สร้างมาด้วยมือ แต่ลบด้วยเท้า กับ The Mask Singer รอบชิงชนะเลิศ

ท่ามกลางขาลงของรายการร้องเพลงที่เคยครองตลาด และการผุดขึ้นมาใหม่ของอีกหลายเวทีในยุคทีวีดิจิตอล รายการหนึ่งที่พุ่งทะยานและได้ใจคนดูอย่างรวดเร็ว ด้วยความสนุก ตลก การได้เห็นมุมมองใหม่ๆจากผู้เข้าแข่งขันหลายๆคน และคุณภาพของการผลิตรายการ ที่ฟูมฟักมาเป็นอย่างดี กลับพังทลายลงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ในวันถ่ายทอดสดรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งควรจะเป็นอะไรที่น่าจดจำในด้านดีๆ แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม และทำลายศรัทธาของคนที่ติดตามและเป็นแฟนรายการนี้อย่างสิ้นเชิง

การตัดสินใจถ่ายทอดสดในรอบชิง เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ทีมงานก็ต้องมีความพร้อม การเตรียมตัว ความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ที่มากกว่าปกติ โดยเฉพาะพิธีกรที่ต้องควบคุมรายการหน้าฉาก และโปรดิวเซอร์ที่ต้องควบคุมอยู่หลังฉากที่ต้องตัดสินใจเฉียบพลัน มีสติ แก้ปัญหาเป็น แต่ที่เป็นอยู่มันไม่ใช่เลย

ความผิดพลาดของรายการ ไล่มาตั้งแต่

1.    การไม่สามารถดีลกรรมการตัวท็อปๆมาร่วมรายการได้ ซึ่งถ้าวางแผนดี ติดต่อล่วงหน้านานๆ ไม่น่าเกินความสามารถ

2.    การไม่สามารถกระจายบทอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในการเชิญแตงโมมาร่วมรายการแต่ไม่ให้ซีนในการถามคำถาม อันที่จริงการเชิญแตงโมและจ๊ะจ๋ามาก็ประดักประเดิกมากพอแล้ว ไม่ได้เซอร์ไพรซ์ ไม่ได้ตื่นเต้น ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แต่ในเมื่อเชิญมาแล้ว ขึ้นเวทีแล้ว ก็ต้องให้ความสำคัญกับเขาหน่อยมั้ย ไม่งั้นก็ตัดออกไปเลยแต่ต้น

3.    การไม่มีสคริปต์ เห็นได้ชัดเลยในช่วงหลังการประกาศผล กับเวลาที่เพิ่มขึ้นมาอีกเกือบชั่วโมง แต่เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีจุดหมาย ไม่มีทิศทาง ไม่มีจุดพีค การเรียบเรียงคำถามก็ไม่ต่อเนื่อง การอยู่ๆก็ให้มีผู้แข่งขันคนอื่นๆเดินขึ้นเวทีโดยไม่ได้มีบทบาทอะไร อยู่ๆก็จะให้ร้องเพลง (ซึ่งก็บอกเพลงที่จะร้องบนเวทีนั่นแหละ) อยู่ๆก็จะให้เต้น ชวนคนดูเต้น ซึ่งมองไม่เห็นจุดประสงค์อะไร นอกจากการดึงรายการให้ครบตามที่ได้มา และขายโฆษณาให้ได้มากๆเท่านั้น

