สวัสดีค่ะ ตามที่มีดราม่ามากมายเกี่ยวกับเรื่องการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู
คนที่เรียนครูหลายคนไม่พอใจที่ทำไมถึงมีการให้คนที่เรียนสายอื่นสอบครูได้หมด
ซึ่งก็มีคนที่เรียนครูหลายคนออกมาดราม่ามากมายว่าไม่ยุติธรรม บางคนก็เฉยๆ บางคนก็โพสด่ารุนแรง
จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา ทั้งหมดที่จะเล่านี้เป็นความคิดของเราเองคนเดียว รวมกับประสบการณ์การเรียนครูมาตลอด 5 ปี ซึ่งเพิ่งจะได้รับการอนุมัติจบการศึกษาในเดือนนี้ และกำลังจะมีการสอบบรรจุในเดือนหน้า
สิ่งที่ดิฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ เรารู้สึกเหมือนโดนหลอก
สมัยที่เป็นนักเรียน ม.6 กำลังจะเข้ามหาลัย มีกระแสมากมายว่า "เรียนครูสิ เดี๋ยวครูก็เกษียณเยอะ" "เรียนครูมั้ย ชอบวิชานี้นิ"
เราก็เลยเข้าครุศาสตร์ พร้อมกับคำโปรยที่ว่า เรียนไปได้เป็นครูแน่ เรียนไปมีงานทำแน่นอน
เมื่อเข้ามาที่ครุศาสตร์ ตลอดระยะเวลาที่เรียนเนื้อหาอยู่ 4 ปี เราได้รับคำดูถูกจากคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลาว่า "คนที่เข้าอะไรไม่ได้ถึงได้มาเรียนครู" "พวกที่เรียนครุ มักจะเป็นฐานของเซค" เราเจอสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเมื่อต้องไปเรียนรวมกับเด็กต่างคณะ ที่นี้มาดูกันว่าทำไมเราถึงโดนดูถูกอย่างนั้น
ตัวเราเองเรียนครุ เอกสังคม นั่นหมายความว่าในหลักสูตรของเรากำหนดให้ต้องเรียนเนื้อหาตามรายวิชา ดังนี้ (ไม่นับรายวิชาครูที่ทุกคนในคณะต้องเรียน)
ประวัติศาสตร์
พระพุทธศาสนา
การเมืองการปกครอง
หน้าที่พลเมือง
กฎหมายพื้นฐาน
ภูมิศาสตร์
เศรษฐศาสตร์
และวิชาอื่นๆ เป็นเกี่ยวบ้าง ไม่เกี่ยวบ้างกับวิชาเอกของเรา
แล้วคิดว่าเราต้องไปเรียนวิชาเหล่านี้ที่ไหน
ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พระพุทธศาสนา เราจะต้องไปเรียนกับคณะอักษร ตลอดเวลาที่เรียน เราจะโดนอาจารย์แซะว่า พวกนี้เป็นเหมือนกาฝาก ไม่ค่อยจะอยากสอนเท่าไหร่หรอก เพราะพื้นฐานไม่แน่นเหมือนกับเด็กเอกนั้นของเค้า
การเมืองการปกครอง เรียนที่คณะรัฐศาสตร์ แน่นอนว่าเราต้องเรียนทั้งวิชาพื้นฐานของรัฐศาสตร์การปกครอง และรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือ IR เรามีปัญหามากเพราะไม่สามารถอ่านเปเปอร์ภาษาอังกฤษที่ลงลึกในเนื้อทางรัฐศาสตร์ได้ ก็โดนดูถูกอีกว่าเป็นเด็กครุที่โง่
กฎหมายพื้นฐาน เรียนที่คณะนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ เราก็โดนเหมือนเดิม เราโดนดูถูก โดนเหน็บแนมจนเหนื่อย พอจะบ่นหน่อย ก็เจอคำโปรยที่ว่า ไม่เป็นไร อดทนหน่อย เดี๋ยวก็ได้เป็นครู
ผ่านไป 4 ปี เราเรียนจบครบหลักสูตร ขึ้นปีที่ 5 คือการฝึกสอนตลอด 1 ปี ค่าเทอมยังต้องเสีย ค่าสื่อก็ต้องออก ค่าชีทก็มีมากมาย
เด็กเรียนไม่รู้เรื่องหรอ มา! ครูสอนให้นอกเวลา ไม่คิดตังค์ ชวนเพื่อนมาด้วย
