รัฐบาลนี้ผลักดันส่งเสริมเศรษฐกิจกันเต็มที่ค่ะ
วางรากฐานเพื่อให้เกิดความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในวันข้างหน้า
โดยมีโครงการหลักๆ 5 โครงการ
ได้แก่.... สนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ท่าเรือแหลมฉบัง การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเมืองใหม่
เรื่องดีๆที่รัฐบาลทำเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บทางเศรษฐกิจ


มาอ่านข่าวกันค่ะ...

🚢🚢🚢🚢🚢🚢🚢
🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧
อดีตรองประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร “ปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์” ชี้รัฐส่งเสริมผลักดันนโยบายเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ECC เหมือนเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ลูกคนโตสร้างความแข็งแกร่งหาเม็ดเงินจุนเจือครอบครัว แนะคนชลบุรีปรับตัวให้ทันอนาคต
🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ อดีตรองประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ECC ที่จะดำเนินการใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ใน 5 โครงการหลัก คือ สนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ท่าเรือแหลมฉบัง การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเมืองใหม่ ว่า จังหวัดชลบุรีนั้นได้มีการพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดมานานแล้ว จนปัจจุบันได้ชื่อว่าซูเปอร์อีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งนโยบายภาครัฐที่มีการผลักดันในเรื่องนี้ถือได้ว่าช่วยเพิ่มความคล่องตัว และความสมบูรณ์แบบในการพัฒนาให้มากยิ่งขึ้นด้วยงบประมาณรวม 1.5 ล้านล้านบาท
โดยในเรื่องที่ 1 แผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่ใช้งบประมาณรวมกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อขยายการรองรับนักท่องเที่ยวจากปัจจุบัน 3 ล้านคนต่อปี เพิ่มเป็น 10 ล้านคนต่อปี ให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็น 10 ล้านคนในระยะ 5 ปีนั้น ในเรื่องนี้มองว่าจะเกิดประโยชน์เป็นอย่างมากต่อเศรษฐกิจในพื้นที่พลูตาหลวง เชื่อมโยงชลบุรี และระยอง เพราะจะช่วยให้พื้นที่มีการพัฒนาความเจริญได้ดียิ่งขึ้น
เรื่องที่ 2 การลงทุนรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก ที่ใช้งบประมาณรวมกว่าแสนล้านบาท ที่จะเชื่อมโยง 3 สนามบินไว้ด้วยกัน คือ สนามบินอู่ตะเภา สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้า และการเดินทางได้อีกเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องมีการผลักดันในระยะเวลาใกล้เคียงกันเพื่อให้เกิดการรองรับกันอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าในพื้นที่แหลมฉบัง สัตหีบ และมาบตาพุด ที่ทำให้การขนส่งสินค้าในภูมิภาคมีความสะดวกขึ้นมากกว่าเก่า และช่วยเพิ่มการขยายตัวในเรื่องนี้ได้เช่นกัน
เรื่องที่ 3 ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ด้วยงบประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท ในเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ในการรองรับการขนส่งสินค้าทางเรือที่จะสามารถเชื่อมโยงภูมิภาคในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะปัจจุบันมีการขนส่งสินค้าทางเรือเกิดขึ้นอย่างมากมาย จะช่วยให้ผู้ประกอบการระหว่างประเทศมีความสะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่ 4 การสนับสนุนลงทุนในอุตสาหกรรม New S-curve ซึ่งเหนือจากมูลค่าการขอส่งเสริมการลงทุนใน EEC ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยังมีในเรื่องแผนการลงทุน Bio-econmy ของกลุ่มประชารัฐ เพื่อให้เกิดการเร่งรัดการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า โดยให้บริษัทชั้นนำต่างๆ มาลงทุนในประเทศไทย ทั้งการประกอบรถยนต์ การผลิตชิ้นส่วน และแบตเตอรี่ ในเรื่องนี้เองจะเกิดการเติบโตจนเกิดเมืองใหม่เกิดขึ้น ที่ชื่อว่า “พัทยา 2” เป็นการขยายความเจริญออกมานอกพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นที่ย่านบางเสร่ ที่อาจเกิดเป็นเมืองใหม่ เพราะถือเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดที่มีการขายตัวพร้อมกัน
