เนื่องจากผมมีความต้องการใช้รถยนต์ คือปกติขับมอเตอร์ไซอยู่ เวลากลับบ้านที่ต่างจังหวัดก็จะใช้รถโดยสารสาธารณะ จนวันหนึ่งตัดสินใจว่าเราควรมีรถยนต์เป็นของตนเองซักที ก็เลยต้องเลือกระหว่างรถใหม่และมือสอง ซึ่งด้วยงบประมาณที่มีจำกัด ก็เลยทำให้ตัวเลือกในการซื้อเหลือเพียงรถ ECO car
1. รถใหม่ ระดับตัวล่างๆ เกียร์ auto ซึ่งก็ราคาประมาณ 4.9 แสน ผ่อนจบจ่ายหมด จะประมาณ 5 แสนกลางๆ – ปลายๆ ขึ้นกับจำนวนเงินดาวน์และอัตราดอกเบี้ย อันนี้เป็นทางเลือกแรกสุดที่คิดจะซื้อรถเลย เพราะจะได้รถที่อยู่ในประกันศูนย์ ซึ่งอุ่นใจสำหรับคนที่ดูรถไม่เป็นเลย อย่างน้อยถ้ารถมีปัญหาในช่วงระยะแรกก็ยังสามารถนำเข้าศูนย์เพื่อเปลี่ยนอะไหล่ หรือซ่อมได้ ปัญหาจุกจิกจะน้อย
2. รถมือสอง --- สำหรับคนดูรถไม่เป็นแบบผม ทางเลือกนี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะเลือก เพราะเราดูรถไม่เป็น ถ้าเจอรถย้อมหรือสวมทะเบียนแบบที่อ่านเจอในเน็ต เราแทบไม่มีโอกาสรู้ได้เลย หรือกรณีรถเกิดการชนหนักจนซ่อมไม่ได้ เราก็จะดูไม่ออก และแถมรถมือสองบางรุ่นยังแทบไม่ต่างจากรถใหม่เลย
ซึ่งจากการศึกษาเข้าทางกลุ่มต่างๆ และคลับต่างๆ รถ ECO Car ในตลาด มี หลายยี่ห้อมาก ซึ่งก็ได้ไปศึกษารีวิวรถแต่ละยี่ห้อ ซึ่งสุดท้าย มันคงขึ้นกับงบประมาณของเราเนี่ยหละที่เป็นส่วนสำคัญ จึงตัดสินใจ ดูรถยี่ห้อนึง ที่เป็น ECO car ที่ไม่ใช่ของ Honda และ Toyota ที่เป็นเจ้าตลาด
หลังจากเลือกรถได้แล้ว ก็เลยลองเปิดไปใน Application ที่เป็นการขายรถออนไลน์ดู เช่น Taladrod, One2car, Kaidee ซึ่งมันจะเลือก ยี่ห้อ รุ่น และปีที่จดทะเบียนได้ เราก็กรองเอารุ่นที่เรามองๆไว้ และปีที่จดทะเบียน โดยอย่างผมจะเลือก 2015-2017 อายุรถที่จะอยู่ในลิสต์จะมีอายุ ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในวารันตีศูนย์ (รถบางคันจะมี Book Service ให้ด้วย ซึ่งทำให้เราดูรถได้ง่ายขึ้น อย่างน้อยโอกาสโดนกรอไมล์ รถย้อม ก็จะน้อยลง)
เราจะเจอรถให้เลือกมากมายและหลายราคาเลย ซึ่งผมสังเกตว่า รถส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ใน app จะเป็นเต๊นท์ที่มาประกาศขาย (รถ Dealer) ซึ่งสภาพถ้าเราดูจากรูป จะสวยทุกคัน 555+ (เพราะเต็นท์เค้าจะเก็บสภาพเพื่อให้รถดูดี รถดูดีจะขายง่าย รถโทรมๆคนซื้อก็จะไม่อยากได้ เต็นท์จึงมีส่วนสำคัญในการปกปิดสภาพรถเดิมๆ) ดังนั้น บางครั้งเราเห็นรถสวยๆในแอพ เหมือนเราเจอผู้หญิงในเน็ตที่บางคนก็ใช้ app แต่งรูปซะสวยเลย แต่ตัวจริงอาจไม่ได้สวยอย่างในรูป ดังนั้น เราควรจะไปดูรถในสถานที่จริงด้วย