เด็กไม่มาโรงเรียนเรียนหรอ มา! ครูไปตามให้
เด็กตก ติด 0 มา! ครูให้งาน สั่งงาน สอนใหม่ แล้วแก้ 0
ตลอดระยะเวลาที่ฝึกสอน เพื่อนบางคนได้ค้นพบตัวเอง ไม่เป็นครูแล้วโว้ย! หรือ เท ชั้นจะไม่มาสอน ใครจะทำไม แล้วเพื่อนที่เหลือทำไงหรอ มา! เดี๋ยวสอนแทนให้เอง
5 ปี ผ่านไป เฮ้อ... จบซักที สถานีต่อไปสอบบรรจุ แล้วก็เจอข่าว...(อีกแล้ว เป็นดราม่าที่เราเจอมาเหมือนเดิมตลอด 5 ปี นั่นแหละ)
ขณะนี้วันที่ 21 มี.ค. 2560 เรากำลังทำเรื่องจบเพื่อขอใบประกอบวิชาชีพ
ตัวเราเองเคยคิดที่จะเป็นครู แต่เมื่อได้เจอระบบที่เน้นทำผลงาน เจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่พร้อมยืนอยู่ข้างกัน เจอดราม่าจากสังคมรอบข้างอยู่ตลอดนับตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ เราก็ไม่อยากเป็นครูแล้ว แต่พอจะไปสมัครงานที่ไหน แล้วเจอคนถามว่าถนัดอะไร เราชะงักไป ใช่! เราถนัดอะไรหรอ ในเมื่อเราไม่เคยได้ลงลึกในเนื้อหาศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเลย ตอนนี้เราคงบอกได้คำเดียวว่า "เราเหนื่อย" "เหนื่อยมากเลยด้วย"
เราว่าวิธีการแก้ที่ดีคือ ให้หลักสูตรครุศาสตร์เหลือเพียง ป.โท ป.เอก ดังนั้น ใครจะมาเป็นครู จบตามสายวิชาที่ตัวเองอยากสอน แล้วมาเรียนครูเพิ่มในปริญญาโท แล้วจึงได้ใบประกอบวิชาชีพครู จะดีที่สุด เราก็จะได้คนเก่งมาเป็นครู แล้วก็จะได้ไม่ต้องมีดราม่าแบบนี้อีกในอนาคต ซึ่งคงจะมีแน่ ถ้ายังเปิดสอนแบบนี้อยู่
เปิดใจคนเรียนครุศาสตร์ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความคิดของพวกเรา
คนที่เรียนครูหลายคนไม่พอใจที่ทำไมถึงมีการให้คนที่เรียนสายอื่นสอบครูได้หมด
ซึ่งก็มีคนที่เรียนครูหลายคนออกมาดราม่ามากมายว่าไม่ยุติธรรม บางคนก็เฉยๆ บางคนก็โพสด่ารุนแรง
จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา ทั้งหมดที่จะเล่านี้เป็นความคิดของเราเองคนเดียว รวมกับประสบการณ์การเรียนครูมาตลอด 5 ปี ซึ่งเพิ่งจะได้รับการอนุมัติจบการศึกษาในเดือนนี้ และกำลังจะมีการสอบบรรจุในเดือนหน้า
สิ่งที่ดิฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ เรารู้สึกเหมือนโดนหลอก
สมัยที่เป็นนักเรียน ม.6 กำลังจะเข้ามหาลัย มีกระแสมากมายว่า "เรียนครูสิ เดี๋ยวครูก็เกษียณเยอะ" "เรียนครูมั้ย ชอบวิชานี้นิ"
เราก็เลยเข้าครุศาสตร์ พร้อมกับคำโปรยที่ว่า เรียนไปได้เป็นครูแน่ เรียนไปมีงานทำแน่นอน
เมื่อเข้ามาที่ครุศาสตร์ ตลอดระยะเวลาที่เรียนเนื้อหาอยู่ 4 ปี เราได้รับคำดูถูกจากคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลาว่า "คนที่เข้าอะไรไม่ได้ถึงได้มาเรียนครู" "พวกที่เรียนครุ มักจะเป็นฐานของเซค" เราเจอสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเมื่อต้องไปเรียนรวมกับเด็กต่างคณะ ที่นี้มาดูกันว่าทำไมเราถึงโดนดูถูกอย่างนั้น