และเรื่องที่ 5 เรื่องการจัดตั้ง One stop services ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และที่การนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเชื่อว่าหากสำนักงาน EEC แห่งนี้เกิดขึ้น จะช่วยสร้างความน่าสนใจให้กลุ่มนักลงทุนได้ เพราะอาจจะมีการงดเว้นภาษีสำหรับผู้ลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งการลดภาษีในเรื่องนี้จะช่วยดึงดูดการลงทุนได้เป็นอย่างดี
อดีตรองประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวด้วยว่า การผลักดันนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนั้น ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนในจังหวัดชลบุรี ที่อนาคตจะเกิดการจ้างงาน และโอกาสทางธุรกิจของภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งเม็ดเงินเศรษฐกิจที่จะช่วยพัฒนาภูมิภาค และประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งก็อยากให้ภาครัฐเดินหน้านโยบายดังกล่าวต่อไป เหมือนเป็นการสนับสนุนลูกคนโตให้มีเขี้ยวเล็บในการหาเงินเข้าบ้านให้มากยิ่งขึ้น เพราะภูมิภาคตะวันออกถือเป็นภูมิภาคหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นจำนวนมหาศาล เหมือนหารายได้เข้าบ้านมาจุนเจือน้องซึ่งหมายถึงภูมิภาคอื่นๆ
ประกอบกับขณะนี้รัฐได้ดำเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ส่งเสริมการเติบโตด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจต่างๆ ทั้งหมดนี้หากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจริงจังแล้ว ในอนาคตภูมิภาคตะวันออกจะโชติช่วงชัชวาลอย่างแน่นอน ในส่วนของประชาชนเองต้องปรับตัวให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอนาคต ทั้งในเรื่องของภาษา การพัฒนาด้านแรงงานให้มีคุณภาพ การปรับภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้มีความปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน
http://m.manager.co.th/Local/detail/9600000030074
((มาลาริน)) ^^ รบ.ลุงตู่ ลงหลักปักฐานให้บ้านเมือง...ชี้รัฐดัน ECC เหมือนเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ลูกคนโตจุนเจือครอบครัว
วางรากฐานเพื่อให้เกิดความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในวันข้างหน้า
โดยมีโครงการหลักๆ 5 โครงการ
ได้แก่.... สนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ท่าเรือแหลมฉบัง การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเมืองใหม่
เรื่องดีๆที่รัฐบาลทำเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บทางเศรษฐกิจ
มาอ่านข่าวกันค่ะ...
🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧🔧
อดีตรองประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร “ปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์” ชี้รัฐส่งเสริมผลักดันนโยบายเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ECC เหมือนเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ลูกคนโตสร้างความแข็งแกร่งหาเม็ดเงินจุนเจือครอบครัว แนะคนชลบุรีปรับตัวให้ทันอนาคต
🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨🔨
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ อดีตรองประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ECC ที่จะดำเนินการใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ใน 5 โครงการหลัก คือ สนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ท่าเรือแหลมฉบัง การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเมืองใหม่ ว่า จังหวัดชลบุรีนั้นได้มีการพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดมานานแล้ว จนปัจจุบันได้ชื่อว่าซูเปอร์อีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งนโยบายภาครัฐที่มีการผลักดันในเรื่องนี้ถือได้ว่าช่วยเพิ่มความคล่องตัว และความสมบูรณ์แบบในการพัฒนาให้มากยิ่งขึ้นด้วยงบประมาณรวม 1.5 ล้านล้านบาท
