หลายๆ คนอาจจะทราบมาบ้างแล้วว่าปีนี้ (พ.ศ.2560) นั้นเป็นปีครบรอบ 111 ปี ของการก่อตั้งสร้างเมืองเบตงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนจะเป็นชาวพุทธมากถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังมีนับถือศาสนาอื่น เช่น อิสลาม, คริสต์, ฮินดู ฯลฯ ล้วนได้อิทธิพลมาจากไทย-มาเลเซีย และประชาชนส่วนมากสามารถพูดได้ถึง 2 -3 ภาษา ได้แก่ ไทย, จีน (ส่วนใหญ่จะสนทนาเป็นจีนกลาง หรือแมนดาริน และบ้างก็สนทนาด้วยจีนแคระ, กวางตุ้ง, แต้จิ๋ว เป็นต้น), มลายู
ที่สำคัญ เมื่อนักท่องเที่ยวผ่านมาเบตงบริเวณศาลากลางจะสังเกตเห็นว่าจะมีสุ้มประตูขนาดสองฝั่งถนนที่เป็นสัญลักษณ์ของเบตงที่กล่าวถึงวัฒนธรรมของที่นี่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนา
ตลอด 111 ปีมานี้ อำเภอเบตงอยู่ท่ามกลางภูเขาซึ่งผู้ก่อตั้งสร้างเมือง หรืออดีตเราเรียกกันว่า "เจ้าเมือง" เจ้าเมืองอำเภอเบตงนั้นแท้จริงแล้วเป็นชาวจีนอพยพ (ทราบว่าอาจจะเป็นแต้จิ๋ว หรือไม่ก็กวางตุ้ง) สมัยนั้นหนทางของการสัญจรค่อนข้างลำบาก แต่เป็นภูมิประเทศที่ดีมากสำหรับเจ้าเมืองสมัยนั้น
ปัจจุบันคนไทยรู้จักกันดีในนามของเบตง ก็คือ ไก่ต้มเบตง (ไก่เก้าชั่ง) นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้เบตงมีตัวของตัวเองจึงทำให้เป็นชื่อเสียงค่อนข้างดัง
แต่ทว่า เหตุการณ์เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาหลายๆ คนอาจจะเคยเห็นข่าวมาแล้วบ้าง หรือปัจจุบันหลายคนก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า เมื่อเรามาถึงเบตงแล้ว เราต้องไปถึงสถานที่ 2-3 แห่งซึ่งหากคุณไปไม่ถึงแล้ว ก็เหมือนคุณไม่ได้มาถึงเบตง
กล่าวก็คือ เบตงมีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ชื่อดัง ที่คนสมัยนั้นเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "จคม.ยึดพื้นที่"
และผมเองขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการว่า ผมเป็นรุ่นลูกของ จคม. (ย่อมาจาก โจรคอมมิวนิสต์มาลายา) ผมอาจจะไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์มากไปกว่าพ่อกับแม่ แต่ผมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และอาจจะมากกว่าหลายๆ คนที่เข้ามาอ่าน
ในช่วงแรกๆ ที่ผมได้ยินคำว่า โจรคอมมิวนิสต์มาลายา ผมก็รู้สึกแปลกใจว่า ทำไม.. คนไทยส่วนใหญ่เรียกพวกเขาว่าเป็นโจร และ ทำไม.. คนไทยส่วนใหญ่ถึงได้กลัว หรือ ไม่ชอบพวกเขา ซึ่งผมเองได้รับทราบจากปากของนักท่องเที่ยวไทยที่ได้เข้ามาเที่ยวที่นี่ ว่า...
