ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 23/3/2017 (Stella Awardsคดีแปลกๆ)

กระทู้คำถาม



ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น





สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องเพลงและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

วันก่อนได้อ่านกระทู้ที่พี่สาวนำข่าวมาแปะ เป็นเรื่องหึงหวงแล้วมีการทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส แต่คดีไม่คืบหน้า
พอได้อ่านเรื่องคดี เลยนึกถึงคดีแปลกๆ ของเมืองนอก วันนี้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ


Stella Awards รางวัลสเตลล่า

เป็นการจัดอันดับคดีที่ชนะมาได้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ เป็นประจำทุกปีของประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ
รางวัลนี้มีที่มาที่ไปยังไง มาติดตามกัน




ชื่อของรางวัลนี้มาจาก สเตลลา ลีเบค (Stella Liebeck) หญิงชาวอเมริกัน วัย 79 ปี ที่อาศัยอยู่ในนิวเม็กซิโก

ในวันเกิดเหตุคือวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1992 คุณยายนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสาร โดยมีหลานชายเป็นคนขับรถให้
หลังซื้อกาแฟร้อนจากแมคโดนัลด์แบบ Drive Through (ไม่ได้ลงจากรถ) เธอใช้หัวเข่าหนีบแก้วกาแฟไว้เพื่อจะเติมนมและน้ำตาล

แต่ขณะที่เธอกำลังเปิดฝา กาแฟก็หกลงลวกตักของเธอ ยังผลให้คุณยายบาดเจ็บต้องหามส่งโรงพยาบาล

หลังจากรักษาจนหายดี คุณยายก็ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากทาง McDonald ด้วยข้อหาว่า
McDonald ขายกาแฟที่มีอุณภูมิสูงระดับที่ทำเกิดแผลพุพองได้

ซึ่งการพิจารณาคดีก็โต้กันไปมา เพราะถ้ากาแฟไม่ร้อนพอรสชาดมันก็ไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าจะเอารสชาดดีๆ ก็ต้องต้มด้วยน้ำเดือดๆ

ผลสุดท้าย คดีจบลงที่คณะลุกขุน 12 คน ลงความเห็นในวันที่ 18 สิงหาคม 1994 (ปาเข้าไปสองปีกว่าๆ) ว่า
McDonald เป็นฝ่ายผิด โดยแม้ว่าที่แก้วกาแฟจะมีคำเตือนว่ากาแฟร้อน แต่ตัวอักษรก็เล็กเกินไป
(โห นึกถึงบ้านเราเลยค่ะ ยิ่งหนักกว่า คำเตือนแทบต้องใช้กล้องส่องพระอ่าน หรือในทีวีก็พูดเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง)




McDonald ต้องจ่ายค่าเสียหายรวมๆ เกือบ 2.8 ล้านเหรียญ (เวลานั้นน่าจะประมาณ 50 ล้านบาท)
และกลายเป็นคดีในตำนาน McDonald’s Coffee Case ในที่สุด

แน่นอนว่าหลังจากนั้นมา ร้านที่ขายกาแฟดัง ๆ ทั้งหลายก็โดนฟ้องร้องกันเป็นว่าเล่น
ตั้งแต่ Starbuck, Dun’kin Donut, Burger King, Wendy’s แถมชนะคดีด้วยนะ
เพราะศาลเอาคดีของคุณยาย Stella Liebeck เป็นมาตรฐานในการพิจารณา สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของธุรกิจไปทั่ว
กลายเป็นคดีดังที่ในภายหลังช่องสารคดีอย่าง HBO ถึงกับเอาไปทำหนังเรื่อง Hot Coffee กันเลยทีเดียว

ช่วงนั้นเอง บริษัทต่างๆ ในอเมริกา ต่างติดสารพัดป้ายคำเตือนตัวโตๆ กันสุดฤทธิ์
"ระวังร้อน ระวังกระจก ระวังตก ระวังแตก  ระวังลื่น ฯลฯ"

อันนี้ประชดหรือเปล่าก็ไม่รู้



รางวัล Stella Awards จึงเกิดขึ้นเพื่อประชดเสียดสี (แกมประจาน) การตัดสินคดีหยุมหยิมที่เสียหายหลายแสนทำนองนี้ในที่สุด

ตัวอย่างรางวัล Stella Awards

แอมเบอ คาร์สัน  ชนะคดีที่ฟ้องร้านอาหารในฟิลาเดลเฟีย เนื่องจากน้ำอัดลมที่พื้นทำเธอลื่นล้มกระดูกก้นกบแตก
ทั้งที่เหตุผลที่มีน้ำอัดลมนองพื้นนั้น มาจากการที่เธอมีปากเสียงกับแฟนและสาดน้ำใส่เขา
เจ้าของร้านก็ต้องเป็นฝ่ายจ่ายค่าเสียหายให้  “หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยเหรียญ” อย่างงงๆ  


ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
http://stellaaward.blogspot.com/2012/09/stella-awards_17.html
https://prachatai.com/journal/2012/10/43294
http://stellaaward.blogspot.com/2012/09/stella-awards.html
http://best-awards.over-blog.com/2014/05/isty-awards.html


หมายเหตุ
กระทู้นี้เพียงแค่ให้เกร็ดความรู้ โดยนำข้อมูลมาจากแหล่งอ้างอิงในเว็ปไซต์ต่างๆ
ไม่มีเจตนาโจมตีหรือโฆษณาให้ผู้ใดทั้งสิ้น

...........................................................


