พี่ๆคะ อยากกลับไปแก้ไข หรือ อยากฝากบอกอะไรกับพวกเราในวัยเริ่มเข้า 20+ มั้ยคะ?

จขกท.อยากเรียนรู้ และฟังความคิดเห็นของพี่ๆ ที่มีประสบการณ์หลากหลาย และอาบน้ำร้อนมาก่อนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในช่วงวัยเริ่ม20+ ทั้งเรื่องการทำงาน การเก็บเงิน การเลือกคบคน  การทำตามฝัน การท่องเที่ยว การมีความรัก การวางแผนครอบครัว  ฯลฯ  สำหรับจขกท.ในวัยนี้คือวัยเริ่มสร้างอนาคต เริ่มวางแผนการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งจขกท. มีบางอย่างมากมายที่ผ่านมาที่อยากกลับไปทำและกลับไปทำไมได้ จึงไม่อยากพลาดโอกาสดีๆอีกครั้งในก้าวที่จะเดินนับจากนี้ไป ในวัย 20+  ค่ะ

    ถ้าพี่ๆย้อนกลับมาในช่วงวัย 20 + นี้ได้ วัยแห่งการเริ่มต้นทำงานอย่างเต็มรูปแบบ วัยที่หมุนผ่านจากวัยเรียนเข้าวัยทำงาน  พี่ๆอยากทำอะไร หรือแก้ไขจุดไหน หรืออยากบอกอะไรกับพวกเราบ้างมั้ยคะ?
  ส่วนจขกท.ในวัย 23 ปี อยากฝากบอกน้องๆใน
วัยเรียน ว่าอยากให้ตั้งใจเรียน ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุก หาประสบการณ์นอกห้องเรียนบ้าง เช่น ออกค่ายอาสา ทำงานหารายได้พิเศษ  เล่นดนตรี สนุกกับเพื่อนๆวัยมัธยม  มีความรักแบบ poppy love บ้างก็ได้55  ซึ่งก็เป็นเวลาช่วงนึง ที่เรามองย้อนกลับไปก็ทำให้เราได้ยิ้มและมีความสุขกับมันอีกครั้งหนึ่งเช่นกัน แต่ทั้งนี้พี่คงย้อนกลับไปไม่ได้ คงได้แต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ให้เสียดายหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงอายุนั้นๆที่เราไม่มีโอกาสได้กลับไปสัมผัสมันอีกแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
1. สำคัญที่สุดคือเรื่องเรียนรู้ที่จะมองในแง่ 'ร้าย' ในโลกที่อะไรๆก็มักจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเท่าไหร่ครับ เราถูกสอนให้เลือกจะมองโลกในแง่ดีมาตลอด โดยหารู้ไม่ว่า คำสอนแบบนี้เป็นการบิดเบือนภาพของโลกที่แท้จริง อย่างที่เราชอบพูดกันว่าคนในสังคมมีทั้งดีและ'ไม่ดี' แต่คำว่า'ไม่ดี' นี้เรารู้จักมันมากน้อยแค่ไหน ? ลองไปTackleปัญหาทางสังคมแบบจริงจัง มันให้มุมมองกับชีวิตลุ่มลึกขึ้น วิธีชนปัญหาคือการลองเป็นอาสาสมัครฯ ไปทำค่ายให้เด็กด้อยโอกาส เดินทางไปยังพื้นที่ที่ยังยากจนหรือพื้นที่สีแดง หรือง่ายที่สุดลองหาหนังหนักๆอย่าง The city of god หรือ Tokyo Sonata ดู หรือเปิดใจรับเรื่องที่เป็นปัญหาทางสังคมที่เป็นอยู่ มันช่วยให้เราPositionตัวเองได้ดีในอนาคต

อนึ่งมีถ้อยคำที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่จะมองโลกในแง่ร้ายที่พูดไว้อย่างสวยสดงดงามจนไม่ต้องสาธยายเพิ่มเติ่ม ซึ่งก็คือคำพูดที่ J.K.Rowling ได้ปาฐกถาในวันปัจจฉิมนิเทศ มหาวิทยาลัยHarvard
https://www.youtube.com/watch?v=AXFr5Pgoh64

2. เรียนรู้ภาษาให้มากกว่า 1 ภาษา เป็นข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดของพวกเรียนสายสามัญ (ที่ไม่เก่งเลข-วิทย์ แต่ถ้าเก่งเลขและวิทย์ก็จะเป็นผลดีในการเรียนต่อหรือทำงาน) การเรียนภาษามันมากกว่าเป็นการเรียนรู้แค่ถ้อยคำและวิธีการพูดใหม่ๆ แต่ยังเปิดการ 'เปิดโลก' ให้เราเชื่อมความสัมพันธ์ รับรู้ประสบการณ์ใหม่ๆกับผู้คนจากหลากหลายอารยธรรมมากขึ้น สุดท้ายมันนำไปสู่ความรู้สึกที่ว่า ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราไม่สามารถจะ'เคลือบ'มันด้วยมุมมองด้านเดียวของเรา(แน่นอนว่ามุมมองบางอย่างมันอยู่ในภาษาของเรา และภาษาของเค้า)

