
สวัสดีค่ะชาวกระทู้พันทิป ทุกท่าน ครั้งนี้ของมาแชร์ประสบการณ์กันต่อ เรื่องเล่าที่เมืองมาราเกซ ประเทศโมร็อคโค
เราเป็นโรคติดเที่ยวคะ ประเภทถ้าไม่ได้เที่ยวแล้วจะลงแดงตาย คือแฟนต้องยอมปล่อย บางที่ๆเราชอบไป แฟนก็ไม่อยากไป แต่เขาจะรู้ดีว่า เขาห้ามเราไม่ได้ถ้าเราจะไปก็คือไป ครั้งหนึ่งของชีวิตต้องใช้ให้มันคุ้ม ถ้าที่ไหนชอบก็ไปอีก แต่ถ้าไม่ปลื้มก็ครั้งเดียว ประเภทต้องลองถึงจะรู้
หลายคนอาจจะกลัวกับการ Out of comfort zone แต่ถ้าหากคุณได้ลองอะไรก็แล้วแต่ที่คุณไม่คุ้นเคย สิ่งเลวร้ายมันอาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
แต่เดิมนั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เดินทางไปประเทศโมร็อคโค คนเดียวได้ เพราะอ่านรีวิวจากกระทู้ฝรั่ง ฟังจากเพื่อนที่เขาเคยไปกันมาเล่า ทำให้เราไม่กล้าที่จะเดินทางไป แต่สืบเนื่องมาจากเดือนที่แล้ว ที่เราไปลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เกิดติดใจ หลงไหลในลายของกระเบื้องสี ที่มีความสวยงาม และวัฒธรรมอันโดดเด่น จึงทำให้ต้องตัดสินใจไปดูเจ้ากระเบื้องสีให้ได้ ทีแรกพยายามโน้มเน้า ชวนแฟนไปให้ได้ แต่นางบอกไม่มีทางที่จะไปประเทศมุสลิม แฟนเรานางเป็นคนไม่ชอบเที่ยวแบบ ลุยๆ รสนิยมของเราต่างกัน ดังนั้นจึงต้องแบ่งกันครึ่งทาง
ก่อนเดินทางเราก็ได้อ่าน และศึกษาข้อมูลพอควร ทั้งเวปรีวิว และกระทู้ต่างๆของฝรั่ง รวมทั้งเว็ปพันทิป ที่พี่ๆท่านอื่นที่เขาเคยไปมา แล้วเขียนรีวิว สำหรับเราถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก
แค่อ่านในเน็ตยังไม่พอคะ เราซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวโมรอคโคมาอ่านเพิ่มด้วย เพราะการไปในที่ไม่คุ้นเคยคนเดียว(ประเทศมุสลิม) แล้วไม่มีไกด์ท้องถิ่น จำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ดี

ในการเดินทางครั้งนี้ เราได้จองโรงแรมผ่านเวปชื่อดังอย่าง Expedia ซึ่งปกติเป็นเวปไซต์ ที่เราไว้ใจในการจองโรงแรมตลอด เวปชื่อดังอย่าง timeout แนะนำว่าหากใครมามาราเกซ ต้องพักที่ Riad ใน Midina เท่านั้น ถึงจะเรียกว่ามาถึงเมืองมาราเกซ

วันแรกที่มาถึงเมือง มาราเกซ ประเทศโมรอคโค มันเป็นอะไรที่แสนทรหดมากค่ะ ใจจริงก่อนมาก็คิดว่าศึกษาข้อมูลมาดีพอสมควรในระดับหนึ่ง พูดตามตรง ใจหนึ่งก็มีความกลัวในการเดินทางมาประเทศมุสลิมคนเดียว แต่เราก็จองโรงแรมจองแท็กซี่ผ่านทางอินเตอร์เนตมาก่อนแล้ว เลยคิดว่าไม่เป็นไรฉันต้องไม่มีปัญหาแน่
แต่มันไม่ใช่อย่างงั้นสิคะ ปัญหาแรกที่เจอคือเครื่องบินที่ดีเลย์ เกือบสองชั่วโมง เพราะ air traffic control ของฝรั่งเศสประท้วง จึงทำให้เครื่องบินไม่สามารถบินได้