บางคดีอาจจะดูตลก เกินเหตุ แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าต่างประเทศเขาให้ความสำคัญเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" มากๆ
มีการคุ้มครองผลประโยชน์ให้ลูกค้า หรือผู้บริโภคเต็มที่
แค่ทำกาแฟลวกเอง ยังฟ้องร้องชนะความบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ถึงขนาดนี้
ไม่เหมือนบางที่ ผู้บริโภคได้รับความบาดเจ็บเสียหาย ยังไม่รู้จะไปเอาความกับใครยังไง

บ้านเราก็เต็มไปด้วยคดีแปลกๆ ไม่เหมือนใคร เช่น มีธงตั้งไว้  มาตรฐานไม่ชัดเจน  บ้างก็ค้านสายตาชาวบ้าน
บางทีพยานหลักฐานก็แปลกๆ อย่างที่เห็นบ่อยๆ หรือคนจนมักจะเป็นเหยื่อของความอยุติธรรมเสมอๆ

ก็ขอให้เราค่อยๆ ก้าวไปสู่ระบบยุติธรรมที่เป็นธรรมจริงๆ
ให้ความสำคัญกับ "สิทธิและความเท่าเทียม" ของประชาชนอย่างแท้จริง



คนไม่มีสิทธิ์: The Mario  

https://www.youtube.com/watch?v=QzQ85l-9QWg
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
7 Years - Lukas Graham

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Once I was seven years old my momma told me
Go make yourself some friends or you’ll be lonely
Once I was seven years old

ตอนผมอายุ 7 ขวบ แม่ได้บอกผมว่า
คบเพื่อน ๆบ้าง ไม่เช่นนั้นแกก็จะเหงา
นั่นในครั้งที่ผมอายุ 7 ขวบ

[Verse 1]
It was a big big world, but we thought we were bigger
Pushing each other to the limits, we were learning quicker
By eleven smoking herb and drinking burning liquor
Never rich so we were out to make that steady figure

โลกของเราช่างกว้างใหญ่ แต่เราก็เคยคิดว่าตัวเรานั้นใหญ่กว่า
ผลักดันกันและกันจนถึงขีดสุด แล้วเราจะเรียนได้เร็วมากขึ้น
พออายุ 11 เราก็สูบกัญชาและดื่มเหล้า
ไม่เคยจะรวย แล้วเราก็ไม่สนใจเก็บเงินอะไร

[Chorus 2]
Once I was eleven years old my daddy told me
Go get yourself a wife or you’ll be lonely
Once I was eleven years old

ในครั้งที่ผมอายุ 11 ปี พ่อก็บอกกับผมว่า
ออกไปหาภรรยาซะ ไม่งั้นแกก็เหงา
นั่นในครั้งที่ผมอายุ 11 ปี

[Verse 2]
I always had that dream like my daddy before me
So I started writing songs, I started writing stories
Something about that glory just always seemed to bore me
Cause only those I really love will ever really know me

ผมเคยมีความฝันนั้น เหมือนกับที่พ่อมีเสมอ
ผมจึงเริ่มเขียนเพลงขึ้น และเริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
บางอย่างในความรุ่งโรจน์สวยงามนั้นดูเหมือนว่าจะทำให้ฉันเบื่อ
แค่คนเหล่านั้นที่ผมรักจะรู้จักผมอย่างแท้จริงบ้าง

[Chorus 3]
Once I was 20 years old, my story got told
Before the morning sun, when life was lonely
Once I was 20 years old

ในตอนที่ผมอายุ 20 เรื่องราวของผมได้ถูกกล่าวออกไป
ในก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นในรุ่งเช้า ในตอนที่ชีวิตของเรานั้นโดดเดี่ยว
ในตอนที่ผมอายุ 20 ปี

(Lukas Graham!!!)

