สวัสดีค่ะ วันนี้มีคาเฟ่มารีวิวกันอีกแล้ว ร้านนี้เปิดมาได้น่าจะเป็นปีแล้วนะคะ เราเองก็ยังไม่ได้ไปสักที
พอมีโอกาสก็เลยต้องขอลองไปสักหน่อย เราไปวันธรรมดา ดีมากกกก เงียบดีแฮ่ๆ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
Mocking tales คาเฟ่ย่านทองหล่อที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
เพราะว่าการตกแต่งร้านนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยาย ปราสาทร้างจำลองลึกลับ น่าค้นหา storytelling ร้านนี้ดีงามมากๆ
ร้านนี้ตั้งอยู่ที่โครงการ The maze ทองหล่อ บริเวณปากซอยทองหล่อ ซอย 4
สามารถเดินทางด้วยบีทีเอสได้โดยลงที่สถานีทองหล่อ ใช้เวลาเดินประมาณ 6-10 นาที ถ้าร้อนๆ ก็เหนื่อยพอสมควรนะ
คาเฟ่เข้มขรึมที่มีอัศวินชุดเกราะมาต้อนรับ โซนที่เห็นชัดคือ โซนปรุงยา ซึ่งเป็นเสากลมวางขวดโหล
สื่อถึงยาต่างๆ ร้านนี้เขาละเอียดทุกขั้นตอนจริง เพราะที่ขวดโหลนั้นก็มีชื่อยาเขียนกำกับไว้ด้วย
คนที่ชอบแนวเทพนิยายพลาดไม่ได้เลยร้านนี้
ปราสาทนี้บรรยากาศดีและแอร์เย็นสบายมากอยากจะบอก 55
ไม่ต้องแปลกใจเลยที่เราได้บรรยากาศแบบโล่งๆของร้านมาฝากกัน อย่างที่บอกไปว่าเราไปวันธรรมดาจ้า
ชิลมากก เดินถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่ ฟินระดับ 10 เลยจ้า
ยอมใจกับการตกแต่งของร้านนี้มากๆ ทุกอย่างเราว่าสุดจริง บรรยากาศปราสาทสวยงามจนต้องมาชมด้วยตาของตนเอง
สำหรับใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวร้านนี้ก็มีมุมลึกลับที่สามารถพาคนรู้ใจมานั่งได้ด้วยนะ เดินขึ้นบันได้ปราสาทได้เลย
ที่นั่งด้านบน (บริเวณกลางร้าน) ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่งได้ 5 คนขึ้นไป
สามารถเป็นที่นัดเจอเพื่อนสาวกันได้เลย ด้านบนนี้ มี 1 โต๊ะ เป็นส่วนตัวดีเราชอบ
มาเปิดอ่านเทพนิยายเล่มนี้กันเลยดีกว่าว่าจะมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจบ้าง
ขนมและอาหารที่ร้านนี้เป็นโฮมเมด แต่ละเมนูมี story ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ
วันนี้เราจะสั่งเมนูยอดนิยมของร้านนี้กัน นั่นคือ Inferno Mountain
เครื่องดื่มและขนมร้านนี้จะเปลี่ยนไปตามแต่ละ Chapter ตอนที่เราไปคือ Chapter 4 เรียกได้ว่ามีเมนูใหม่ๆ
มาให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกันได้ตลอด จากที่เราถามพี่พนักงานเขาบอกว่าจะเปลี่ยนประมาณ 3 เดือนครั้ง ซึ่ง chapter 4 นี้จะหมดสิ้นเดือนมีนาคมนี้นี่เอง
concept อีกอย่างหนึ่งของร้านนี้ คือ DAYLIGHT FOOD ให้บริการอาหารเช้าช่วง 11:00-16:00 และในช่วงกลางคืนจะมีบริการ Cocktail แบบเก๋ๆ กันด้วย
