แล้วทำไมต้องอิจฉา...

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาว Pantip นี่เป็นกระทู้เเรกของเจ้าของกระทู้เลย
    วันนี้ จขกท. มีเรื่องอัดอึดใจมาขอระบายและขอความคิดเห็นจากผู้คนที่ตกอยู่ในสถานะเดียวกันว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้คนเราหันมารักกันมากกว่าอิจฉากัน หากพิมพ์ผิดพิมพ์ถูกต้องไปบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ

เรามาเริ่มเรื่องเลยดีกว่าค่ะ
          เรื่องมีอยู่ว่า จขกท.มีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่งเราโตมาด้วยกันอายุห่างกันเเค่ปีเดียว จขกท.เป็นลูกพี่สาวของA(นามสมมุติ)  Aนั้นเป็นลูกน้าสาวของจขกท.เราทั้งสองโตมาพร้อมๆกันเป็นทั้งเพื่อนเล่นเป็นได้ทั้งคนที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันเเละกันเวลามีอะไรที่ไม่สบายใจก็ปรึกษากันได้หมด พอมาช่วงหนึ่งที่เราโตขึ้นต่างคนก็ต่างต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง พอเจ้าของกระทู้เรียนจบม.ปลายก็ต้องเรียนต่อมหาลัย เเต่ต้องขอบอกว่าคนอีสานไม่ค่อยสนับสนุนลูกให้เรียนสูงๆเท่าไหร่เนื่องจากฐานะทางบ้านพอประทังชีวิตไปวันๆ อาชีพส่วนใหญ่คือทำไร่ทำนา จขกท.เหลือเเค่เเม่ส่วนพ่อเสียชีวิตไปแล้ว จขกท.จึงตัดสินใจดรอปเรียน1ปีเพื่อเก็บเงินเพื่อเป็นค่าเทอมในการเรียนเเละส่งให้ทางบ้านด้วย หลังจากนั้นมาจขกท.ก็เข้ากทมเพื่อทำงานโรงงานและทำให้จขกท.กับAก็ต้องเป็นห่างกันเพราะAก็ยังเรียนอยู่ม.6 เเต่เราก็คุยๆกันบ้างเเต่ไม่ค่อยบ่อยเหมือนเเต่ก่อน ต้องบอกก่อนนะคะว่าครอบครัวของAเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง พ่อเเม่รักเเละตามใจไปหมด ซึ่งจขกท.เองก็เเอบอิจฉาอยู่เบาๆ หุหุ (^o^)  เอาเเต่โทษฟ้าดินว่าทำไมตูไม่เกิดมาแล้วไม่ต้องแบกภาระอะไรทั้งหลายเเหล่ไว้เเล้วก้าวตามฝันตัวเองบ้าง(ขนาดเป็นลูกคนเดียวนะเนี่ย555)  จขกท.ทำงานเเบบไม่ยอมหยุดเลยเพื่อที่จะเก็บวันหยุดไปสอบGAT-PAT ใหม่พร้อมกับA ตอนนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าAจะเปลี่ยนไป
           แต่หลังจากนั้นไม่นานจขกท.ก็ได้ข่าวว่าAกำลังจะเเต่งงานและAก็อยากให้จขกท.ไปร่วมงานให้ได้ จขกท.ตัดสินใจลางานอีกทีเพราะว่างานนี้ถือว่าเป็นงานที่คนจขกท.รักเขามากเหมือนน้องเเท้ๆจะไม่ไปก็กระไรอยู่ พอไปถึงงานเเต่ง จขกท.ทราบมาว่าน้ายอมให้Aแต่งกับเเต่งเเว๊นที่ไม่เอาการเอางานไรเลยทั้งๆที่Aยังเรียนไม่จบม.6ด้วยซ้ำเพราะว่าAกำลังตั้งท้องนั้นเอง น้าไม่อยากให้เป็นขี้ปากของชาวบ้านเลยตัดสินใจจัดงานเเต่งขึ้นมา แต่พอจะถึงเวลาส่งAเข้าหอไป พ่อเเม่ฝ่ายชายก็กลับคำว่าจะขอAให้ไปเข้าหอและอยู่ที่บ้านของฝ่ายชายเพื่อที่จะหุบสินสอนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียค่าสินสอดให้เเก่ฝ่ายหญิง ทำให้เกิดปัญหากันขึ้นกลายเป็นว่าฝ่ายชายหาเรื่องพังงานขู่ทำร้ายญาติฝ่ายหญิงสารพัด งานเเต่งนั้นเกือบจะเป็นงานศพไปเลยซะงั้น ฝั่งทางเราเลยยอมปล่อยให้Aไปอยู่กับฝั่งนั้น จากนั้นมาเราทั้งสองก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เป็นเพราะบ้านทางฝ่ายชายไม่ให้ติดต่อมาทางบ้านเลยเเม้กระทั่งบังคับให้ออกจากเรียนทั้งๆที่อีกเเค่สองเดือนกว่าก็จะจบม.6แล้วด้วยซ้ำ แต่น้าของจขกท.