[Verse 3]
I only see my goals, I don’t believe in failure
Cause I know the smallest voices, they can make it major
I got my boys with me at least those in favor
And if we don’t meet before I leave, I hope I’ll see you later

ผมแค่เห็นในเป้าหมายของผม ซึ่งผมไม่เชื่อในความล้มเหลว
นั่นทำให้ผมรู้ว่าเสียงที่เล็กที่สุดนั้นก็สามารถกลายเป็นเสียงหลักในเพลงได้
ผมมีเพื่อน ๆ อยู่ อย่างน้อยก็ในช่วงที่ดีนี้
และหากเราไม่ได้เจอกันก่อนที่ผมจะจากไป ผมเองก็หวังจะได้เจอคุณอีกครั้ง

[Chorus 4]
Once I was 20 years old, my story got told
I was writing about everything, I saw before me
Once I was 20 years old
Soon we’ll be 30 years old, our songs have been sold
We’ve traveled around the world and we’re still roaming
Soon we’ll be 30 years old

ในตอนที่ผมอายุ 20 เรื่องราวของผมได้ถูกแพร่ออกไป
ช่วงนั้นผมกำลังเขียนเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ผมเห็นมาก่อน
นั่นคือในช่วงที่ผมอายุ 20 ปี
ผมกำลังจะอายุ 30 ปีในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเพลงของเรากำลังวางขายอยู่
เราต่างก็เดินทางไปรอบโลก แต่เราก็ยังคงร่อนเร่กันไป
แล้วเราก็จะอายุ 30 ปีแล้ว

[Verse 4]
I’m still learning about life
My woman brought children for me
So I can sing them all my songs
And I can tell them stories
Most of my boys are with me
Some are still out seeking glory
And some I had to leave behind
My brother I’m still sorry

ผมยังจะเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต
เกี่ยวกับผู้หญิงของผมที่เป็นแม่ของลูก ๆ ผม
ผมจึงสามารถร้องเพลงทั้งหมดของผมได้
และผมจะเล่าเรื่องราวให้ลูก ๆ ของผมฟัง
เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเพื่อนกับผมอยู่
บางคนก็จากไปเพื่อไปหาความสำเร็จ
และบางคนผมเองก็จำเป็นต้องทิ้งเขาไว้
พี่ชายของผม ผมยังรู้สึกขอโทษอยู่เสมอ

[Bridge]
Soon I’ll be 60 years old, my daddy got 61
Remember life and then your life becomes a better one
I made a man so happy when I wrote a letter once
I hope my children come and visit, once or twice a month

พ่อของผมตายในตอนที่อายุ 61 ปี และผมก็คงจะอยู่ถึงอายุ 60 ปีในอีกไม่นานนี้
จงจดจำชีวิตไว้ แล้วชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น
ผมทำให้ผู้ชายคนหนึ่งมีความสุข เมื่อผมได้เขียนจดหมายไปครั้งหนึ่ง
ผมเองก็หวังว่าลูก ๆ ของผมจะมาและเยี่ยมผม 1-2 ครั้งต่อเดือน

[Chorus 5]
Soon I’ll be 60 years old, will I think the world is cold
Or will I have a lot of children who can warm me
Soon I’ll be 60 years old
Soon I’ll be 60 years old, will I think the world is cold
Or will I have a lot of children who can hold me
Soon I’ll be 60 years old

อีกไม่นาน ผมก็จะอายุ 60 แล้ว ผมจะต้องคิดไหมว่าโลกนี้เหน็บหนาว
งั้นผมจะต้องมีลูกเยอะ ๆ ไหม เพื่อให้ความอบอุ่นกับผม
อีกไม่นานก็คงอายุ 60 ปีแล้ว
อีกไม่นาน ผมก็จะอายุ 60 แล้ว ผมจะต้องคิดไหมว่าโลกนี้เหน็บหนาว
งั้นผมจะต้องมีลูกเยอะ ๆ ไหม เพื่อให้ความอบอุ่นกับผม
อีกไม่นานก็คงอายุ 60 ปีแล้ว

[Chorus 1 recap]
Once I was seven years old, my momma told me
Go make yourself some friends or you’ll be lonely
Once I was seven years old

ในตอนที่ 7 ขวบ แม่ของผมบอกกับผมว่า
ออกไปหาเพื่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นแกก็จะเหงา
นั่นคือในตอนที่ผมอายุ 7 ขวบ

Once I was seven years old

ในตอนที่ผมอายุ 7 ขวบ

ที่มา :
http://www.educatepark.com/%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87/%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87-7-years-lukas-graham/
ความคิดเห็นที่ 8
ในสมัย ร.5 ยุคชาติตะวันตก ไล่ล่าหาอาณานิคม

ฝรั่งคนหนึ่ง กู้เงิน รัฐบาลไทยไป 800,000 บาท ผ่านไป 2 ปี ไม่จ่ายทั้งต้นและดอก

โดนรัฐบาลไทยริบสินค้า เอามาใช้หนี้

แต่ฝรั่งไม่ยอม ไปฟ้องศาล บอกว่า รัฐบาลไทยยึดเกินไป แสนกว่าบาท

สุดท้าย ศาลตัดสิน

ให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินให้ฝรั่ง 9 แสนกว่าบาท และให้สัญญาเงินกู้ที่ฝรั่งกู้เงินไป 800,000 บาท เป็นโมฆะ

แปลกไหมล่ะ ?

cnck
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่