ในความหมายที่คนไทยได้รับทราบ รวมถึงตัวผมเองด้วยที่เรียนด้านประวัติศาสตร์ด้วย คำว่า "คอมมิวนิสต์" เป็นเผด็จการ แต่จริงๆ แล้วความหมายไม่ได้มีเพียงแค่นี้ครับ
คอมมิวนิสต์ นั้นเดิมทีมีบุคคลคนหนึ่งชื่อว่า มาร์ค ได้กล่าวว่า เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันควรมีกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกัน และดำเนินตามกฎเกณฑ์นั้น ถึงจะเป็นสังคมที่ยั่งยืน
ซึ่งจริงๆ ในประวัติศาสตร์ของ คอมมิวนิสต์ ก็ได้กล่าวถึง บุคคลนี้บ่อยมาก ผมจึงได้รู้สึกสนใจในประวัติศาสตร์ขึ้นมาเล็กน้อย จนได้ทราบมาว่า
เครื่องหมายของคอมมิวนิสต์ เป็น ค้อน ทาบ เคียว
ค้อน มีความหมายว่า กรรมกร คือ อาชีพที่อยู่เบื้องล่างที่สุดของสังคมสมัยนั้น จึงถูกสังคมรังเกียจ และไม่ชอบกันมากนัก
เคียว มีความหมายว่า เกษตรกร คือ อาชีพที่ต้องเป็นแรงงานให้กับคนที่มีที่ดิน หรืออำนาจ
เมื่อนำสองอย่างนี้ทาบกันแล้ว จะหมายความว่า บุคคลที่อยู่ในรากหญ้า ก็มีสิทธิ, เสรีภาพ, แนวคิด เหมือนกับบุคคลที่มีอำนาจ
เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ทำให้หลายๆ คนหลงลืมไปว่า คอมมิวนิสต์ ที่มีทัศนียภาพการเปลี่ยนแปลงเสรีภาพทางมนุษย์ แต่กลับบานปลายทำให้คนส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจว่า คอมมิวนิสต์ คือสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่ต้องหลบหลีก
ผมขออธิบายคร่าวๆ ไว้เท่านี้ ซึ่งหากท่านใดสนใจด้านประวัติศาสตร์ เชิญชวนให้มาที่เบตง ผมจะอธิบายให้อย่างละเอียดเลย
เรามาพูดถึงประวัติศาสตร์ของเบตงกันต่อนะครับ
ทำไมผมต้องพูดถึง คอมมิวนิสต์ นะหรือครับ... เพราะ เบตงมีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์ของคอมมิวนิสต์โดยตรง
กล่าวเพิ่มเติมคือ เบตง สามารถขยายเมืองได้ ก็เพราะว่า อดีตคอมมิวนิสต์มาลายา ("ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" ในปัจจุบัน) นั้นมาจากเหตุการณ์ที่ทางประเทศมาเลเซีย
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังปะทุดุเดือดอยู่นั้น ญี่ปุ่น เป็นประเทศเล็กๆ ที่จะยึดทั่วอาณาจักรเอเชียในสมัยนั้น บางเขตในประเทศไทยที่ติดทะเลจีนใต้ถูกญี่ปุ่นเข้ายึด แต่กลับกัน ประเทศมาเลเซียถูกยึดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ซึ่งในช่วงนั้นรัฐบาลของมาเลเซียค่อนข้างอ่อนแอ และขี้ขลาด จึงได้ยื่นข้อเสนอให้กองทัพญี่ปุ่นขับไล่ชาวจีนดั้งเดิม, ชาวจีนอพยพ รวมถึงเชื้อสายจีนทั้งหมด
เพราะเหตุการณ์แบบนี้ ทำให้ประชาชนที่มีเชื้อสายจีนส่วนใหญ่ออกมาลุกฮือเพื่อต่อต้านรัฐบาล ในช่วงสมัยนั้นเองทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเหยื่อของสงครามกลางเมือง และเป็นสงครามการเริ่มต้นของพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง
หลายแสนชีวิตต้องสูญสิ้น และหลายหมื่นชีวิตต้องดิ้นรน ประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลมาเลเซียนั้นล้วนส่วนใหญ่เป็นเยาวชนตั้งแต่อายุ 15 ขึ้นไป
พร้อมทั้งได้ขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกจากประเทศมาเลเซียได้สำเร็จ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมณูรลงที่ชิโกย่า ทำให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นต้องล่าถอย
ซึ่งในระยะสงบเพียง 2 ปีนี้เอง ทางผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ ที่เป็นความหวังใหม่ของประชาชนเชื้อสายจีน ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล แต่ทว่า รัฐบาลไม่ยินยอม จึงทำให้กองทัพอังกฤษที่เห็นว่า ทั้งกองทัพญี่ปุ่นที่ล่าถอยกลับกว่า 2 ปี และไม่มีวี่แววจะเข้ามาอีก จึงเป็นเหตุการณ์การล่าอาณานิคมโดยขึ้นฝั่งทางปีนัง และได้ตั้งรกรากฐานกว่าหลายปีเช่นกัน