3. ลดการเล่นสื่ออนไลน์ ดูละคร(ที่มีพล๊อตแบบเดิมๆ) หันไปอ่านวรรณกรรม การอ่านวรรณกรรมก็คือการศึกษาชีวิตนั้นแหละครับ วรรณกรรมหลากหลายรูปแบบ หลายวิธีการเขียน หลายมุมมองที่ผู้เขียนเสนอต่อเรื่องเดียวกัน วรรณกรรมคือการ 'ย่อ' ชีวิตคน ลงมาในรูปบันทึกเชิงความคิดที่เปิดอ้าต่อการตีความที่ไม่สิ้นสุด ในจำนวนนี้วรรณกรรมที่เป็นMust Read สำหรับวัยรุ่นที่ผมอยากแนะนำคือ The Little Prince, To kill a Mocking Bird, Anne Frank's diary, Zadig และ The alchemist เป็นต้นครับ

4. ภาษิตที่ต้องท่องไว้ทุกวันคือ
"carpe diem" แปลว่า จงฉกฉวย วันเวลาเอาไว้ (ภาษิตลาตินโบราณ)
"know thyself"  แปลว่า จงรู้จักตัวเอง สิ่งแรกที่จะเรียนรู้ในชีวิตไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่เป็นตัวเราเอง (ภาษิตกรีกโบราณ)
"สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" แปลว่า 'สิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมัน' (ภาษิตพุทธ)ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องร้ายในชีวิต ให้คิดว่านี้คือสิ่งที่ต้องเจอ นี้คือธรรมดาของโลก อย่าไปยึดถือว่านั้นคือสิ่งดี นั้นคือสิ่งร้าย เพราะทั้งดีและร้ายก็เป็นโทษกับตัวเราพอๆกัน ถ้าเกิดเรายึดติดจนเกินพอดี
ความคิดเห็นที่ 3
ไหนๆมี tag เรื่องการลงทุน

ถ้าทำงานเรียนจบมา สิ่งแรกที่ต้องทำ ก่อนซื้อรถ หรือซื้อความสุขอื่นให้ชีวิต คือการซื้อความสุขบั้นปลายของชีวิตครับ เก็บเงินให้ได้เดือนละมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเอาไปลงทุนครับ เอาง่ายๆเอาแบบกองทุนรวมครับ กองทุนหุ้น SET50 ก็ได้ เอาแบบไม่ปันผลนะครับ

สมมตินะครับ ว่าเก็บได้เดือนละ 4,000 บาท ปีนึง 50,000 บาท ทำให้ได้ซัก 5 ปี กัดฟันไว้ ได้ 250,000 ตอนนั้นจะอายุ 28 ปี เงินก้อนนั้นสองแสนห้า อยู่ในกองทุนแบบนั้น 32 ปี สมมติว่าตลาดให้ผลตอบแทน 8% ต่อปี (สมมติฐานนี้น้อยมากๆเมื่อเทียบกับสถิติที่เคยมี) ตลาดจะขึ้นลงจะผันผวนยังไงอย่าสน ใจแข็งเข้าไว้ ตอนสุดท้าย เงินก้อนนั้น สองแสนห้า จะมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ตอนคุณอายุ 60 ปี

เขาเรียกว่า power of compounding interest เงินก้อนนั้นอาจจะไม่ได้ฟังดูเยอะ แต่เชื่อไหมครับว่า หลายๆคนทำงานไปทั้งชีวิต สุดท้ายตอนเกษียนก็ยังไม่มีเงินสดไว้กินตอนแก่ ส่วนจะเก็บซื้อบ้าน เที่ยวต่างประเทศอะไรขอให้ทำหลังจากเงินส่วนนี้ อย่าไปแตะ ถ้ามีเหลืออยากโปะลงไปเพิ่มก็ได้ แต่ขอให้โปะลงไปตอนอายุน้อยๆ มันได้ผลเยอะกว่า

ขอให้โชคดีครับ
ความคิดเห็นที่ 1
ขอแนะนำเรื่องการทำงานละกัน โดยเฉพาะบริษัทเอกชน

ไม่ว่าบริษัทใดเล็ก กลาง ใหญ่ ทุกบริษัทล้วนมีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเราทำๆไปเราจะรู้สึกว่าแนวทางบางอย่างของบริษัทมันขัดต่อศีลธรรมและคุณธรรมในตัวเรา ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาแสวงหาผลกำไรและต้องต่อสู้กับการแข่งขัน บางเรื่องเราจึงต้องทำอย่างจำใจ ทางแก้คือพยายามทำความเข้าใจกับงานและเจตนาของมันให้มากๆ

บริษัทเอกชนที่น่าทำคือบริษัทที่เราทำแล้วเรามีปัญหาน้อยที่สุด หรือบริษัทที่ทำให้พนักงานรู้สึกกดดันน้อยมากหรือแทบไม่กดดันเลย
ทำงานกับคนหมู่มากต้องระวังคำพูด เรื่องใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับงานควรคิดก่อนพูด ระวังอย่าบ่นจนเคยตัวแล้วพลั้งปากออกไป
ปัญหาในการทำงานคือทำงานไม่เป็น ไม่เข้าใจในงาน ไม่เข้าใจในคำสั่งของหัวหน้า จงถามเขาดังเช่นลูกถามพ่อแม่ อย่าเกร็งหรือกลัวเกินไป คนดีจะยินดีสั่งสอนผู้อื่น คนเห็นแก่ตัวจะไม่อยากสอนใคร เราแยกแยะคนตรงนี้ได้ด้วย

เรื่องความรัก เป็นสิ่งต้องห้ามในที่ทำงานเสมอ ถ้าอยากคบกันต้องไปเล่นนอกเวลางาน หรือถ้าเป็นสามีภรรยากันมาก่อนก็ไม่มีปัญหา บางบริษัทเข้มงวดเรื่องนี้ บางบริษัทไม่เข้มงวดเท่าไหร่ ส่วนใหญ่บริษัทของต่างชาติจะไม่ซีเรียสเรื่องความรักมากนัก แต่บริษัทของคนไทยจะเข้มงวดมากกว่า
ความคิดเห็นที่ 4
อยากจะเข้ามาบอกแค่ว่าคนอายุ 20 คุณพ่อคุณแม่อาจยังไม่แก่มากไม่ว่าคุณจะทำอะไรที่ไหนยังไงก็มีบ้านมีพ่อมีแม่อยู่เสมออยากให้ดูแลพ่อแม่แม่ให้ดีที่สุดและเคารพบูชาท่านให้เป็นที่หนึ่งเพราะเมื่อวันหนึ่งคนอายุผ่านไปอีก 20 30 ปีท่านก็แก่ลงไปแล้ววันหนึ่งก็ต้องจากคุณไปเมื่อคุณคิดย้อนหลังคุณจะไม่มีเรื่องเสียใจเลยเพราะคนที่ดูแลท่านดีมาตลอดและจำไว้เสมอนะคะไม่ว่าคุณจะดีใจเสียใจกลับไปบ้านที่มีหลังคาอบอุ่นคุณมีพ่อแม่ที่อยู่เป็นกำลังใจคุณคุณจะยืนได้อีกครั้งอย่างมั่นใจค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
- ถ้าสมัยนั้นเริ่มเก็บเงินออมไว้วันละ 50 บาท วันนี้ผมจะมีเงินออม 693,500 บ.(ไม่รวมดอกเบี้ย)

- รายเหลือ สำคัญไม่น้อยกว่ารายรับ จึงอย่ามองแต่รายได้ที่เข้ามาอย่างเดียวโดยไม่มองตอนออก
ก็ควรหัดทำบัญชีรับ-จ่ายประจำวันจนเป็นนิสัย แต่ถ้าคิดจะเก็บออมเพื่ออะไรก็อย่ารอเงินเท่าที่เหลือ
ตอนสิ้นเดือน แต่ให้ดูจากบัญชีรับจ่ายที่ทำไว้ว่าเราจะเก็บออมได้เท่าไรต่อเดือนแล้วหักเงินกันออก
มาเข้าบัญชีเงินฝากแยกไปตั้งแต่ต้นเดือนเลย

- คนที่ทำไม่ดีกับเรา แต่ก็มีที่เขาทำดีกับคนอื่นที่ไม่ใช่เรา ควรเข้าใจและยอมรับข้อนี้ด้วย จะได้ไม่
คับข้องใจเวลาพบสถานการณ์แบบนี้

- ควรทำดีไว้เสมอ แต่อย่าเผลอคิดว่าตัวเองเป็นคนดี

- ความรักวัยทำงานก็ให้ดูความมีวินัยและความรับผิดชอบเข้าไว้ ซึ่งจะต่างจากตอนวัยรุ่นที่มักจะมี
ภาพลวงตาของอนาคตอันเรืองรองอยู่ แต่คนวัยทำงานก็จะต้องลงมือสร้างบันไดปีนไปสู่อนาคตที่
ว่าอันนนั้นด้วยกำลังของตัวเอง จึงไม่ควรคาดคั้นให้แฟนทำอะไรเหมือนตอนวัยรุ่นมากนัก ดอกไม้
และของขวัญ แลกมาด้วยเงินที่ควรจะออมหรือนำไปลงทุนได้ทั้งสิ้น ในวัยนี้ควรให้นำหนักกับความ
ขยัน ความรับผิดชอบ เสมอต้นเสมอปลาย มากกว่าคารมคมคาย

พระอาทิตย์ดอกไม้
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ชีวิตวัยรุ่น มนุษย์เงินเดือน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่