แต่สำหรับใครที่สนใจดื่มช่วงกลางวันก็สามารถสั่งกันได้เลยนะ ทางร้านจะให้บริการ Mocktail เหมือน Cocktail เลยแต่ไม่มีแอลกอฮอลล์
สำหรับการสั่งอาหารที่ร้านนี้ พี่พนักงานสุดหล่อ (กิกิ) จะถือ ipad มารับออเดอร์ พอเราสั่งอาหาร พี่เขากด ipad แล้วเมนูที่เราสั่งก็จะไปขึ้นในรายการของทางครัวเลย รวดเร็วได้ใจมากๆ
อย่างที่เราบอกไปในตอนแรกว่าร้านนี้ทุกเมนูมีเรื่องราวของตัวเองเลยทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับพี่พนักงาน ว่าแต่ละเมนูนั้นมีที่มายังไงบ้าง (เราว่าน่าจะเป็นผู้ดูแลร้านเพราะให้ข้อมูลได้ครบถ้วนมาก)
เรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือการถ่ายรูป เราเลยสอบถามพี่พนักงานว่า ถ้า Inferno Mountain เป็นเมนูที่มีการราดเปลวไฟให้ช็อกโกแลตละลาย
เราควรนั่งโต๊ะไหนถึงจะถ่ายรูปได้ดูโอเค เพราะการราดนั้นไวมากก กลัวจิพลาดช็อตสำคัญ
ซึ่งพี่พนักงานก็แนะนำให้เราถ่ายเปลวไฟในโต๊ะที่มืด เพื่อที่จะได้เห็นเปลวไฟอย่างชัดเจน
ได้เลยค่ะพี่ พร้อมย้าย! จะได้มีภาพมาฝากทุกคน หลังจากนั้นพี่พนักงานก็หยิบ ipad มาจิ้มๆ
เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าการที่เราย้ายโต๊ะนี่จะเป็นปัญหากับเขาไหมนะ
ด้วยความสงสัยเรา เราก็ถามเลยจ้าาา ได้ความมาว่าที่ต้องจิ้ม ipad อีกครั้งเพราะร้านนี้ใช้ระบบในการบริหารจัดการร้าน
ร้านสวยๆแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่ลูกค้าจะขอย้ายโต๊ะ เพราะบางมุมแอร์เย็นจนหนาวหรือว่าเพราะว่ามุมนี้แสงไม่พอ
เวลาที่ลูกค้าเยอะแล้วมีการขอย้ายโต๊ะ การมีระบบนี้ก็จะช่วยทำให้ออเดอร์ไม่ตกหล่น ลดความเสี่ยงที่จะเสิร์ฟผิดโต๊ะได้ด้วย
เราก็แบบ เอ้อ การที่ร้านอาหารมีระบบแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะเราเคยไปร้านนึง แถวสุขุมวิทนี่ล่ะ
ลูกค้าย้ายโต๊ะเป็นว่าเล่นเลย เราเองก็เหมือนกัน แอบแซวเพื่อนๆกลุ่มเราว่า เล่นเก้าอี้ดนตรีกันใช่ไหม 55 เพราะเวลาไปร้านอาหารหรือคาเฟ่นั้นโต๊ะ แสง มุม ฉาก ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการถ่ายภาพ
(อันนี้เราพูดถึงมุมมองของคนที่ชอบถ่ายรูปนะ บางคนอาจจะแบบ อะไรจะขนาดนั้น แต่เราเป็นแบบนั้นจริงๆ ขออภัย ณ ที่นี้ ฮ่าๆ)
การจัดการร้านที่ดีส่งผลต่อความรู้สึกของคนที่เข้ามาใช้บริการจริงๆ นะ พอปัญหาเรื่องเสิร์ฟผิด หรือการล่าช้าไม่มี
เราเองก็จะรู้สึกดีและประทับใจมากกว่าร้านที่ระบบการจัดการไม่ดี
ลองนึกภาพไปสั่งอาหารแล้ว โต๊ะที่มาที่หลังได้ก่อน หรือไม่ก็สั่งไปแล้วก็ได้ไม่ครบ
ถ้าหิวๆ อยู่ก็เกิดความเซ็งได้เหมือนกันนะ ยุคนี้การบริการถือเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
เล่ามายาวมากกก จากที่เราพูดคุยกับพี่เจ้าของร้านระหว่างรอขนม
