆ
ที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาว โดยปรุงใส่ไซรัปหวานๆ เคลือบขอบปากแก้วด้วยน้ำตาลและเกลือบางๆ
นอนอาบแดดโดยทาครีมหรือน้ำมันที่มีกลิ่นหอมของมะพร้าวอย่างสบายใจ
*** Cannabliss With The Mobster ***
- The Scent : สำหรับ Cannabliss With The Mobster นั้นเป็นตัวต่อยอดกลิ่นดังของDUA
เค้าครับนั้นก็คือ The Mobster (ไว้มีโอกาสจะรีวิวตัวนี้ให้ด้วยครับ เป็นกลิ่นที่ผมชอบจริงๆ)
ซึ่งตัว The Mobsterนั้นเค้าเล่นธีมของกลิ่นไว้คือ เหล้า บุหรี่ มาเฟีย
ซึ่ง Cannabliss With The Mobster นั้นก็ยังคงอยู่ในธีมแบบนี้เช่นกันแต่noteที่เด่นขึ้นมาเลย
จะเป็นnoteของกลิ่นใบไม้แห้งๆไหม้ๆ ซึ่งเจ้าใบไม้ที่ว่านี้ก็คือCannabliss หรือกัญชา
ที่เจ้าของแบรนด์ตั้งใจให้เป็นจุดขายของกลิ่นนี้ และกลิ่นใบกัญชาแห้งๆไหม้ๆนี้ก็เด่นชัดมากครับ
สำหรับกลิ่นเปิด ส่งผลให้ผมย้อนนึกไปถึงสมัยเป็นวัยรุ่นที่เคยได้กลิ่นกัญชามาจากเพื่อนท่านนึง
ตอนแรกนึกว่าเค้าสูบบุหรี่ แต่พอกลิ่นควันโชยมาแตะจมูกมันกลับไม่ใช่ ตอนนั้นสงสัยมากว่า
ทำไมบุหรี่กลิ่นมันแปลกจัง กลิ่นจะออกเขียวๆ แห้งๆ เฝื่อนๆ เหมือนใบฝรั่งที่กำลังใกล้แห้ง
แล้วถูกขยี้ ก็เลยไปถามเค้าว่ามันคืออะไร ก็ได้รับคำตอบมาว่าเป็นกัญชานั้นเอง(กัญชาสำหรับเมืองไทย
ยังผิดกฎหมายอยู่นะ ใครอยากลองว่ากลิ่นมันเป็นยังไง ก็แนะนำให้ลองหาพวกกลิ่นสังเคราะห์แทน
อย่าไปหาของจริงมาลองละ) ตรงนี้เองผมคงต้องยอมรับว่าเค้าทำออกมาได้คล้ายกัญชาจริงๆ
จนสามารถดึงความทรงจำของผมออกมาได้ ต่อมากลิ่นแห้งๆเขียวๆนี้จะรู้สึกอุ่นขึ้น อมหวานนิดๆ
น่าจะมาจากการผสมกันของnote เหล้าและamberหรืออำพันที่จะสื่อถึงความอบอุ่น
และถ้ารอจนกลิ่นเข้าช่วงท้าย เหล่าnote กลิ่นที่กล่าวมาจะผสมกลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี
แต่จะมีอีกกลิ่นนึงที่เข้ามาแทรกกลางก็คือกลิ่นของเนื้อไม้จำพวกไม้กฤษณา(oud)
ส่งผลให้กลิ่นนี้ค่อนข้างซับซ้อนและโดดเด่นไม่เหมือนใครมากๆ ใครชอบลองกลิ่นที่แตกต่าง
ตัวนี้น่าจะทำให้ประทับใจได้ไม่น้อยครับ
สรุปแล้วทั้งสามตัวนี้มีดีแตกต่างกันไปครับ ซึ่งผมประทับใจCannabliss With The Mobsterมากที่สุด
ส่วนตัวอื่น ก็อย่างที่บอกครับว่าบางกลิ่นเค้าใช้น้ำหอมตัวดังมาเป็นต้นแบบ ซึ่งสำหรับผมเอง
ผมชอบที่จะเสพงานที่มาจากของดั้งเดิมมากกว่า แต่ถ้าถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน ผมคงตอบให้ไม่ได้
แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าDUAเหมาะกับพวกอยากลองของใหม่ๆแปลกๆซะมากกว่า
และถ้าดูราคาต่อมิลลิลิตรจะเห็นได้ว่า DUA นั้นแพงเอาเรื่องครับ
ซึ่งตรงนี้ก็ต้องพิจารณากันดีๆ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละบุคคลครับ