สุดยอดโครงการที่มาลารินชอบที่สุด...




มาอ่านข่าวกันค่ะ...


🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅
โครงการลงทุนด้านคมนาคมของรัฐบาลในปีนี้ ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.7 ล้านล้านบาท
โดยกว่า 80% ของวงเงินลงทุนรวม เป็นการลงทุนพัฒนา “ระบบราง” ได้แก่ รถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง รถไฟทางคู่ 12 เส้นทาง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 7 เส้นทาง และรถไฟชานเมือง 2 เส้นทาง สะท้อนว่ารัฐเห็นถึงสำคัญของการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) ว่าจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ และต่อไปอีกหลายปีจากนี้
การลงทุนระบบรางด้วยเม็ดเงินมหาศาล นอกจากจะทำให้เกิดการหมุนรอบของเงิน ไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกหลายวงรอบแล้ว ยังเป็นการ “ยกระดับ” คุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง “ภูมิทัศน์” (แลนด์สเคป) ขยายความเป็นเมืองไปสู่ทุกหนทุกแห่งที่ระบบรางพาดผ่าน ทำให้เกิด “มูลค่าเพิ่ม” ในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ตามแนวรถไฟที่จะเกิดขึ้นตามมามากมาย จนรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง มีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐ โดยคาดว่าจะยกร่างกฎหมาย และบังคับใช้ได้ทันภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่กลับ “ไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายภาคส่วน อีกทั้งการดำเนินโครงการยังต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตอบทุกคำถามของสังคมได้ ล่าสุดคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่แต่งตั้งโดยคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาศัยมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อทำหน้าที่เร่งรัด กำกับ และตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ได้ยกเลิกเงื่อนไขการประมูลรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร (กม.) ราคากลาง 16,234 ล้านบาท ,นครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. ราคากลาง 19,270 ล้านบาท , ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. ราคากลาง 23,921 ล้านบาท ,มาบกะเบา-จิระ ระยะทาง 132 กม. ราคากลาง 28,505 ล้านบาท และหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. ราคากลาง 9,853 ล้านบาท รวมระยะทาง 668 กม. มูลค่าลงทุน 9.58 หมื่นล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)
โดยสั่งแก้เงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ให้แบ่งเป็น “สัญญาย่อย” 13 สัญญา เพื่อเปิดทางให้ผู้รับเหมารายกลางมีโอกาสเข้าร่วมประมูล โดยไม่มีอุปสรรคทางเทคนิค และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ
ทั้งนี้ การกำหนดเงื่อนไขทีโออาร์ใหม่ ส่งผลให้โครงการดังกล่าว ที่ผ่านการประมูลไปแล้ว โดยมีผู้รับเหมาแห่ซื้อเอกสารการประมูลไปถึง 36 บริษัท และกำลังจะเปิดซองประมูลว่าใครคือคว้าชัยในเดือนมี.ค.นี้ต้องเลื่อนออกไป เสมือนนับหนึ่งในการประมูลใหม่ ส่งผลให้กำหนดแล้วเสร็จของโครงการต้องเลื่อนออกไป จากกำหนดเดิมในปี 2563 ออกไปอีก 2 ปี
เราเห็นว่า แม้โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง จะมีการดำเนินการล่าช้าออกไปจากแผนเดิม แต่การแก้ไขทีโออาร์ที่เปิดกว้าง และสร้างความเป็นธรรมมากขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าเมื่อพิจารณาจากบทเรียน ของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ผ่านมา ที่มักมีประเด็นในเรื่องการผูกขาดการประมูลกับผู้รับเหมาไม่กี่ราย ด้วยการเขียนทีโออาร์เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนรายใหญ่ ดังนั้นหากไม่อยากให้มีปัญหาตามมาในอนาคต ก็ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม อุดทุกช่องทางปัญหา
การติดกระดุมให้ถูกตั้งแต่เม็ดแรก ยังเป็นการสร้าง “บรรทัดฐาน” ที่ถูกต้องสำหรับการประมูลงานโครงการภาครัฐในโครงการอื่นๆ ที่จะตามมา เพื่อผลักดัน “เศรษฐกิจระบบราง” ให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างแท้จริง
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/640729
((มาลาริน)) ^_^ เดินไปข้างหน้า พัฒนาก้าวไกลไทยแลนด์ ...'เศรษฐกิจระบบราง' ฟันเฟืองเคลื่อนประเทศ 🚄🚅
มาอ่านข่าวกันค่ะ...
🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅🚄🚅
โครงการลงทุนด้านคมนาคมของรัฐบาลในปีนี้ ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.7 ล้านล้านบาท
โดยกว่า 80% ของวงเงินลงทุนรวม เป็นการลงทุนพัฒนา “ระบบราง” ได้แก่ รถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง รถไฟทางคู่ 12 เส้นทาง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 7 เส้นทาง และรถไฟชานเมือง 2 เส้นทาง สะท้อนว่ารัฐเห็นถึงสำคัญของการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) ว่าจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ และต่อไปอีกหลายปีจากนี้
การลงทุนระบบรางด้วยเม็ดเงินมหาศาล นอกจากจะทำให้เกิดการหมุนรอบของเงิน ไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกหลายวงรอบแล้ว ยังเป็นการ “ยกระดับ” คุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง “ภูมิทัศน์” (แลนด์สเคป) ขยายความเป็นเมืองไปสู่ทุกหนทุกแห่งที่ระบบรางพาดผ่าน ทำให้เกิด “มูลค่าเพิ่ม” ในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ตามแนวรถไฟที่จะเกิดขึ้นตามมามากมาย จนรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง มีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐ โดยคาดว่าจะยกร่างกฎหมาย และบังคับใช้ได้ทันภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่กลับ “ไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายภาคส่วน อีกทั้งการดำเนินโครงการยังต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตอบทุกคำถามของสังคมได้ ล่าสุดคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่แต่งตั้งโดยคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาศัยมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อทำหน้าที่เร่งรัด กำกับ และตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ได้ยกเลิกเงื่อนไขการประมูลรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร (กม.) ราคากลาง 16,234 ล้านบาท ,นครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. ราคากลาง 19,270 ล้านบาท , ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. ราคากลาง 23,921 ล้านบาท ,มาบกะเบา-จิระ ระยะทาง 132 กม. ราคากลาง 28,505 ล้านบาท และหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. ราคากลาง 9,853 ล้านบาท รวมระยะทาง 668 กม. มูลค่าลงทุน 9.58 หมื่นล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)
โดยสั่งแก้เงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ให้แบ่งเป็น “สัญญาย่อย” 13 สัญญา เพื่อเปิดทางให้ผู้รับเหมารายกลางมีโอกาสเข้าร่วมประมูล โดยไม่มีอุปสรรคทางเทคนิค และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ
ทั้งนี้ การกำหนดเงื่อนไขทีโออาร์ใหม่ ส่งผลให้โครงการดังกล่าว ที่ผ่านการประมูลไปแล้ว โดยมีผู้รับเหมาแห่ซื้อเอกสารการประมูลไปถึง 36 บริษัท และกำลังจะเปิดซองประมูลว่าใครคือคว้าชัยในเดือนมี.ค.นี้ต้องเลื่อนออกไป เสมือนนับหนึ่งในการประมูลใหม่ ส่งผลให้กำหนดแล้วเสร็จของโครงการต้องเลื่อนออกไป จากกำหนดเดิมในปี 2563 ออกไปอีก 2 ปี
เราเห็นว่า แม้โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง จะมีการดำเนินการล่าช้าออกไปจากแผนเดิม แต่การแก้ไขทีโออาร์ที่เปิดกว้าง และสร้างความเป็นธรรมมากขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าเมื่อพิจารณาจากบทเรียน ของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ผ่านมา ที่มักมีประเด็นในเรื่องการผูกขาดการประมูลกับผู้รับเหมาไม่กี่ราย ด้วยการเขียนทีโออาร์เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนรายใหญ่ ดังนั้นหากไม่อยากให้มีปัญหาตามมาในอนาคต ก็ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม อุดทุกช่องทางปัญหา
การติดกระดุมให้ถูกตั้งแต่เม็ดแรก ยังเป็นการสร้าง “บรรทัดฐาน” ที่ถูกต้องสำหรับการประมูลงานโครงการภาครัฐในโครงการอื่นๆ ที่จะตามมา เพื่อผลักดัน “เศรษฐกิจระบบราง” ให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างแท้จริง
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/640729