การเลือกเพลงมาร้องในรอบต่างๆของทุเรียนทำให้เห็นสิ่งที่พิเศษบางอย่างในตัวของทุเรียนหรือทอม ซึ่งก็เหมือนกับที่หลายๆคนมองเห็นกัน คือ ความใจกล้า บ้าบิ่น ใจถึง / ความกล้าที่จะท้าทายความสามารถของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพราะถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว จะมีนักร้องซักกี่คนในประเทศไทยที่มาประกวดร้องเพลง (ถึงแม้รายการนี้จะไม่ใช่การประกวดแข่งขันอย่างจริงจังเต็มรูปแบบชนิดที่มีเงินรางวัล หรือบ้านพร้อมที่ดิน เป็นเดิมพัน แต่เป็นการประกวดร้องเพลงกึ่งวาไรตี้โชว์ ซึ่งถึงอย่างไรก็มีการโหวตตัดสินหาผู้ชนะอยู่ดี) แล้วจะเปลี่ยนแนวเพลงไปทุกรอบการแข่งขันอย่างนี้ ซึงมีทั้งแนวที่ตัวเองถนัดและไม่ถนัดสลับกันไปทุกรอบ
- รอบแรก If I Ain’t Got You / แนวอาร์แอนด์บีที่ถนัด
- รอบสอง มือปืน / แนวเพื่อชีวิต ห่างไกลจากความเป็นตัวเองมาก
- รอบสาม Lay Me Down / แนวอาร์แอนด์บีที่ถนัดอีกครั้ง
- รอบสี่ Set Fire To The Rain / แนวป็อปโซล(เคยมีคนบอกไว้)ที่โชว์พลังเสียงดีโว่ที่ไม่ค่อย ได้เห็นในผลงานปกติของเค้า
- รอบสุดท้าย จดหมายฉบับสุดท้าย /แนวลูกทุ่ง อันนี้หักมุมสุดๆยิ่งกว่ามือปืน
ถามว่ามีนักร้องคนไหนบ้างที่ไปประกวดร้องเพลงแล้วกล้าที่จะเลือกร้องเพลงในแนวที่ตัวเองไม่ถนัด และไม่ใกล้เคียงความเป็นตัวเองเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบชิงชนะเลิศที่กล้าหาญชาญชัยขนาดเลือกร้องเพลงลูกทุ่งที่ห่างไกลความถนัดของตัวเองมาก จากที่เคยดูการประกวดร้องเพลงมา กล้าตอบได้เลยว่ามีน้อยคนมากจริงๆ คนที่ไปประกวดแทบทุกคนเค้าก็ต้องเลือกแนวเพลงที่ตัวเองถนัดมากที่สุดอยู่แล้วเพื่อที่จะสามารถแสดงศักยภาพให้คนเห็นได้เต็มที่
ดิฉันเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของทีมงาน workpoint ที่ทำรายการนี้บอกว่า ได้มีการเชิญนักร้องอาชีพที่มีชื่อเสียงไปหลายคน แต่หลายคนตอบปฏิเสธกลับมาด้วยเหตุผลว่า ถ้าหากเค้าต้องถูกโหวตให้แพ้ตกรอบไปเค้ากลัวตัวเองจะเสียชื่อเพราะเป็นนักร้องอาชีพแต่มาแข่งร้องเพลงแล้วแพ้ อะไรประมาณนี้ค่ะ
แต่กับทอมนี่นอกจากไม่กลัวแพ้ ยังกล้าที่จะท้าทายความสามารถของตัวเองด้วยการเปลี่ยนแนวเพลงให้แตกต่างกันไปทุกรอบการแข่งขัน ถ้าทุกคนมองตรงนี้อย่างปราศจากอคติจะเห็นว่า จุดประสงค์ที่เค้ามารายการนี้ไม่ใช่หวังแค่ชัยชนะหรือต้องป็นแชมป์เท่านั้น เพราะถ้าหวังแค่เรื่องชนะอย่างเดียวเค้าจะต้องเลือกแนวเพลงที่เค้าถนัดที่สุดและทำได้ดีที่สุดทุกเพลงอยู่แล้ว ถ้าทอมหวังแต่ผลชนะอย่างเดียวพวกเราคงจะไม่ได้ฟังเพลงอย่างมือปืน set fire to the rain หรือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ร้องในรอบสำคัญที่สุดอย่างรอบชิงแน่นอน
เค้าแค่อยากพิสูจน์ความสามารถตัวเองในหลายๆแนวทางว่าเค้าก็ทำได้มากกว่าการร้องแนวอาร์แอนด์บีอย่างเดียว แล้วการที่เค้าได้รับความรักและความเอ็นดูจากคนดูมากมายจนได้ชื่อว่าเป็นหน้ากากที่มีฐานแฟนคลับมากที่สุดนั้นไม่ได้มาเพราะฟลุ๊คหรือโชคช่วยแต่อย่างใด แต่ได้มาด้วยความสามารถ ความทุ่มเทและตั้งใจในทุกๆครั้งของการแข่งขัน ตรงจุดนี้คนดูมองเห็นค่ะและสัมผัสได้ เค้าจึงมีคนเชียร์และรักมากขึ้นเรื่อยๆ
ดูทุเรียนร้องจดหมายฉบับสุดท้ายจบนึกถึงคำพูดของคุณตั๊ก ศิริพรทันทีเลยที่บอกว่า “ขอบคุณมากที่ทำให้ประเทศไทยมีนักร้องเก่งๆอย่างนี้” ดิฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ แล้วก็ต้องขอบคุณรายการ The Mask Singer ด้วยที่เชิญทอมมาร่วมรายการนี้ทำให้ได้รู้ว่าวงการเพลงไทยมีนักร้องที่มีคุณภาพสูงมากๆคนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ด้วย
