บังเอิญอ่านพบความเห็นคาดการณ์เรื่องเศรษฐกิจสหรัฐที่ส่งผลดีต่อประเทศไทย สอดคล้องกับความเห็นที่มาลาริน โพสต์ในกระทู้เมื่อวานนี้ ..👇
https://m.pantip.com/topic/36241407?
((มาลาริน)) ^_^ อ่านแล้วนอนหลับฝันดี..😏ชี้รัฐบาลถึงคราวดวงเฮง เศรษฐกิจโลกฟื้นแล้ว ต่อไปจะได้ภาพเป็นผู้กอบกู้เศรษฐกิจไทย
วันนี้มาอ่านความเห็นนี้กันค่ะ...

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับนักบริหาร (MPPM Executive program) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเริ่มลงมือปฏิบัติตามแนวทางที่ให้ไว้ ได้ส่งผลดีต่อทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปีดีขึ้น ซึ่งสะท้อนผลเชิงบวกต่อยอดค้าปลีกสินค้า และบริการในเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.6% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่อัตราการว่างงานที่ปรับตัวลดลง 2 เดือนติดต่อกันตั้งแต่ต้นปี หรือจากระดับ 4.8% มาอยู่ที่ 4.7% ในเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 59 ก่อน โดยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคม ปีนี้อยู่ที่ 2.5% ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณดีขึ้น ย่อมส่งผลเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ด้วยสัดส่วนกว่า 15.5% ของ GDP โลก
ทั้งนี้ จากแนวนโยบายของนายทรัมป์ ที่ต้องการให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยเร่งแก้ไขปัญหาการว่างงานด้วยการสร้างตำแหน่งงานให้เพิ่มมากขึ้น การจำกัดแรงงานต่างด้าว การเพิ่มอัตราค่าจ้าง ซึ่งมีผลดีต่อกำลังซื้อ และมาตรการทางภาษี ซึ่งจูงใจภาคธุรกิจแล้ว รวมถึงการดึงเงินทุนกลับประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 1.0% เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐไหลกลับเข้าประเทศ สอดรับแนวนโยบาย “making America great again” คาดการณ์ได้ว่า เงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างประเทศในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง
ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM NIDA กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลง หรือเคลื่อนไหวประมาณ 35.5-36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีของภาคการส่งออก เนื่องจากราคาสินค้าไทยจะถูกลงในมุมมองของต่างประเทศ ประกอบกับมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ที่มากถึง 7% ของมูลค่าการส่งออกรวม ทำให้มูลค่าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นได้ และเป็นผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวไปด้วยเช่นกัน
ส่วนนโยบายของสหรัฐฯ เรื่องการกีดกันการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนนั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ที่มีโอกาสเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากผู้ประกอบการจากจีน มีแนวโน้มจะย้ายฐานการผลิตในไทยเพิ่มขึ้น ดังเช่นในอดีตที่ญี่ปุ่นใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ซึ่งย่อมส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น
“ไทยจะได้ประโยชน์จากมาตรการกีดกั้นทางการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน โดยผู้ประกอบการจีนจะเข้ามาลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และหมวดอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จึงไม่ต้องกังวลกับทิศทางเฟด เพราะโดยภาพรวมแล้ว ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และผลกระทบต่อไทยเป็นไปในเชิงบวกทั้งสิ้น” รศ.ดร.มนตรี กล่าว
http://m.manager.co.th/StockMarket/detail/9600000028761
อ่านแล้วก็นอนหลับฝันดีกันอีกค่ะ...


((มาลาริน))^_^ มุมมองดี้ดีค่ะ..เชื่อไทยได้รับอานิสงส์ศก.สหรัฐฯ ฟื้น ทั้งแนวโน้มศก.โลก และผลกระทบต่อไทยเป็นไปในเชิงบวก
https://m.pantip.com/topic/36241407?
((มาลาริน)) ^_^ อ่านแล้วนอนหลับฝันดี..😏ชี้รัฐบาลถึงคราวดวงเฮง เศรษฐกิจโลกฟื้นแล้ว ต่อไปจะได้ภาพเป็นผู้กอบกู้เศรษฐกิจไทย
วันนี้มาอ่านความเห็นนี้กันค่ะ...
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับนักบริหาร (MPPM Executive program) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเริ่มลงมือปฏิบัติตามแนวทางที่ให้ไว้ ได้ส่งผลดีต่อทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปีดีขึ้น ซึ่งสะท้อนผลเชิงบวกต่อยอดค้าปลีกสินค้า และบริการในเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.6% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่อัตราการว่างงานที่ปรับตัวลดลง 2 เดือนติดต่อกันตั้งแต่ต้นปี หรือจากระดับ 4.8% มาอยู่ที่ 4.7% ในเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 59 ก่อน โดยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคม ปีนี้อยู่ที่ 2.5% ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณดีขึ้น ย่อมส่งผลเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ด้วยสัดส่วนกว่า 15.5% ของ GDP โลก
ทั้งนี้ จากแนวนโยบายของนายทรัมป์ ที่ต้องการให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยเร่งแก้ไขปัญหาการว่างงานด้วยการสร้างตำแหน่งงานให้เพิ่มมากขึ้น การจำกัดแรงงานต่างด้าว การเพิ่มอัตราค่าจ้าง ซึ่งมีผลดีต่อกำลังซื้อ และมาตรการทางภาษี ซึ่งจูงใจภาคธุรกิจแล้ว รวมถึงการดึงเงินทุนกลับประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 1.0% เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐไหลกลับเข้าประเทศ สอดรับแนวนโยบาย “making America great again” คาดการณ์ได้ว่า เงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างประเทศในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง
ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM NIDA กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลง หรือเคลื่อนไหวประมาณ 35.5-36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีของภาคการส่งออก เนื่องจากราคาสินค้าไทยจะถูกลงในมุมมองของต่างประเทศ ประกอบกับมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ที่มากถึง 7% ของมูลค่าการส่งออกรวม ทำให้มูลค่าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นได้ และเป็นผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวไปด้วยเช่นกัน
ส่วนนโยบายของสหรัฐฯ เรื่องการกีดกันการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนนั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ที่มีโอกาสเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากผู้ประกอบการจากจีน มีแนวโน้มจะย้ายฐานการผลิตในไทยเพิ่มขึ้น ดังเช่นในอดีตที่ญี่ปุ่นใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ซึ่งย่อมส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น
“ไทยจะได้ประโยชน์จากมาตรการกีดกั้นทางการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน โดยผู้ประกอบการจีนจะเข้ามาลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และหมวดอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จึงไม่ต้องกังวลกับทิศทางเฟด เพราะโดยภาพรวมแล้ว ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และผลกระทบต่อไทยเป็นไปในเชิงบวกทั้งสิ้น” รศ.ดร.มนตรี กล่าว
http://m.manager.co.th/StockMarket/detail/9600000028761
อ่านแล้วก็นอนหลับฝันดีกันอีกค่ะ...