รัฐบาลมาเลเซียพยายามเกลี่ยกล่อมให้ทหารอังกฤษให้ล่าถอยแต่ก็ไม่เป็นผล ที่สำคัญกองทัพอังกฤษขอยื่นข้อเสนอให้ขับไล่ประชาชนเชื้อสายจีน ในเหตุการณ์นี้นี่เองครับ ที่ทำให้ พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาเข้มแข็งขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะ ชาวมุสลิม ฮินดู จีน ได้ร่วมเข้าพรรคคอมมิวนิสต์
และในช่วงนั้นเองเป็นเหตุการณ์ที่คอมมิวนิสต์มาลายาขับไล่กองทัพอังกฤษได้สำเร็จ แต่รัฐบาลมาเลเซียได้ไล่โจมตีพรรคคอมมิวนิสต์จากตอนใต้ของมาเลเซียขึ้นสู่เหนือ จนถึงเขตชายแดนไทย-มาเลเซีย
ในช่วงนี้นี่เองครับที่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา จึงมีบทบาทสำคัญต่อพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา เพราะหลังจากที่ทางรัฐบาลมาเลเซียพยายามขับไล่พรรคคอมมิวนิสต์อย่างโหดเหี้ยมแล้ว ทางรัฐบาลไทยคอยช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ถึงไม่มาก แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่เหลือรอดจากสถานการณ์อันดุเดือดที่ถูกโจมตีตลอด
จนในที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาได้มีชาวบ้านส่วนน้อยในเขตอำเภอเบตงให้การสนับสนุน และคอยช่วยเหลือ แต่กลับกันประชาชนสมัยนั้นมีเพียงไม่กี่พันคน กลัวพรรคคอมมิวนิสต์อย่างมาก เนื่องจากเพราะ อิทธิพลของสงครามทำให้ชาวบ้านเกรงกลัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ คอมมิวนิสต์
แต่ทว่า รัฐบาลไทยได้รับข้อเสนอของพรรคคอมมิวนิสต์ และพร้อมที่จะส่งเสริมให้ นักรบคอมมิวนิสต์มาลายา ได้มีอิสรภาพจากการถูกรัฐบาลมาเลเซียข่มขี่มาหลายสิบปี จึงทำให้ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 30 ปี ที่มีอนุสรณ์สำคัญของคอมมิวนิสต์มาลายา ก็คือ "ความเสรีภาพ และความเท่าเทียมกันของเชื้อชาติทั้งหลาย" นั่นเอง
ผมอธิบายได้ไม่มากนัก แต่อาจจะทำให้หลายๆ คนได้ความรู้เกี่ยวกับ คอมมิวนิสต์ มากขึ้น
สุดท้ายแล้ว ผมขอขอบคุณสำหรับการที่ได้อ่านกระทู้นี้นะครับ ขอบคุณครับ
เรามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเบตงบางส่วนกัน
ที่สำคัญ เมื่อนักท่องเที่ยวผ่านมาเบตงบริเวณศาลากลางจะสังเกตเห็นว่าจะมีสุ้มประตูขนาดสองฝั่งถนนที่เป็นสัญลักษณ์ของเบตงที่กล่าวถึงวัฒนธรรมของที่นี่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนา
ตลอด 111 ปีมานี้ อำเภอเบตงอยู่ท่ามกลางภูเขาซึ่งผู้ก่อตั้งสร้างเมือง หรืออดีตเราเรียกกันว่า "เจ้าเมือง" เจ้าเมืองอำเภอเบตงนั้นแท้จริงแล้วเป็นชาวจีนอพยพ (ทราบว่าอาจจะเป็นแต้จิ๋ว หรือไม่ก็กวางตุ้ง) สมัยนั้นหนทางของการสัญจรค่อนข้างลำบาก แต่เป็นภูมิประเทศที่ดีมากสำหรับเจ้าเมืองสมัยนั้น
ปัจจุบันคนไทยรู้จักกันดีในนามของเบตง ก็คือ ไก่ต้มเบตง (ไก่เก้าชั่ง) นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้เบตงมีตัวของตัวเองจึงทำให้เป็นชื่อเสียงค่อนข้างดัง
แต่ทว่า เหตุการณ์เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาหลายๆ คนอาจจะเคยเห็นข่าวมาแล้วบ้าง หรือปัจจุบันหลายคนก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า เมื่อเรามาถึงเบตงแล้ว เราต้องไปถึงสถานที่ 2-3 แห่งซึ่งหากคุณไปไม่ถึงแล้ว ก็เหมือนคุณไม่ได้มาถึงเบตง
กล่าวก็คือ เบตงมีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ชื่อดัง ที่คนสมัยนั้นเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "จคม.ยึดพื้นที่"
และผมเองขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการว่า ผมเป็นรุ่นลูกของ จคม. (ย่อมาจาก โจรคอมมิวนิสต์มาลายา) ผมอาจจะไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์มากไปกว่าพ่อกับแม่ แต่ผมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และอาจจะมากกว่าหลายๆ คนที่เข้ามาอ่าน
ในช่วงแรกๆ ที่ผมได้ยินคำว่า โจรคอมมิวนิสต์มาลายา ผมก็รู้สึกแปลกใจว่า ทำไม.. คนไทยส่วนใหญ่เรียกพวกเขาว่าเป็นโจร และ ทำไม.. คนไทยส่วนใหญ่ถึงได้กลัว หรือ ไม่ชอบพวกเขา ซึ่งผมเองได้รับทราบจากปากของนักท่องเที่ยวไทยที่ได้เข้ามาเที่ยวที่นี่ ว่า...