มากกว่าการเป็นแชมป์ ขอชื่นชมในความกล้าและใจถึงของคุณหน้ากากทุเรียนค่ะ
เพราะถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว จะมีนักร้องซักกี่คนในประเทศไทยที่มาประกวดร้องเพลง (ถึงแม้รายการนี้จะไม่ใช่การประกวดแข่งขันอย่างจริงจังเต็มรูปแบบชนิดที่มีเงินรางวัล หรือบ้านพร้อมที่ดิน เป็นเดิมพัน แต่เป็นการประกวดร้องเพลงกึ่งวาไรตี้โชว์ ซึ่งถึงอย่างไรก็มีการโหวตตัดสินหาผู้ชนะอยู่ดี) แล้วจะเปลี่ยนแนวเพลงไปทุกรอบการแข่งขันอย่างนี้ ซึงมีทั้งแนวที่ตัวเองถนัดและไม่ถนัดสลับกันไปทุกรอบ
- รอบแรก If I Ain’t Got You / แนวอาร์แอนด์บีที่ถนัด
- รอบสอง มือปืน / แนวเพื่อชีวิต ห่างไกลจากความเป็นตัวเองมาก
- รอบสาม Lay Me Down / แนวอาร์แอนด์บีที่ถนัดอีกครั้ง
- รอบสี่ Set Fire To The Rain / แนวป็อปโซล(เคยมีคนบอกไว้)ที่โชว์พลังเสียงดีโว่ที่ไม่ค่อย ได้เห็นในผลงานปกติของเค้า
- รอบสุดท้าย จดหมายฉบับสุดท้าย /แนวลูกทุ่ง อันนี้หักมุมสุดๆยิ่งกว่ามือปืน
ถามว่ามีนักร้องคนไหนบ้างที่ไปประกวดร้องเพลงแล้วกล้าที่จะเลือกร้องเพลงในแนวที่ตัวเองไม่ถนัด และไม่ใกล้เคียงความเป็นตัวเองเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบชิงชนะเลิศที่กล้าหาญชาญชัยขนาดเลือกร้องเพลงลูกทุ่งที่ห่างไกลความถนัดของตัวเองมาก จากที่เคยดูการประกวดร้องเพลงมา กล้าตอบได้เลยว่ามีน้อยคนมากจริงๆ คนที่ไปประกวดแทบทุกคนเค้าก็ต้องเลือกแนวเพลงที่ตัวเองถนัดมากที่สุดอยู่แล้วเพื่อที่จะสามารถแสดงศักยภาพให้คนเห็นได้เต็มที่
ดิฉันเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของทีมงาน workpoint ที่ทำรายการนี้บอกว่า ได้มีการเชิญนักร้องอาชีพที่มีชื่อเสียงไปหลายคน แต่หลายคนตอบปฏิเสธกลับมาด้วยเหตุผลว่า ถ้าหากเค้าต้องถูกโหวตให้แพ้ตกรอบไปเค้ากลัวตัวเองจะเสียชื่อเพราะเป็นนักร้องอาชีพแต่มาแข่งร้องเพลงแล้วแพ้ อะไรประมาณนี้ค่ะ
แต่กับทอมนี่นอกจากไม่กลัวแพ้ ยังกล้าที่จะท้าทายความสามารถของตัวเองด้วยการเปลี่ยนแนวเพลงให้แตกต่างกันไปทุกรอบการแข่งขัน ถ้าทุกคนมองตรงนี้อย่างปราศจากอคติจะเห็นว่า จุดประสงค์ที่เค้ามารายการนี้ไม่ใช่หวังแค่ชัยชนะหรือต้องป็นแชมป์เท่านั้น เพราะถ้าหวังแค่เรื่องชนะอย่างเดียวเค้าจะต้องเลือกแนวเพลงที่เค้าถนัดที่สุดและทำได้ดีที่สุดทุกเพลงอยู่แล้ว ถ้าทอมหวังแต่ผลชนะอย่างเดียวพวกเราคงจะไม่ได้ฟังเพลงอย่างมือปืน set fire to the rain หรือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ร้องในรอบสำคัญที่สุดอย่างรอบชิงแน่นอน
เค้าแค่อยากพิสูจน์ความสามารถตัวเองในหลายๆแนวทางว่าเค้าก็ทำได้มากกว่าการร้องแนวอาร์แอนด์บีอย่างเดียว แล้วการที่เค้าได้รับความรักและความเอ็นดูจากคนดูมากมายจนได้ชื่อว่าเป็นหน้ากากที่มีฐานแฟนคลับมากที่สุดนั้นไม่ได้มาเพราะฟลุ๊คหรือโชคช่วยแต่อย่างใด แต่ได้มาด้วยความสามารถ ความทุ่มเทและตั้งใจในทุกๆครั้งของการแข่งขัน ตรงจุดนี้คนดูมองเห็นค่ะและสัมผัสได้ เค้าจึงมีคนเชียร์และรักมากขึ้นเรื่อยๆ
ดูทุเรียนร้องจดหมายฉบับสุดท้ายจบนึกถึงคำพูดของคุณตั๊ก ศิริพรทันทีเลยที่บอกว่า “ขอบคุณมากที่ทำให้ประเทศไทยมีนักร้องเก่งๆอย่างนี้” ดิฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ แล้วก็ต้องขอบคุณรายการ The Mask Singer ด้วยที่เชิญทอมมาร่วมรายการนี้ทำให้ได้รู้ว่าวงการเพลงไทยมีนักร้องที่มีคุณภาพสูงมากๆคนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ด้วย