"เวรกรรมของฉัน" นึกในใจกว่าจะถึง มาราเกซ ดึกแน่ๆ สองสามทุ่มอย่างต่ำ แล้วแท็กซี่ที่เราจองผ่านอินเตอร์เนตก่อนมาหละ หวังว่าเขาคงจะเช็คตารางบินเราก่อนที่เครื่องจะถึง ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร นึกในใจ พอได้ขึ้นเครื่องออกเดินทาง มาถึงสนามบินมาราเกซ ปัญหาแรกที่เจอคือ การผ่านตรวจคนเข้าเมือง กับคิวที่ยาวในตำนาน พอมาเจอกับตัวเอง ถึงได้รู้
ซึ่งในเวปกระทู้ฝรั่งเขาได้กล่าวไว้แล้วว่า การเช็คอินที่แอร์พอร์ตของมาราเกซนั้น ใช้เวลานานมาก คิวยาวเว่อร์ แล้วมันก้อเว่อร์จริงๆค่ะ คนต่อคิวยาวมาก ไม่ใช่แค่เพราะคนรอเข้าประเทศเยอะอย่างบ้านเรานะ แต่ที่คิวใช้เวลานานในการเช็คอินเพราะว่า การจัดการบริหารของต.ม ที่มาราเกสนั้นค่อนข้างไม่เป็นระบบ มีพนักงานทั้งหมดเค้าเตอร์ ต.ม มีแค่เพียงราวๆ 6คนเท่านั้น จึงทำให้การทำงานล้าช้า ลองนึกเอาเองนะค่ะ เครื่องบินจอดเกือบสามทุ่ม กว่าจะได้ออกมาก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มแม้เจ้า กว่าจะหลุด ตม. ออกมาได้ แม่ยืนจนหลังแข็ง เวรกรรมแค่นั้นยังไม่พอ ออกมาจากสนามบิน แท็กซี่ที่จองไว้ ก็ไม่เห็นมีใครมายืนถือป้ายรอรับเรา เวรกรรมของกูแล้วซิทีนี้ นึกใจใจกรรมซับกรรมซ้อนอะไรหวะ เห็นผู้ชายหลายคนยืนกันเป็นกลุ่มๆ
รถโดยสารประจำทางก็ไม่เห็นมี ป้ายบอกทางก็ไม่มี แล้วเราจะทำยังงัยหละทีนี่ เลยตัดสินใจเดินออกมาอีกนิด ก็มีผู้ชายวัยกลางคนพูดภาษาฝรั่งเศสเข้ามาคุยด้วย บอกเราว่าใช้บริการแท็กซี่ไหม
เราก็โชว์กระดาษที่อยู่โรงแรมให้ดู พอมันดูปุ๊ปมันก็ทำหยิบโทรศัพท์คุยกับใครไม่รู้เป็นภาษาอาหรับ พยายามถ่วงเวลาแล้วบอกเราว่า 50ยูโร ซึ่งมันแพงมาก พยายามที่จะปล้นเรานะเนี่ย ราคาที่เขาจ่ายกันแค่10ยูโรเท่านั้นเอง ระยะทางก็แค่7กิโลเมตรเท่านั้น ด้วยความที่ไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบเลยเดินต่อ กูไม่ง้อ เดินไปไม่ถึงสามเก้า ก็มีแท็กซี่อีกคนมาเรียกให้ขึ้นรถ ถามว่าไปไหน เราก็ยื่นที่อยู่ให้ดูแล้วบอกว่า ไปไม่ไปฉันให้ 15ยูโรเท่านั้น ถ้าไม่เอาก็ไม่ไป สุดท้ายนางก็ยอมค่ะ เกือบได้นอนสนามบินแล้ว
ระหว่างสองข้างทางที่แท็กซี่พาขับ บรรยากาศมันทำให้เรานึกถึงเมืองๆ ต่างจังหวัดของไทยดีๆนี่เอง มีกลุ่มวัยรุ่นขี่รถเครื่องเล่น ในยามค่ำสำหรับที่พักที่แชมจองนั้น มันเป็นบ้านโบราณของโมรอคโค ที่เขาเรียกกันว่า Riad ซึ่งหมายถึง Garden บางหนังสือบรรยายแปลเป็นความหมายว่า สวรรค์ที่ถูกซ้อน
ในการมาพักที่มาราเกซ ต้องพักที่รีแอดบ้านโบราณ ที่อยู่ในย่านเมืองเก่าที่มีกำแพงดินสีแดงอมชมพู สูง9เมตร หนา2เมตร ล้อมรอบอย่าง Medina ถึงว่าเป็นหัวใจหลักของที่นี่ค่ะ เพราะรีแอดแต่ละที่จะมีเพียงไม่กี่ห้องพักเท่านั้น อย่าง รีแอดที่แชมพัก ก็มีเพียงแค่ 4ห้อง
