ไอ้สะหม้อ สะหม้อ...อยู่หม้าย
หยู่...ว่าพรือไอ้หลัม...
เสียงไอ้หลัม ร้องเรียกสะหม้อ ตั้งแต่หัวหวัน ไม่ทราบมีเรื่องไหรกัน
น้าหลัม...น้าหลัม อย่าแค๊ปไป พ้มร้องเรียกน้าหลัม พร้อมกับยกขึ้นเดินไปหา
น้าหลัม เคยได้ยิน สมภารเล่าเรื่อง "คนมือด้วนลักกระทะใบบัวหม้าย"
พ้มถามน้าหลัมด้วยความสงสัย เพราะได้ฟังสำนวนนี้มาจากวิทยุแรกหัวเช้า
เคย ๆ น้าเคยได้ยิน สมภารเล่าเป็นกรรณ์เทศ ก่อนมรภาพอยู่หลายหน น้าสะหม้อ เอ๋ยปากบอกมาจากในเริ่น
เรื่องหมันพันพรือ เล่าให้พ้มฟังถี
เล่าสั้น ๆ นะ เดี่ยวไม่ทันเพล น้าหลัมเอ๋ยปากดักคอ น้าสะหม้อ
เรื่องของเรื่อง เกิดขึ้นในสมัยปลาย ๆ รัชกาลที่ 6 ที่บ้านคนมีเงินสมัยนั้น..ที่หยู่กันมากหน้าหลายตา การหุงหาอาหารจะต้องใช้กระทะใบบัวในการหุงข้าว
หยู่มาวันหนึ่ง กระทะใบบัว ใบดังกล่าวได้หายไปจากในครัว เดือดร้อดกันไปทั้งบ้าน ทั้งบ่าวทั้งนาย เพราะได้เวลาหุงข้าวแหล้ว
เจ้าของบ้านให้เอากระทะ
อีกใบมาหุงหากินกันก่อน ตกค่ำจึงมีการสอบสวน ว่ากระทะใบบัวใบใหญ่ขนาด 2-3 คนยกหมั้นหายไปไหน
โดยเรียกบ่าว ทั้งสาวแก่ แม่หม้าย มาสอบถามกันหมดทุกคน กะไม่มีทีท่ามาจะหาคนขโมยกระทะพบ
เจ้าของบ้านจึงไปเรียนให้ท่านขุน ท่านหนึ่งทราบ ท่านขุนมาที่บ้าน
และเรียกคนในบ้านทั้งหมดมานั่งประจันหน้ารวมกัน ท่านขุนไล่สอบถามไปทีละคน ๆ จนแหม็ดทุกคน
กะยังไม่มีที่ท่าว่าจะพบผู้สงสัย ก่อนกลับท่านขุนให้เจ้าของบ้าน เอากระทะใบบัวขนาดเท่ากับ ขนาดที่หายไป มาวางให้คนในบ้าน
ทดลองยก ทั้งยกคนเดียว และหลายคนเพื่อหาเหตุ และจำนวนคนที่ขโมย แต่ท่านขุนก็หาข้อสรุปไม่ได้
จึงเอ๋ย ปากถาม เจ้าของบ้านว่ามีคนอีกหรือไหม... เจ้าของบ้านบอกว่ามีอีกคน มือขาด 2 ข้าง
เมื่อมาถึงท่านขุน จึงบอกให้เจ้าคนแขนขาดทดลองยกกระทะใบบัวใบดังกล่าว
"ข้าพเจ้าแขนขาดทั้งสองข้าง จะตักข้าวเข้าปากก็แสนจะลำบาก วัน ๆ เอาแต่ทำงาน จะขโมยกระทะใบบัว
ที่มีน้ำหนัก ใช้คน 2-3 คนยกได้อย่างไหรละท่านขุน"
ท่านขุน ครุนคิดนิดหนึ่ง จึงเอ่ย ปากบอกเจ้าของบ้าน ว่าเจ้านี้เป็นคนขยันและซื่อสัตย์ สมควร ที่จะยกกระทะใบนี้ให้กับเขาไป
ขอบคุณครับท่านขุน..
หลังจากนั้นเจ้าแขนด้วน จึงวานให้เพื่อน 2 คน ช่วยกันคว่ำกระทะครอบตัวเองไว้ ......
ไป ๆ พอแหล้ว..เดียวไม่ทันเพล...ที่เหลือคิดเอามั้งแหละ...ไอ้หลัมเอ๋ยปากดักคอ สะหม้อ ที่ทำท่าจะเล่าต่อ...