โดยในเรื่องที่ 1 แผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่ใช้งบประมาณรวมกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อขยายการรองรับนักท่องเที่ยวจากปัจจุบัน 3 ล้านคนต่อปี เพิ่มเป็น 10 ล้านคนต่อปี ให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็น 10 ล้านคนในระยะ 5 ปีนั้น ในเรื่องนี้มองว่าจะเกิดประโยชน์เป็นอย่างมากต่อเศรษฐกิจในพื้นที่พลูตาหลวง เชื่อมโยงชลบุรี และระยอง เพราะจะช่วยให้พื้นที่มีการพัฒนาความเจริญได้ดียิ่งขึ้น
เรื่องที่ 2 การลงทุนรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก ที่ใช้งบประมาณรวมกว่าแสนล้านบาท ที่จะเชื่อมโยง 3 สนามบินไว้ด้วยกัน คือ สนามบินอู่ตะเภา สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้า และการเดินทางได้อีกเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องมีการผลักดันในระยะเวลาใกล้เคียงกันเพื่อให้เกิดการรองรับกันอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าในพื้นที่แหลมฉบัง สัตหีบ และมาบตาพุด ที่ทำให้การขนส่งสินค้าในภูมิภาคมีความสะดวกขึ้นมากกว่าเก่า และช่วยเพิ่มการขยายตัวในเรื่องนี้ได้เช่นกัน
เรื่องที่ 3 ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ด้วยงบประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท ในเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ในการรองรับการขนส่งสินค้าทางเรือที่จะสามารถเชื่อมโยงภูมิภาคในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะปัจจุบันมีการขนส่งสินค้าทางเรือเกิดขึ้นอย่างมากมาย จะช่วยให้ผู้ประกอบการระหว่างประเทศมีความสะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่ 4 การสนับสนุนลงทุนในอุตสาหกรรม New S-curve ซึ่งเหนือจากมูลค่าการขอส่งเสริมการลงทุนใน EEC ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยังมีในเรื่องแผนการลงทุน Bio-econmy ของกลุ่มประชารัฐ เพื่อให้เกิดการเร่งรัดการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า โดยให้บริษัทชั้นนำต่างๆ มาลงทุนในประเทศไทย ทั้งการประกอบรถยนต์ การผลิตชิ้นส่วน และแบตเตอรี่ ในเรื่องนี้เองจะเกิดการเติบโตจนเกิดเมืองใหม่เกิดขึ้น ที่ชื่อว่า “พัทยา 2” เป็นการขยายความเจริญออกมานอกพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นที่ย่านบางเสร่ ที่อาจเกิดเป็นเมืองใหม่ เพราะถือเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดที่มีการขายตัวพร้อมกัน
และเรื่องที่ 5 เรื่องการจัดตั้ง One stop services ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และที่การนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเชื่อว่าหากสำนักงาน EEC แห่งนี้เกิดขึ้น จะช่วยสร้างความน่าสนใจให้กลุ่มนักลงทุนได้ เพราะอาจจะมีการงดเว้นภาษีสำหรับผู้ลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งการลดภาษีในเรื่องนี้จะช่วยดึงดูดการลงทุนได้เป็นอย่างดี
อดีตรองประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวด้วยว่า การผลักดันนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนั้น ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนในจังหวัดชลบุรี ที่อนาคตจะเกิดการจ้างงาน และโอกาสทางธุรกิจของภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งเม็ดเงินเศรษฐกิจที่จะช่วยพัฒนาภูมิภาค และประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งก็อยากให้ภาครัฐเดินหน้านโยบายดังกล่าวต่อไป เหมือนเป็นการสนับสนุนลูกคนโตให้มีเขี้ยวเล็บในการหาเงินเข้าบ้านให้มากยิ่งขึ้น เพราะภูมิภาคตะวันออกถือเป็นภูมิภาคหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นจำนวนมหาศาล เหมือนหารายได้เข้าบ้านมาจุนเจือน้องซึ่งหมายถึงภูมิภาคอื่นๆ
ประกอบกับขณะนี้รัฐได้ดำเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ส่งเสริมการเติบโตด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจต่างๆ ทั้งหมดนี้หากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจริงจังแล้ว ในอนาคตภูมิภาคตะวันออกจะโชติช่วงชัชวาลอย่างแน่นอน ในส่วนของประชาชนเองต้องปรับตัวให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอนาคต ทั้งในเรื่องของภาษา การพัฒนาด้านแรงงานให้มีคุณภาพ การปรับภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้มีความปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน
http://m.manager.co.th/Local/detail/9600000030074