เมื่อเราเลือกรถที่ถูกใจได้แล้ว สิ่งที่เราต้องเสียในการซื้อรถ (อันนี้คือที่ผมเสีย บางคนอาจเสียน้อยกว่าหรือมากกว่าคงขึ้นกับเต๊นท์ เท่าที่ผมดูบางเต๊นแถมให้ **** แต่ราคารถดันแพงกว่า ต้องดูดีๆครับ)
1. ค่าโอน+ค่าจด = 6,000 บาท
2. ค่าตรวจสภาพ = 6,000 บาท
ถ้าเราไม่ได้ซื้อสดจะต้องเสียเพิ่มดังนี้
1. ประกันชั้น 1 หรือ 2+ (ถ้ามันไม่มี ไฟแนนซ์จะให้ทำ)
2. ดอกเบี้ยอัตรา Flat rate (อย่างของผมผ่อน 5 ปี เสียดอกเบี้ย 3.5%ต่อปี)
3. VAT 7% (ยอดจัดไฟแนนซ์+ดอกเบี้ย)
สุดท้าย ผมก็เลือกผู้ขาย 1 รายจากในนั้น ซึ่งก่อนจะเลือก ผมก็พยายามหาประวัติของผู้ขาย จนผมเจอว่าเต็นท์นี้มีเฟสบุค และลองเข้าไปดู พบว่ามีคนรีวิวไว้เยอะครับ (ประมาณ 200 กว่าคน) และให้คะแนนดีมาก ผมก็เลยไปดูสภาพรถ ซึ่งสวย กรณีของผม เต็นท์ไม่มีเล่ม Book service & Owner Manual แต่ก็เขียนระบุเลขไมล์ลงในสัญญาซื้อขาย และการรับประกันรถยนต์(ว่าไม่เคยชนหนัก น้ำท่วม ฯลฯ และรับประกัน 15 วัน) พี่ชายที่พอดูเครื่องยนต์เป็น ก็ดูดอกยางและสภาพเครื่องยนต์ก็บอกได้ว่ารถใหม่มาก แต่มีบางจุดที่เป็นรอยเฉี่ยวเล็กน้อย ก็เลยให้เต็นท์เค้าช่วยเก็บสีให้ จ่ายเงินจองทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเต๊นท์ก่อนนัดวันส่งมอบ ก่อนไปรับรถผมเลยโทรเช็คที่ศูนย์บริการของยี่ห้อนั้นดู ว่ารถตัวถังเลขนี้มีประวัติเข้าศูนย์เป็นอย่างไร ซึ่งเลขไมล์ที่เข้าศูนย์ก็ดูใกล้เคียงกับรถที่ได้รับ (เข้าศูนย์ ธค59 เลขไมล์ประมาณ 12k ตอนนี้เลขไมล์เกือบ 15k) สบายใจได้ ไปจ่ายเงินรับรถครับ ตอนนี้ก็ไปสั่งซื้อเล่ม Book Service และเช็คประกันศูนย์ครับ โดยรวมผมก็ถูกใจในราคารถและสภาพรถครับ
จากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผมได้รู้หลายๆอย่างเลยครับกับการซื้อรถมือสอง 1 คัน มีอะไรให้ต้องคิดกว่าการซื้อรถใหม่มากๆๆเลย อย่างแรก สีรถและร่องรอยต่างๆ ถ้าเค้าจะทำให้เราดูไม่ออก คนไม่มีประสบการณ์แทบไม่มีโอกาสดูออกเลย ต้องระวังมากครับ (ผมว่าการเลือกซื้อกับคนขายที่มีความน่าเชื่อถือมีส่วนสำคัญทีเดียวครับ เพราะเต๊นท์เค้าก็เลือกได้ว่าเค้าจะจับรถแบบไหนมาขาย) และค่าใช้จ่ายต่างๆเช่น VAT อัตราดอกเบี้ย และค่าอื่นๆ เราควรบวกคำนวณให้ดีว่าราคารถมือสองที่เราดูนั้น เมื่อเราจ่ายทั้งหมดแล้ว เทียบกับการออกรถใหม่อย่างไหนถูกกว่ากัน