วันนี้ ไอ้หลัมเล่า เรื่องเดชไอ้ด้วน ลักกระทะใบบัว..
หยู่...ว่าพรือไอ้หลัม...
เสียงไอ้หลัม ร้องเรียกสะหม้อ ตั้งแต่หัวหวัน ไม่ทราบมีเรื่องไหรกัน
น้าหลัม...น้าหลัม อย่าแค๊ปไป พ้มร้องเรียกน้าหลัม พร้อมกับยกขึ้นเดินไปหา
น้าหลัม เคยได้ยิน สมภารเล่าเรื่อง "คนมือด้วนลักกระทะใบบัวหม้าย"
พ้มถามน้าหลัมด้วยความสงสัย เพราะได้ฟังสำนวนนี้มาจากวิทยุแรกหัวเช้า
เคย ๆ น้าเคยได้ยิน สมภารเล่าเป็นกรรณ์เทศ ก่อนมรภาพอยู่หลายหน น้าสะหม้อ เอ๋ยปากบอกมาจากในเริ่น
เรื่องหมันพันพรือ เล่าให้พ้มฟังถี
เล่าสั้น ๆ นะ เดี่ยวไม่ทันเพล น้าหลัมเอ๋ยปากดักคอ น้าสะหม้อ
เรื่องของเรื่อง เกิดขึ้นในสมัยปลาย ๆ รัชกาลที่ 6 ที่บ้านคนมีเงินสมัยนั้น..ที่หยู่กันมากหน้าหลายตา การหุงหาอาหารจะต้องใช้กระทะใบบัวในการหุงข้าว
หยู่มาวันหนึ่ง กระทะใบบัว ใบดังกล่าวได้หายไปจากในครัว เดือดร้อดกันไปทั้งบ้าน ทั้งบ่าวทั้งนาย เพราะได้เวลาหุงข้าวแหล้ว
เจ้าของบ้านให้เอากระทะ
อีกใบมาหุงหากินกันก่อน ตกค่ำจึงมีการสอบสวน ว่ากระทะใบบัวใบใหญ่ขนาด 2-3 คนยกหมั้นหายไปไหน
โดยเรียกบ่าว ทั้งสาวแก่ แม่หม้าย มาสอบถามกันหมดทุกคน กะไม่มีทีท่ามาจะหาคนขโมยกระทะพบ
เจ้าของบ้านจึงไปเรียนให้ท่านขุน ท่านหนึ่งทราบ ท่านขุนมาที่บ้าน
และเรียกคนในบ้านทั้งหมดมานั่งประจันหน้ารวมกัน ท่านขุนไล่สอบถามไปทีละคน ๆ จนแหม็ดทุกคน
กะยังไม่มีที่ท่าว่าจะพบผู้สงสัย ก่อนกลับท่านขุนให้เจ้าของบ้าน เอากระทะใบบัวขนาดเท่ากับ ขนาดที่หายไป มาวางให้คนในบ้าน
ทดลองยก ทั้งยกคนเดียว และหลายคนเพื่อหาเหตุ และจำนวนคนที่ขโมย แต่ท่านขุนก็หาข้อสรุปไม่ได้
จึงเอ๋ย ปากถาม เจ้าของบ้านว่ามีคนอีกหรือไหม... เจ้าของบ้านบอกว่ามีอีกคน มือขาด 2 ข้าง
เมื่อมาถึงท่านขุน จึงบอกให้เจ้าคนแขนขาดทดลองยกกระทะใบบัวใบดังกล่าว
"ข้าพเจ้าแขนขาดทั้งสองข้าง จะตักข้าวเข้าปากก็แสนจะลำบาก วัน ๆ เอาแต่ทำงาน จะขโมยกระทะใบบัว
ที่มีน้ำหนัก ใช้คน 2-3 คนยกได้อย่างไหรละท่านขุน"
ท่านขุน ครุนคิดนิดหนึ่ง จึงเอ่ย ปากบอกเจ้าของบ้าน ว่าเจ้านี้เป็นคนขยันและซื่อสัตย์ สมควร ที่จะยกกระทะใบนี้ให้กับเขาไป
ขอบคุณครับท่านขุน..
หลังจากนั้นเจ้าแขนด้วน จึงวานให้เพื่อน 2 คน ช่วยกันคว่ำกระทะครอบตัวเองไว้ ......
ไป ๆ พอแหล้ว..เดียวไม่ทันเพล...ที่เหลือคิดเอามั้งแหละ...ไอ้หลัมเอ๋ยปากดักคอ สะหม้อ ที่ทำท่าจะเล่าต่อ...