ประเทศนี้ค่อนข้างยากจนค่ะ ซึ่งรายได้ของประชากรค่าเฉลี่ยต่อคนนั้นค่อนข้างน้อย ความแตกต่างในสังคมนั้นมีมากระหว่างคนรวย และคนจน ดังนั้นเป็นธรรมดาตามสถานที่สาธารณะจะเห็นพวกที่จ้องจะสแกมนักท่องจึงมีอยู่เยอะตามท้องถนน ในย่านที่มีนักท่องเที่ยว
แท็กซี่ได้พาเรามาจอดตรงกลางจตุรัส ซึ่งเป็นย่านของชุมชน โอ้มาเจ้า นางจะเรียกเก็บตังเราเพิ่มอีก เลยบอกไม่ให้ ตกลงยังงัยก็ต้องอย่างนั้น จ่ายตังเสร็จ ทีนี่เราลงเดินเพื่อหาโรงแรม ซึ่งป้ายก็ไม่ได้มีบอกชัดเจนเหมือนที่อื่นๆทั่วไป เพราะมันเป็นย่านชุมชน เมืองเก่า ถนนซอยเล็กๆเยอะมาก อีกทั้งกูเกิ้ลสตรีทก็ใช้ไม่ได้นะคะ สำหรับที่ประเทศนี้ ที่นี้เด็กๆมันวิ่งตามเรามากันเพรียบ อาสาพาเราไปส่งที่โรงแรมทั้งๆที่เราไม่ได้ถาม แต่มันคงจะรู้กัน ซึ่งเราในใจก็จะให้ตังส์เด็กมันนั่นแหละ ที่พาเดินชี้ทางมาส่ง พอถึงหน้าโรงแรมมันก็ขอเรา50 ดีแรมโมรอคโค แต่เราไม่มีเงินโมรอคโคหละสิ เพราะยังไม่ได้แลก ที่ประเทศนี้เขามีกฎหมายห้ามนำเงินของเขาออกนอกประเทศ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะซื้อสกุลเงินเขาได้ก่อนมา เราก็เลยให้เด็กไป 2ยูโร ก็ถือว่าไม่น้อยนะ แค่เดินชี้ทางไม่ถึง5นาที แต่เด็กมันจะไม่เอาหละสิ มันจะเอาเงิน50ดีแรม แม่ก็เลยพูดเสียงดังใส่ "นั้นไม่ต้องเอาหรือกัน" ถามว่าทำไมต้องดังใส่ เพราะเด็กพวกนี้ถ้าเราง่าย มันก็จะบอกเพื่อนๆมัน ว่าอีนี้ให้ง่าย เดี๋ยวที่นี่จะมารอแต่เราตลอดสินั้นคือปัญหา ดังนั้นอย่าให้อะไรง่ายๆเพราะความสงสาร สรุปมันก็ยอมรับเงิน แต่มัน

ด่าเราอีกว่า " off"
เป็นอย่างที่เวปกระทู้ฝรั่งแนะนำไว้จริงๆ ตอนนี้รู้สึกคิดลบกับคนที่นี่แล้วสิ แต่ก็เข้าใจนะเพื่อความอยู่รอดของแต่ละคน ถามว่าแนะนำไหมสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวแล้วไม่รู้จักใครที่นี้ คำตอบคือ ไม่แนะนำค่ะ ถ้ามีงบควรจ้างไกด์ หรือมากับเพื่อนๆจะดีกว่า แต่ถ้ามากับผัวได้ยิ่งดี หากใครมีผัว
หลังจากเด็กเวรมันด่าเรา off เสร็จ มันก็เดินกลับไปที่เดิมของมัน ที่นี่เราก็ยืนกดกริ่ง และเคาะหน้าประตูอยู่ซักพัก ก็ไม่เห็นมีคนมาเปิด เคาะและตะโกนเรียกเสียงดัง จนบ้านข้างๆเขาเปิดออกมาดู ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นี่ก็ได้ยินเสียงคนข้างในโรงแรมเดินมาทีประตูแล้วก็เปิดให้เราเข้าไป แต่แม่เจ้า ชายวัยกลางคน นางบอกนางเป็นแขกของโรงแรมเหมือนกัน พนักงานไม่อยู่ออกไปข้างนอก นางนอนหลับอยู่แล้วได้ยินเสียงเรา เลยออกมาเปิดประตูให้ แล้วนางก็ใช้โทรศัพท์ของโรงแรมโทรบอกพนักงานว่า มีแขกเพิ่งมาถึง ที่นี้รู้สึกโล่งอกแล้ว พอบอกขอบใจฝอคนนี้ ก่อนที่นางจะขอตัวกลับไปนอนต่อ เพราะนางบอกว่าตอนเช้านางจะนั่งรถไฟไปเมืองคาซาบังก้า กล่าวราตรีสวัสดิ์เสร็จสรรพ