ในความหมายที่คนไทยได้รับทราบ รวมถึงตัวผมเองด้วยที่เรียนด้านประวัติศาสตร์ด้วย คำว่า "คอมมิวนิสต์" เป็นเผด็จการ แต่จริงๆ แล้วความหมายไม่ได้มีเพียงแค่นี้ครับ
คอมมิวนิสต์ นั้นเดิมทีมีบุคคลคนหนึ่งชื่อว่า มาร์ค ได้กล่าวว่า เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันควรมีกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกัน และดำเนินตามกฎเกณฑ์นั้น ถึงจะเป็นสังคมที่ยั่งยืน
ซึ่งจริงๆ ในประวัติศาสตร์ของ คอมมิวนิสต์ ก็ได้กล่าวถึง บุคคลนี้บ่อยมาก ผมจึงได้รู้สึกสนใจในประวัติศาสตร์ขึ้นมาเล็กน้อย จนได้ทราบมาว่า
เครื่องหมายของคอมมิวนิสต์ เป็น ค้อน ทาบ เคียว
ค้อน มีความหมายว่า กรรมกร คือ อาชีพที่อยู่เบื้องล่างที่สุดของสังคมสมัยนั้น จึงถูกสังคมรังเกียจ และไม่ชอบกันมากนัก
เคียว มีความหมายว่า เกษตรกร คือ อาชีพที่ต้องเป็นแรงงานให้กับคนที่มีที่ดิน หรืออำนาจ
เมื่อนำสองอย่างนี้ทาบกันแล้ว จะหมายความว่า บุคคลที่อยู่ในรากหญ้า ก็มีสิทธิ, เสรีภาพ, แนวคิด เหมือนกับบุคคลที่มีอำนาจ
เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ทำให้หลายๆ คนหลงลืมไปว่า คอมมิวนิสต์ ที่มีทัศนียภาพการเปลี่ยนแปลงเสรีภาพทางมนุษย์ แต่กลับบานปลายทำให้คนส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจว่า คอมมิวนิสต์ คือสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่ต้องหลบหลีก
ผมขออธิบายคร่าวๆ ไว้เท่านี้ ซึ่งหากท่านใดสนใจด้านประวัติศาสตร์ เชิญชวนให้มาที่เบตง ผมจะอธิบายให้อย่างละเอียดเลย
เรามาพูดถึงประวัติศาสตร์ของเบตงกันต่อนะครับ
ทำไมผมต้องพูดถึง คอมมิวนิสต์ นะหรือครับ... เพราะ เบตงมีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์ของคอมมิวนิสต์โดยตรง
กล่าวเพิ่มเติมคือ เบตง สามารถขยายเมืองได้ ก็เพราะว่า อดีตคอมมิวนิสต์มาลายา ("ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" ในปัจจุบัน) นั้นมาจากเหตุการณ์ที่ทางประเทศมาเลเซีย
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังปะทุดุเดือดอยู่นั้น ญี่ปุ่น เป็นประเทศเล็กๆ ที่จะยึดทั่วอาณาจักรเอเชียในสมัยนั้น บางเขตในประเทศไทยที่ติดทะเลจีนใต้ถูกญี่ปุ่นเข้ายึด แต่กลับกัน ประเทศมาเลเซียถูกยึดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ซึ่งในช่วงนั้นรัฐบาลของมาเลเซียค่อนข้างอ่อนแอ และขี้ขลาด จึงได้ยื่นข้อเสนอให้กองทัพญี่ปุ่นขับไล่ชาวจีนดั้งเดิม, ชาวจีนอพยพ รวมถึงเชื้อสายจีนทั้งหมด
เพราะเหตุการณ์แบบนี้ ทำให้ประชาชนที่มีเชื้อสายจีนส่วนใหญ่ออกมาลุกฮือเพื่อต่อต้านรัฐบาล ในช่วงสมัยนั้นเองทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเหยื่อของสงครามกลางเมือง และเป็นสงครามการเริ่มต้นของพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง
หลายแสนชีวิตต้องสูญสิ้น และหลายหมื่นชีวิตต้องดิ้นรน ประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลมาเลเซียนั้นล้วนส่วนใหญ่เป็นเยาวชนตั้งแต่อายุ 15 ขึ้นไป
พร้อมทั้งได้ขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกจากประเทศมาเลเซียได้สำเร็จ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมณูรลงที่ชิโกย่า ทำให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นต้องล่าถอย
ซึ่งในระยะสงบเพียง 2 ปีนี้เอง ทางผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ ที่เป็นความหวังใหม่ของประชาชนเชื้อสายจีน ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล แต่ทว่า รัฐบาลไม่ยินยอม จึงทำให้กองทัพอังกฤษที่เห็นว่า ทั้งกองทัพญี่ปุ่นที่ล่าถอยกลับกว่า 2 ปี และไม่มีวี่แววจะเข้ามาอีก จึงเป็นเหตุการณ์การล่าอาณานิคมโดยขึ้นฝั่งทางปีนัง และได้ตั้งรกรากฐานกว่าหลายปีเช่นกัน
รัฐบาลมาเลเซียพยายามเกลี่ยกล่อมให้ทหารอังกฤษให้ล่าถอยแต่ก็ไม่เป็นผล ที่สำคัญกองทัพอังกฤษขอยื่นข้อเสนอให้ขับไล่ประชาชนเชื้อสายจีน ในเหตุการณ์นี้นี่เองครับ ที่ทำให้ พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาเข้มแข็งขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะ ชาวมุสลิม ฮินดู จีน ได้ร่วมเข้าพรรคคอมมิวนิสต์
และในช่วงนั้นเองเป็นเหตุการณ์ที่คอมมิวนิสต์มาลายาขับไล่กองทัพอังกฤษได้สำเร็จ แต่รัฐบาลมาเลเซียได้ไล่โจมตีพรรคคอมมิวนิสต์จากตอนใต้ของมาเลเซียขึ้นสู่เหนือ จนถึงเขตชายแดนไทย-มาเลเซีย
ในช่วงนี้นี่เองครับที่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา จึงมีบทบาทสำคัญต่อพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา เพราะหลังจากที่ทางรัฐบาลมาเลเซียพยายามขับไล่พรรคคอมมิวนิสต์อย่างโหดเหี้ยมแล้ว ทางรัฐบาลไทยคอยช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ถึงไม่มาก แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่เหลือรอดจากสถานการณ์อันดุเดือดที่ถูกโจมตีตลอด
จนในที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาได้มีชาวบ้านส่วนน้อยในเขตอำเภอเบตงให้การสนับสนุน และคอยช่วยเหลือ แต่กลับกันประชาชนสมัยนั้นมีเพียงไม่กี่พันคน กลัวพรรคคอมมิวนิสต์อย่างมาก เนื่องจากเพราะ อิทธิพลของสงครามทำให้ชาวบ้านเกรงกลัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ คอมมิวนิสต์
แต่ทว่า รัฐบาลไทยได้รับข้อเสนอของพรรคคอมมิวนิสต์ และพร้อมที่จะส่งเสริมให้ นักรบคอมมิวนิสต์มาลายา ได้มีอิสรภาพจากการถูกรัฐบาลมาเลเซียข่มขี่มาหลายสิบปี จึงทำให้ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 30 ปี ที่มีอนุสรณ์สำคัญของคอมมิวนิสต์มาลายา ก็คือ "ความเสรีภาพ และความเท่าเทียมกันของเชื้อชาติทั้งหลาย" นั่นเอง
ผมอธิบายได้ไม่มากนัก แต่อาจจะทำให้หลายๆ คนได้ความรู้เกี่ยวกับ คอมมิวนิสต์ มากขึ้น
สุดท้ายแล้ว ผมขอขอบคุณสำหรับการที่ได้อ่านกระทู้นี้นะครับ ขอบคุณครับ