ปล. ผมเพิ่งรับรถมาไม่ถึงสัปดาห์ และความรู้ยังไม่ค่อยมี มีโอกาสคงได้มาตั้งกระทู้ถามเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
แชร์ประสบการณ์ การซื้อรถคันแรก และเป็นรถมือสองครับ
1. รถใหม่ ระดับตัวล่างๆ เกียร์ auto ซึ่งก็ราคาประมาณ 4.9 แสน ผ่อนจบจ่ายหมด จะประมาณ 5 แสนกลางๆ – ปลายๆ ขึ้นกับจำนวนเงินดาวน์และอัตราดอกเบี้ย อันนี้เป็นทางเลือกแรกสุดที่คิดจะซื้อรถเลย เพราะจะได้รถที่อยู่ในประกันศูนย์ ซึ่งอุ่นใจสำหรับคนที่ดูรถไม่เป็นเลย อย่างน้อยถ้ารถมีปัญหาในช่วงระยะแรกก็ยังสามารถนำเข้าศูนย์เพื่อเปลี่ยนอะไหล่ หรือซ่อมได้ ปัญหาจุกจิกจะน้อย
2. รถมือสอง --- สำหรับคนดูรถไม่เป็นแบบผม ทางเลือกนี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะเลือก เพราะเราดูรถไม่เป็น ถ้าเจอรถย้อมหรือสวมทะเบียนแบบที่อ่านเจอในเน็ต เราแทบไม่มีโอกาสรู้ได้เลย หรือกรณีรถเกิดการชนหนักจนซ่อมไม่ได้ เราก็จะดูไม่ออก และแถมรถมือสองบางรุ่นยังแทบไม่ต่างจากรถใหม่เลย
ซึ่งจากการศึกษาเข้าทางกลุ่มต่างๆ และคลับต่างๆ รถ ECO Car ในตลาด มี หลายยี่ห้อมาก ซึ่งก็ได้ไปศึกษารีวิวรถแต่ละยี่ห้อ ซึ่งสุดท้าย มันคงขึ้นกับงบประมาณของเราเนี่ยหละที่เป็นส่วนสำคัญ จึงตัดสินใจ ดูรถยี่ห้อนึง ที่เป็น ECO car ที่ไม่ใช่ของ Honda และ Toyota ที่เป็นเจ้าตลาด
หลังจากเลือกรถได้แล้ว ก็เลยลองเปิดไปใน Application ที่เป็นการขายรถออนไลน์ดู เช่น Taladrod, One2car, Kaidee ซึ่งมันจะเลือก ยี่ห้อ รุ่น และปีที่จดทะเบียนได้ เราก็กรองเอารุ่นที่เรามองๆไว้ และปีที่จดทะเบียน โดยอย่างผมจะเลือก 2015-2017 อายุรถที่จะอยู่ในลิสต์จะมีอายุ ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในวารันตีศูนย์ (รถบางคันจะมี Book Service ให้ด้วย ซึ่งทำให้เราดูรถได้ง่ายขึ้น อย่างน้อยโอกาสโดนกรอไมล์ รถย้อม ก็จะน้อยลง)
เราจะเจอรถให้เลือกมากมายและหลายราคาเลย ซึ่งผมสังเกตว่า รถส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ใน app จะเป็นเต๊นท์ที่มาประกาศขาย (รถ Dealer) ซึ่งสภาพถ้าเราดูจากรูป จะสวยทุกคัน 555+ (เพราะเต็นท์เค้าจะเก็บสภาพเพื่อให้รถดูดี รถดูดีจะขายง่าย รถโทรมๆคนซื้อก็จะไม่อยากได้ เต็นท์จึงมีส่วนสำคัญในการปกปิดสภาพรถเดิมๆ) ดังนั้น บางครั้งเราเห็นรถสวยๆในแอพ เหมือนเราเจอผู้หญิงในเน็ตที่บางคนก็ใช้ app แต่งรูปซะสวยเลย แต่ตัวจริงอาจไม่ได้สวยอย่างในรูป ดังนั้น เราควรจะไปดูรถในสถานที่จริงด้วย