เหลือแต่เราแล้วสิ นั่งรอพนักงานต่อไป ซึ่งระหว่างรอก็มองหน้าต่าง เพดาน ประตู โคมไฟ สถาปัตยกรรมของตัวอาคาร รีแอด ที่มีสองชั้นล้อมรอบ มีพื้นที่ตรงกลางเป็นห้องนั่งเล่น และห้องทานข้าว ซึ่งประตูแต่ละห้องเปิดออกมา ก็จะเห็นพื้นที่ตรงกลางนี้ ความรู้สึก เหมือนย้อนประวัติศาสต์กลับไปอยู่ในฮาเร็มประมาณนั้น ซึ่งมุสลิมมีเมียได้มากกว่า1 ก็คงให้พวกนางอยู่คนละห้องไป
นั่งรอประมาณ 15นาที ซักพักก็ได้ยินเสียงประตูด้านหน้าเปิด แน่นอนแหละที่นี้ พนักงานของโรงแรมแน่ๆ ใช่จริงๆค่ะ เราก็เอาใบคอนเฟริมจากเวป ให้เขาดูว่าฉันจองผ่านเวปนี้นะ จ่ายค่าที่พักไปแล้วก่อนมา นางดูแล้วก็ยื่นใบอะไรซักอย่างคล้ายๆกับใบ ต.ม กรอก ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลยที่ ต.ม สแตมป์ ให้เราที่สนามบิน คงเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวมั้ง
หลังจากที่กรอกข้อมูลเสร็จ ก็ยื่นให้นาง ที่นี่แหละกูจะได้เป็นเจ้าหญิงอาหรับแล้ว แม่เจ้าฝันต้องมาล่มสลายอีกครั้ง ห้องพักไฟไม่ติดคะ
ไฟมันเสีย จะย้ายห้องก็ไม่มีว่าง เพราะมีแค่4ห้องเท่านั้น ที่นี่ก็ต้องอยู่ในความมืดหนึ่งคืนเต็มๆ พนักงานก็ไปเอาเทียนมาจุดให้ ยังดีหน่อย แต่มันก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ซึ่งอาหารเช้าของที่โรงแรม พนักงานที่เป็ผู้จัดการของที่นี่ มีหน้าที่ทำทุกอย่างคะ ตั้งแต่จัดห้อง เช็คอิน เช็คเอ้าท์ ยันจัดอาหารเช้าให้แขกที่พักทาน ส่วนอาหารเช้านั้นก็รวมอยู่ในแพ็คเกจค่ะ เป็นเมนูง่ายๆ ขนมปังชุบไข่ทอด โยเกริต เครป กาแฟ น้ำส้มคั้นสด ซึ่งเราไม่สามารถเลือกได้ ตามแต่ที่พนักงานโรงแรมจะทำมาให้ หลังจากนั้นพนักงานก็พาเราเปลี่ยนห้องพัก ขึ้นไปชั้นบน ณ โมเม้นท์นั้น คือดีใจสุดๆที่จะมีไฟใช้
พอขนข้าวของขึ้นห้องใหม่เสร็จ ก็ถึงเวลาที่จะตะลุยเมือง มาราเกซ

ย่าน Jemaa El Fna เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองมาราเกซ จตุรัสขนาดใหญ่ที่มีของขายมากมายราคาถูก หลังจากแลกเงินดีแรม โมรอคโค ก็เลยถึงเวลาดื่มเบียร์คล้ายร้อน เบียร์ขึ้นชื่อของที่นี่คือ เบียร์ยี่ห้อ Casablanca ตามชื่อเมืองที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญของโมรอคโค และภาพยนต์ที่โด่งดัง หนังฝรั่งเก่าในปี 1942
อย่าง Casablanca ซึ่งเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงถ้าเทียบกับมาราเกซ
นอกเรื่องไปนิดค่ะ เข้าเรื่องต่อ สำหรับเบียร์ยี่ห้อนี้ มีแอลกอฮอล 5% รสชาติ กล่อมกล่อมไม่ต่างกับเบียร์ยุโรปเลยทีเดียวค่ะ