4.    และที่เลวร้ายที่สุด คือการไม่ยอมประกาศผลว่าผู้ชนะ หน้ากากทุเรียนเป็นใคร แม้ว่าทางรายการจะพยายามอ้างเหตุผล เช่น รายการต้นฉบับก็ไม่ประกาศ บอกผ่านสื่อต่างๆแล้วว่าไม่ประกาศ กติกาให้เปิดได้แค่วีคละคน แต่สิ่งที่รายการแสดงให้เห็นตอนออกอากาศคือการพยายามทำให้คนดูเข้าใจว่าจะมีการเปิดหน้ากากทุเรียนในตอนท้ายรายการตลอด โดยไม่ได้มีความจริงใจต่อผู้ชมเลย ซึ่งถ้ารายการบอกแต่ต้นว่าจะถอดหน้ากากทุเรียนในครั้งหน้า หรือแม้แต่ไม่ถอด โดยรอให้เป็นซีซันถัดๆไปเลย อาจจะขัดใจคนดู แต่คนดูก็ยังยอมรับได้มากกว่าการหลอกล่อให้คิดว่าจะถอด แต่มาหักหลังกระทืบความศรัทธาของคนดูอย่างที่เห็น คนที่เสียจากการตัดสินใจดำเนินรายการเช่นนี้ มีตั้งแต่
-หน้ากากทุเรียน ที่ปัจจุบันทั้งประเทศมั่นใจแล้วว่าเป็นใคร ไม่ได้ลุ้นว่าจะเป็นใครใต้หน้ากาก แต่คนดูรอดูสีหน้า อารมณ์ ตอนถอดหน้ากากหลังแข่งขันจบใหม่ๆ และอยากร่วมชื่นชมด้วย แต่การที่ถูกยื้อไปอีกวีคนึง อารมณ์ตรงนี้มันหายไปแล้ว และช่วงสัมภาษณ์อีกาดำ ที่ทุเรียนเหมือนกับเป็นแค่ตัวประกอบ ไม่มีบทบาท ไม่มีซีนให้ได้ชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ในฐานะแชมป์ของรายการ
-หน้ากากอีกาดำ ที่ถึงได้เวลาสัมภาษณ์นานกว่าคนอื่น แต่กลับถูกจดจำน้อยกว่าหน้ากากอื่นๆเวลาถอดด้วยซ้ำ เพราะความอ่อนด้อยในการสัมภาษณ์ และการที่คนดูล้วนแต่จดจ่อไปที่เมื่อไหร่จะเปิดหน้ากากทุเรียน และหงุดหงิดที่มัวแต่สัมภาษณ์อีกาดำอยู่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด
-พิธีกร กันต์ ที่ทำหน้าที่ดีมาโดยตลอด แต่ต้องเป็นคนรับเสียงด่าไปเต็มๆจากการที่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของรายการ อันที่จริง รายการสดที่ผ่านมา กันต์ก็ทำหน้าที่ไม่ถึงกับดีนัก (โดยเฉพาะช่วงถามคำถามสองนาที ช่วงสัมภาษณ์อีกาดำ และการพยายามยื้อจังหวะการประกาศจนดูเยิ่นเย้อ) แต่เสียงตอบรับที่ได้ ก็ต้องบอกว่าเห็นใจอยู่
-คนดู ที่ถูกทำให้เสียความรู้สึก เสียศรัทธา เหมือนถูกหักหลัง เหมือนถูกเอามาเป็นเครื่องมือให้ใช้เรียกเรตติ้ง เรียกโฆษณา โดยที่ทางทีมงานไม่ได้เห็นคุณค่าอะไร ซึ่งตัวเจ้าของกระทู้เองก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เลยต้องออกอาการดราม่า

ลองคิดดูว่าถ้ารายการตรงไปตรงมากับคนดู เช่น บอกกติกาแต่แรกว่าวันนี้จะเปิดหน้ากากเฉพาะผู้แพ้ส่วนแชมป์จะไปประกาศสัปดาห์หน้า หรือหลังประกาศผล เชิญหน้ากากทุเรียนเข้าห้องเก็บตัว และสัมภาษณ์ เอ๊ะ จิรากร เต็มๆ คนดูก็คงไม่ลดน้อยลงเท่าไหร่ และทุกคนก็คงให้อภัยในความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นเพราะเห็นเป็นรายการสด แต่สิ่งที่รายการทำมันทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากรายการหน้าเงิน หวังแค่เรตติ้ง หวังแค่โฆษณาเข้าเยอะๆ เท่านั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่