เมื่อเราเลือกรถที่ถูกใจได้แล้ว สิ่งที่เราต้องเสียในการซื้อรถ (อันนี้คือที่ผมเสีย บางคนอาจเสียน้อยกว่าหรือมากกว่าคงขึ้นกับเต๊นท์ เท่าที่ผมดูบางเต๊นแถมให้ **** แต่ราคารถดันแพงกว่า ต้องดูดีๆครับ)
1. ค่าโอน+ค่าจด = 6,000 บาท
2. ค่าตรวจสภาพ = 6,000 บาท
ถ้าเราไม่ได้ซื้อสดจะต้องเสียเพิ่มดังนี้
1. ประกันชั้น 1 หรือ 2+ (ถ้ามันไม่มี ไฟแนนซ์จะให้ทำ)
2. ดอกเบี้ยอัตรา Flat rate (อย่างของผมผ่อน 5 ปี เสียดอกเบี้ย 3.5%ต่อปี)
3. VAT 7% (ยอดจัดไฟแนนซ์+ดอกเบี้ย)
สุดท้าย ผมก็เลือกผู้ขาย 1 รายจากในนั้น ซึ่งก่อนจะเลือก ผมก็พยายามหาประวัติของผู้ขาย จนผมเจอว่าเต็นท์นี้มีเฟสบุค และลองเข้าไปดู พบว่ามีคนรีวิวไว้เยอะครับ (ประมาณ 200 กว่าคน) และให้คะแนนดีมาก ผมก็เลยไปดูสภาพรถ ซึ่งสวย กรณีของผม เต็นท์ไม่มีเล่ม Book service & Owner Manual แต่ก็เขียนระบุเลขไมล์ลงในสัญญาซื้อขาย และการรับประกันรถยนต์(ว่าไม่เคยชนหนัก น้ำท่วม ฯลฯ และรับประกัน 15 วัน) พี่ชายที่พอดูเครื่องยนต์เป็น ก็ดูดอกยางและสภาพเครื่องยนต์ก็บอกได้ว่ารถใหม่มาก แต่มีบางจุดที่เป็นรอยเฉี่ยวเล็กน้อย ก็เลยให้เต็นท์เค้าช่วยเก็บสีให้ จ่ายเงินจองทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเต๊นท์ก่อนนัดวันส่งมอบ ก่อนไปรับรถผมเลยโทรเช็คที่ศูนย์บริการของยี่ห้อนั้นดู ว่ารถตัวถังเลขนี้มีประวัติเข้าศูนย์เป็นอย่างไร ซึ่งเลขไมล์ที่เข้าศูนย์ก็ดูใกล้เคียงกับรถที่ได้รับ (เข้าศูนย์ ธค59 เลขไมล์ประมาณ 12k ตอนนี้เลขไมล์เกือบ 15k) สบายใจได้ ไปจ่ายเงินรับรถครับ ตอนนี้ก็ไปสั่งซื้อเล่ม Book Service และเช็คประกันศูนย์ครับ โดยรวมผมก็ถูกใจในราคารถและสภาพรถครับ
จากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผมได้รู้หลายๆอย่างเลยครับกับการซื้อรถมือสอง 1 คัน มีอะไรให้ต้องคิดกว่าการซื้อรถใหม่มากๆๆเลย อย่างแรก สีรถและร่องรอยต่างๆ ถ้าเค้าจะทำให้เราดูไม่ออก คนไม่มีประสบการณ์แทบไม่มีโอกาสดูออกเลย ต้องระวังมากครับ (ผมว่าการเลือกซื้อกับคนขายที่มีความน่าเชื่อถือมีส่วนสำคัญทีเดียวครับ เพราะเต๊นท์เค้าก็เลือกได้ว่าเค้าจะจับรถแบบไหนมาขาย) และค่าใช้จ่ายต่างๆเช่น VAT อัตราดอกเบี้ย และค่าอื่นๆ เราควรบวกคำนวณให้ดีว่าราคารถมือสองที่เราดูนั้น เมื่อเราจ่ายทั้งหมดแล้ว เทียบกับการออกรถใหม่อย่างไหนถูกกว่ากัน
ปล. ผมเพิ่งรับรถมาไม่ถึงสัปดาห์ และความรู้ยังไม่ค่อยมี มีโอกาสคงได้มาตั้งกระทู้ถามเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