มีเงินเขานับว่าเป็นน้อง มีทองเขานับว่าเป็นพี่ แต่นี่ให้ทอง (รับปริญญา) กับผู้ร่วมงานเพิ่งเข้ามาใหม่ ไม่มีทั้งพี่และน้อง

สวัสดีค่ะ ขอเล่าปัญหาและระบายความในใจหน่อยค่ะ

           ที่ทำงานของดิฉันได้รับน้องใหม่เข้ามาทำงาน ได้ทำงานร่วมกันมาประมาณ 5-6 เดือน เป็นน้องใหม่ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี และได้ไปรับปริญญาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้นเพื่อนๆ ที่ทำงานนึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไรให้ แต่ได้มาปรึกษาหารือกันแล้ว ว่าถ้าต่างคนต่างซื้อ ก็จะเป็นของยิบย่อย ให้รวมเงินเป็นก้อนและซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้ 1 ชิ้นไปเลยดีกว่า โดยตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 350 – 400 บาท ซึ่งในขั้นตอนนี้ ได้มีการปาวประกาศรับทราบกันถ้วนหน้า  แล้วแต่ความสมัครใจ ใครต้องการที่จะซื้อให้ส่วนตัว หรือ ไม่สะดวกที่จะให้ ก็ไม่เป็นไร
            สำหรับของขวัญที่จะซื้อให้บัณฑิต มีตัวเลือกที่ลิสต์เอาไว้ คือ  เช็คของขวัญ / ตุ๊กตาตัวใหญ่ / กระเป๋า / โทรทัศน์ / ทอง ½ สลึง   ทั้งนี้ดูจากเงินงบประมาณที่ได้ร่วมหุ้นกัน ซึ่งมีจำนวนที่ได้พอสมควร ได้ผลสรุปมา คือ สามารถซื้อสร้อยข้อมือทองเป็นน้ำหนัก1 สลึง ซึ่งมากกว่าที่เคยตั้งเป้าเอาไว้เพียง ½ สลึงเท่านั้น โดยของที่ซื้อให้ในครั้งก็อยู่ในงบที่ทุกคนรับได้  คือ คนละ 350 บาท
        ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากที่ซื้อของขวัญมาแล้ว มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ร่วมหุ้น มีการคิดเล็กคิดน้อย เอาไปเปรียบเทียบกับ การคลอดบุตร หรือ เพื่อนร่วมงานท่านอื่นที่ได้รับปริญญาในระดับปริญญาโท ว่าที่ผ่านมาไม่เคยให้ทองสำหรับการรับปริญญา หรือ การคลอดบุตรเลย และเอาไปพูดกับผู้ร่วมงานท่านอื่นๆ ว่า เราจำเป็นต้องให้ทองเลยเหรอ ต่อไปไม่ว่าใครจะคลอดลูก หรือ ใครรับปริญญา พวกเราก็ต้องให้ทอง เหมือนกันใช่มั๊ย
             อยากจะร้องกรี๊ดดังๆ เลยเข้าไปถามคนนั้นตรงๆ ว่าเค้าคาดหวังอะไรเหรอ บอกไปแล้วว่าถ้าไม่สะดวกใจก็เอาเงินคืนไป ที่เหลือค่อยหารกันใหม่ได้ ก็บอกว่ารับได้กับจำนวนเงินที่จ่ายไป แต่ไม่จบแค่นั้นค่ะ มีเอาไปพูดกับคนอื่นๆ ให้ได้ยินเข้าหูมาอีกแล้วว่า “เป็นไงล่ะซื้อทองให้เลยนะ” เลยอาละวาดไปอีก 1 รอบ และคืนเงินให้เลย จะได้จบๆ กันเสียที เบื่อมาก แก่ๆ กันแล้วใกล้ๆ หลักสี่ ยังคิดเล็กคิดน้อยอีก ที่ผ่านมาไม่ว่าเป็นการคลอดลูก หรือ การรับปริญญา ของผู้ร่วมงานท่านอื่นๆ ก็ลงหุ้นกัน แต่ซื้อเช็คของขวัญ หรือ ซื้อของอื่นๆ ให้ ซึ่งจำนวนเงินที่เคยซื้อให้ มากกว่าการซื้อทองให้ในครั้งนี้แน่ๆ
        ถ้าจะให้เล่าวีรกรรมคุณเธอตอนแต่งงานก็ไม่ใช่ย่อย หว่านซองงานแต่งงานไป 100% คาดหวังว่าจะได้รับเงินจากซองแต่งงานคืนกลับ 100% และมีเอามาพูดว่าคนนั้นให้ซองแค่นั้นแค่นี้ จำได้แม่นว่าใครช่วยซองงานแต่งของคุณเธอไปกี่บาท คาดว่าน่าจะจำไปจนลูกบวช หรือ ลูกแต่งงานไปโน้น    อีกทั้งการที่เอาลูกของตัวเองเป็นที่ตั้งของศูนย์จักรวาล ถ้าลูกปิดเทอม คนเป็นแม่ไม่สามารถเข้าทำงานในเวลาปกติได้ค่ะ ต้องรอให้ลูกสุดที่รักตื่นนอนก่อน อาบน้ำ แต่งตัว กว่าจะแวะเข้ามาทำงานได้ก็โน้นประมาณ 10 โมงกว่าๆ และมีเอามาพูดให้เข้าหูอีก คนไม่มีลูกไม่รู้หรอก เคยด่าไปหนหนึ่งว่า คนอื่นๆ ในที่ทำงานก็มีลูกเหมือนกันเฟ้ย ไม่ใช่แกคนเดียวที่มีลูก แถมผัวเธอก็ทำงานอิสระ สามารถดูแลลูกเธอได้ แต่เธอไม่ไว้ใจใคร ต้องเป็นคนดูแลเองคนเดียวเท่านั้น ญาติพี่น้องทั้งฝั่งเธอและฝั่งผัว ก็ไม่ไว้ใจใครๆ ทั้งสิ้น กลัวว่าจะมากระทำมิดีมิร้ายกับลูกของเธอ
        อยากจะทราบว่าใครมีเพื่อนร่วมงานที่เยอะแบบนี้หรือเปล่า มาเล่าให้ฟังกันมั่ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เป็นผมกะคิดเล็กคิดน้อยนะ ซื้อทองให้เชียวนะคุณ เงิน 300-400 น้อยสะที่ไหน

คลอดลูกยังจะดูเป็นการรับขวัญ เหมาะแก่การซื้อทองให้มากสะกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่