ไปขอร้องว่าให้ลูกได้เรียนจนจบฝั่งนั้นถึงยอม จขกท.ทราบข่าวตลอดเพราะติดต่อหาเเม่เเละน้าตลอดมีอะไรก็จะคุยกัน
         แต่หลังจากนั้น1ปีผ่านไป จขกท.สอบเข้ามหาลัยได้เป็นมหาลัยภูมิภาคที่ไกลบ้าน จขกท.ตัดสินใจขอเเม่ว่าอยากเรียนต่อ จนเเม่ยอมในที่สุด ค่าเทอมก็กู้กยศ.ส่วนค่ากินค่าอยู่อาจจะหางานพาร์ทไทม์ทำบ้างถ้าไม่เพียงพอก็มีขอเเม่บ้างนานๆที พอเข้าเรียนปี1จนขึ้นปี2 ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น ทำงานก็ไม่ได้ทำได้ตลอดเพราะต้องเรียนไปด้วย ต้องยึดการเรียนเป็นหลักเพราะอาจารย์เช็คชื่อตลอด กลายเป็นว่าต้องลำบากเเม่ที่ต้องหาเงินมาช่วยจ่ายค่าหอแต่ค่ากินจขกท.จะกินอย่างประหยัดที่สุด ไม่เที่ยวแบบชีวิตนักศึกษาคนอื่น แถมยังแอบขนกระทะหม้อหุ่งข้าวมาหุ่งกินเองในหอในเพื่อจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทางบ้าน แต่กลับโดนดูถูกจากมนุษย์ป้าข้างบ้านว่าจนเเล้วสะเออะอยากเรียนต่อสูงๆ แต่ยังไม่เจ็บใจเท่ากับคนที่เป็นญาติเราคือน้าและอาของเราเองที่ดูถูกว่าไม่มีเงินแต่อยากเรียน จากที่มีอะไรเราก็โทรคุยปรึกษากับน้าและอาตลอด กลับกลายเป็นว่าคุยกันน้อยลงอาจเป็นเพราะเราด้วยหรือเปล่าที่อคติ แต่ก็ทราบข่าวมาว่าAนั้นเลิกกับเเฟนเเล้ว แล้วกลับมาอยู่กับน้าอาเหมือนเดิม เราก็เลยตัดสินใจติดต่อกับAอีกครั้ง พอช่วงปิดเทอมขึ้นปี3เราก็หางานโรงงานที่กทม.ทำเพื่อเก็บเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียน และได้ยินมาว่าAจะเรียนต่อที่กทม. จุดเเตกหักของเราสองคนมีอยู่ว่าเมื่อAเข้ามาเรียนที่กทม.ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ส่วนใหญ่คือทำงานไม่ค่อยเข้าเรียนเพราะมหาลัยที่Aเรียนเป็นมหาลัยเปิดที่ใครๆจะเรียนด้วยทำงานด้วยก็ไม่มีปัญหาให้เวลาเรียนเต็มที่จนจะผ่าน เเต่Aก็มักจะบ่นว่าไม่มีเงินใช้ เงินไม่พอบ้างและโทรกลับไปขอที่บ้าน ซึ่งในFacebookของAนางชอบซื้อของเเพงๆ ซื้อเสื้อผ้าไม่ซ้ำ Aจัดว่าเป็นคนที่เเต่งตัวเก่ง จนบางทีเราก็เตือนAแต่นางก็กลายเป็นว่าโกรธเราไม่คุยกับเรา เราก็โทรคุยกับเเม่เล่าให้เเม่ฟัง พอเเม่ไปเล่าให้น้าฟังเขาก็ไม่เชื่อว่าลูกเขาจะเป็นแบบนั้น จากที่เรากับน้าติดต่อกันกลายเป็นว่าคุยกันน้อยลง Aก็เช่นกันกลับบอกกับน้าว่าไม่จริงอาจเป็นเพราะเราอิจฉาหรือเปล่าที่Aเรียนด้วยทำงานด้วยเเล้วมีเงินใช้ ต่างจากเราที่เรียนอย่างเดียวไม่ได้ทำงานตลอด หลังจากนั้นเราสองคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันอีกเลย

     พอเวลาผ่านไปเราขึ้นปี4 ส่วนAนางก็ขึ้นปี2 เราก็ทักไปหานางว่าจะไปฝึกงานที่ กทม.ขอไปอยู่ด้วยได้ไหม จะช่วยออกค่าห้องให้ด้วย เเต่นางก็ปฏิเสธไปว่าไม่ได้ นางทำงานไม่ตรงเวลาไม่สะดวกให้อยู่ด้วย เเต่พอรู้มาว่างานที่นางทำคืองานห้างเข้างาน10โมงเลิก4ทุ่มไม่ได้ทำทุกวัน แต่ความจริงก็เฉลยเมื่อเราเอาFacebookของเพื่อนเราที่เป็นเพื่อนกับนางเข้าไปดูเพราะนางปิดไม่ให้เราเห็นเรื่องราวของนางเลยต้องเอาของเพื่อนเข้าไป เหตุผลที่นางไม่ให้เราอยู่ด้วยคือนางอยู่กับผู้ใหม่โดยที่พยายามปิดทางบ้านไม่อยากให้ทางบ้านรู้เรื่อง แต่เราก็ไม่เคยพูดน๊ะที่เรารู้เรื่องมา เราเลยคิดว่าเขาเคยเห็นเราเป็นญาติพี่น้องที่รักกันบ้างหรือเปล่าจากที่เคยมีอะไรแบ่งปันกันกลับกลายเป็นทำตัวห่างไกลกัน

       เรื่องที่ทำให้เราต้องมาตั้งกระทู้ระบายมีอยู่ว่าเรานั้นโพสต์รูปหน้าบ้านของยาย ตอนที่เรากลับบ้านเเล้วลงรถตู้เรามีเเค่รูปนั้นรูปเดียวเก็บไว้เเล้วมาโพสต์ว่า
     จขกท : สู้อีกนิดเดียว อีกเเค่สองเดือนเองก็จะจบเเล้ว จะได้กลับถิ่นเรา... แล้วนางก็มาตอบเม้นเราว่า
           A : อ้าวหลังนี้ของพี่หรอ
     จขกท :  ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ เพราะส่วนใหญ่กินอยู่บ้านยาย รูปนี้เป็นรูปที่กลับบ้านลงรถเลยถ่ายเก็บไว้พอดี
ซึ่งจขกท.ตีความหมายเม้นนางประมาณว่านี่บ้านเธอหรอไม่ยักรู้ แล้วทำไมไม่ถ่ายรูปบ้านตัวเองลงล่ะ
           A : จ้า..แล้วบ้านพี่อ่ะของเต็มอ่อ กลับไปเก็บของทำความสะอาดเยอะๆนะหยักไย่เพียบบบบ
ในความรู้สึกของจขกท.เองรู้สึกว่าAพยายามเหน็บหรือว่าคิดไปเอง คือมันเป็นภาพเรามีเเค่นี้เราอัพสเตตัสไป

ทุกอย่างที่ จขกท.เล่ามามันเป็นเพราะ จขกท.คิดมากเองหรือว่าเพื่อนๆในนี้เคยมีเหตุการณ์เเบบนี้เกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า ที่ลูกพี่ลูกน้องที่รักกัน กลับกลายเป็นว่าทำไมต้องมาเหน็บกัน อิจฉากันเอง เเถมมาโพสต์ในทำนองดูถูก มีอะไรก็เเบ่งปันความคิดกันได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่