ตัวเราเองเรียนครุ เอกสังคม นั่นหมายความว่าในหลักสูตรของเรากำหนดให้ต้องเรียนเนื้อหาตามรายวิชา ดังนี้ (ไม่นับรายวิชาครูที่ทุกคนในคณะต้องเรียน)
ประวัติศาสตร์
พระพุทธศาสนา
การเมืองการปกครอง
หน้าที่พลเมือง
กฎหมายพื้นฐาน
ภูมิศาสตร์
เศรษฐศาสตร์
และวิชาอื่นๆ เป็นเกี่ยวบ้าง ไม่เกี่ยวบ้างกับวิชาเอกของเรา
แล้วคิดว่าเราต้องไปเรียนวิชาเหล่านี้ที่ไหน
ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พระพุทธศาสนา เราจะต้องไปเรียนกับคณะอักษร ตลอดเวลาที่เรียน เราจะโดนอาจารย์แซะว่า พวกนี้เป็นเหมือนกาฝาก ไม่ค่อยจะอยากสอนเท่าไหร่หรอก เพราะพื้นฐานไม่แน่นเหมือนกับเด็กเอกนั้นของเค้า
การเมืองการปกครอง เรียนที่คณะรัฐศาสตร์ แน่นอนว่าเราต้องเรียนทั้งวิชาพื้นฐานของรัฐศาสตร์การปกครอง และรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือ IR เรามีปัญหามากเพราะไม่สามารถอ่านเปเปอร์ภาษาอังกฤษที่ลงลึกในเนื้อทางรัฐศาสตร์ได้ ก็โดนดูถูกอีกว่าเป็นเด็กครุที่โง่
กฎหมายพื้นฐาน เรียนที่คณะนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ เราก็โดนเหมือนเดิม เราโดนดูถูก โดนเหน็บแนมจนเหนื่อย พอจะบ่นหน่อย ก็เจอคำโปรยที่ว่า ไม่เป็นไร อดทนหน่อย เดี๋ยวก็ได้เป็นครู
ผ่านไป 4 ปี เราเรียนจบครบหลักสูตร ขึ้นปีที่ 5 คือการฝึกสอนตลอด 1 ปี ค่าเทอมยังต้องเสีย ค่าสื่อก็ต้องออก ค่าชีทก็มีมากมาย
เด็กเรียนไม่รู้เรื่องหรอ มา! ครูสอนให้นอกเวลา ไม่คิดตังค์ ชวนเพื่อนมาด้วย
เด็กไม่มาโรงเรียนเรียนหรอ มา! ครูไปตามให้
เด็กตก ติด 0 มา! ครูให้งาน สั่งงาน สอนใหม่ แล้วแก้ 0
ตลอดระยะเวลาที่ฝึกสอน เพื่อนบางคนได้ค้นพบตัวเอง ไม่เป็นครูแล้วโว้ย! หรือ เท ชั้นจะไม่มาสอน ใครจะทำไม แล้วเพื่อนที่เหลือทำไงหรอ มา! เดี๋ยวสอนแทนให้เอง
5 ปี ผ่านไป เฮ้อ... จบซักที สถานีต่อไปสอบบรรจุ แล้วก็เจอข่าว...(อีกแล้ว เป็นดราม่าที่เราเจอมาเหมือนเดิมตลอด 5 ปี นั่นแหละ)
ขณะนี้วันที่ 21 มี.ค. 2560 เรากำลังทำเรื่องจบเพื่อขอใบประกอบวิชาชีพ
ตัวเราเองเคยคิดที่จะเป็นครู แต่เมื่อได้เจอระบบที่เน้นทำผลงาน เจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่พร้อมยืนอยู่ข้างกัน เจอดราม่าจากสังคมรอบข้างอยู่ตลอดนับตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ เราก็ไม่อยากเป็นครูแล้ว แต่พอจะไปสมัครงานที่ไหน แล้วเจอคนถามว่าถนัดอะไร เราชะงักไป ใช่! เราถนัดอะไรหรอ ในเมื่อเราไม่เคยได้ลงลึกในเนื้อหาศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเลย ตอนนี้เราคงบอกได้คำเดียวว่า "เราเหนื่อย" "เหนื่อยมากเลยด้วย"
เราว่าวิธีการแก้ที่ดีคือ ให้หลักสูตรครุศาสตร์เหลือเพียง ป.โท ป.เอก ดังนั้น ใครจะมาเป็นครู จบตามสายวิชาที่ตัวเองอยากสอน แล้วมาเรียนครูเพิ่มในปริญญาโท แล้วจึงได้ใบประกอบวิชาชีพครู จะดีที่สุด เราก็จะได้คนเก่งมาเป็นครู แล้วก็จะได้ไม่ต้องมีดราม่าแบบนี้อีกในอนาคต ซึ่งคงจะมีแน่ ถ้ายังเปิดสอนแบบนี้อยู่