ก็ได้รู้มาว่า ระบบนี้เป็นแอพพลิเคชั่นชื่อว่า fourleaf เป็นระบบช่วยในการจัดการร้านอาหาร
เราเองก็เพิ่งรู้จักระบบนี้ ถ้าใครสนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมใน Google ได้เลย เราว่าเป็นระบบที่น่าสนใจมาก
คุยกับพี่พนักงานเพลินๆ พระเอกของเราก็มาแล้วจ้า Inferno Mountain โดมช็อกโกแลตขนาดมหึมา ตื่นเต้นเหมือนกัน จะเป็นยังไงนะ
วิธีเสิร์ฟ พี่พนักงานจะราดซอสราสเบอร์รี่เข้มข้นลงบนโดม จากนั้นก็จุดไฟ
และราดลงบนโดมช็อกโกแลตเพื่อให้โดมละลายลงมาเห็นไอศกรีม 3 ลูกและบราวนี่ด้านใน
พร้อมแล้วก็ราดเลยจ้า เปลวไฟสีฟ้าเปล่งประกายกันมาเลยทีเดียว หูยยยย ตู้มเป็นโกโก้ครันช์ เอ้ยยย ไม่ใช่ละ
อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เปลวไฟสีน้ำเงินสวยงาม น่าตื่นเต้น
เห็นแล้ว เห็นแล้วนั่นไง ไอศกรีมทั้ง 3 ลูกของเรา ขอยกไปถ่ายกับแสงธรรมชาติบ้างดีกว่า
ท๊าด๊าาาา ช็อกโกแลตโดมขนาดใหญ่มาก ภาชนะที่ใช้เสิร์ฟก็เก๋ไม่เบาเลยนะจ๊ะ
เป็นถาดพร้อมช้อนเหล็กขนาดใหญ่อลังการมาก ไม่ต้องตกใจไปเพราะเขาจะให้จานแบ่งและช้อนสำหรับทานขนาดอีกชุดมาให้ด้วยจ้า
นึกว่าต้องใช้ช้อนยักษ์จริงๆซะแล้ว 555 ใครสนใจมาร้านนี้ขออย่างเดียวอย่ามาคนเดียว บางทีเราก็ว่าเราหาญกล้าเกินไป
มาคนเดียวแล้วสั่งจัดเต็มขนาดนี้ ฮรืออออ!! ได้ลองแค่เมนูเดียวเลย TT
อยากจะบอกว่าไอศกรีม 3 รูปขนาดใหญ่มาก (เรากินไปได้ไงคนเดียว)
เราเลือกไอศกรีมรส Matcha, Cookie Monster, strawberry cheesecake รสชาติไอศกรีมแต่ละรสไม่ค่อยหวานมาก
Matcha เป็น matcha แบบคลาสสิคที่เราว่าคนทั่วไปทานได้อย่างอร่อย
หมายถึงตัวเราเองเป็นสายเขียว ชอบแบบสายเขียวแบบเจ้มจ้นนน มัชฉะร้านนี้กลิ่นไม่แรง รสไม่เข้มเกินไป เราว่าคนทั่วไปน่าจะถูกใจนะ
ส่วนอีกรสนั่นคือ Cookie Monster มาเป็นไอศกรีมสีฟ้าเลยจ้าาา แอบตกใจอยู่เหมือนกัน
พอชิมไปแล้วแบบว่า เย็นอ่ะ ตึง! ไอศกรีมก็ต้องเย็นไหมแกรรร
หมายถึงว่ามันเย็นแบบหอมๆ ขึ้นจมูกหน่อยๆ ทานแล้วสดชื่นดี เราชอบนะรสนี้
สำหรับรสสุดท้าย แอบอยู่ด้านในสุดคือ strawberry cheesecake ตัวนี้เป็นไอศกรีมสีขาว
รสชาติไม่หวานมาก ไม่เลี่ยนดีน้า ทานกับบราวนี่ที่ฐานล่างของโดมก็เข้ากันมากๆ เลย
ลืมไม่ได้เลยคือบราวนี่ บราวนี่ของร้านนี้จะเป็นบราวนี่เนื้อหนึบ แน่นมาก หนึบสุด
เหตุผลที่ต้องเป็นบราวนี่เนื้อหนึบเพราะว่า ถ้าทำเป็นบราวนี่เนื้อกรอบอาจจะทำให้ชุ่มไปด้วย น้ำหรือไอศกรีมที่ละลายแล้วนั่นเอง
นี่แน่ะๆ ป้ายร้านที่ยังไม่ละลาย จัดการตักพร้อมไอกรีม matcha ซะเลย
[SR] [REVIEW] mocking tales ร้านจำลองปราสาทเทพนิยาย สวยสะกดทุกสายตา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น