หลังจากดื่ม พอหายชื่นใจ เราก็ออกเดินกันต่อไปในSouk Semarine ซึ่งคำว่า Souk ก็หมายถึงตลาดนั้นเองค่ะ ที่มีของขายมากมาย แฮนด์เมดทำมือ เครื่องกระเบื้องดินเผา หัตถกรรมงานฝีมือ รวมทั้งเสื้อผ้าและของน่าทาน ถ้านึกภาพยังไม่ออก ก็คลายๆกับตลาดประตูน้ำรวมกับจตุจักรบ้านเรานั้นแหละค่ะ แต่แชมไม่ค่อยชอบตรงที่มีพวกชอบมาตื้อ จ้องจะปล้นนักท่องเที่ยว แนะนำเดินเลี่ยงดีที่สุด ใครชวนคุยอย่าได้หยุดคุย เพียงค่ะยิ้มให้ แล้วพูดภาษาฝรั่งเศสใส่ เพราะคนที่นี่เขาใช้2ภาษา คือฝรั่งเศส และอาราบิค
แต่ก็ไม่ได้แย่เลยทีเดียวนะค่ะ พ่อค้าใจดีก็มี แชมแวะซื้อต่างหู คุณลุงแกก็ลดราคาให้แชมด้วย วิถีชีวิตของคนที่นี่ค่อนข้างยากจนค่ะ รายได้ขั้นต่ำเขาตกเฉลี่ยวันละไม่เกิน300บาท
ดังนั้นอะไรก็ได้เพื่อความอยู่รอด นักท่องเที่ยวจึงเป็นทาร์เกตหลักในการหารายได้ของพวกพ่อค้าฮาร์ดคอร์
พอหลังจากช็อปเสร็จได้ชุด คาฟตานสวยๆมา ทีนี้ก็กลับรีแอดไปเปลี่ยนชุดเป็นสาวอาหรับ ก่อนออกตะลุยเมืองต่อ
คนเดียวก็เที่ยวได้ มาราเกซ
สวัสดีค่ะชาวกระทู้พันทิป ทุกท่าน ครั้งนี้ของมาแชร์ประสบการณ์กันต่อ เรื่องเล่าที่เมืองมาราเกซ ประเทศโมร็อคโค
เราเป็นโรคติดเที่ยวคะ ประเภทถ้าไม่ได้เที่ยวแล้วจะลงแดงตาย คือแฟนต้องยอมปล่อย บางที่ๆเราชอบไป แฟนก็ไม่อยากไป แต่เขาจะรู้ดีว่า เขาห้ามเราไม่ได้ถ้าเราจะไปก็คือไป ครั้งหนึ่งของชีวิตต้องใช้ให้มันคุ้ม ถ้าที่ไหนชอบก็ไปอีก แต่ถ้าไม่ปลื้มก็ครั้งเดียว ประเภทต้องลองถึงจะรู้
หลายคนอาจจะกลัวกับการ Out of comfort zone แต่ถ้าหากคุณได้ลองอะไรก็แล้วแต่ที่คุณไม่คุ้นเคย สิ่งเลวร้ายมันอาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
แต่เดิมนั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เดินทางไปประเทศโมร็อคโค คนเดียวได้ เพราะอ่านรีวิวจากกระทู้ฝรั่ง ฟังจากเพื่อนที่เขาเคยไปกันมาเล่า ทำให้เราไม่กล้าที่จะเดินทางไป แต่สืบเนื่องมาจากเดือนที่แล้ว ที่เราไปลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เกิดติดใจ หลงไหลในลายของกระเบื้องสี ที่มีความสวยงาม และวัฒธรรมอันโดดเด่น จึงทำให้ต้องตัดสินใจไปดูเจ้ากระเบื้องสีให้ได้ ทีแรกพยายามโน้มเน้า ชวนแฟนไปให้ได้ แต่นางบอกไม่มีทางที่จะไปประเทศมุสลิม แฟนเรานางเป็นคนไม่ชอบเที่ยวแบบ ลุยๆ รสนิยมของเราต่างกัน ดังนั้นจึงต้องแบ่งกันครึ่งทาง
ก่อนเดินทางเราก็ได้อ่าน และศึกษาข้อมูลพอควร ทั้งเวปรีวิว และกระทู้ต่างๆของฝรั่ง รวมทั้งเว็ปพันทิป ที่พี่ๆท่านอื่นที่เขาเคยไปมา แล้วเขียนรีวิว สำหรับเราถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก
แค่อ่านในเน็ตยังไม่พอคะ เราซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวโมรอคโคมาอ่านเพิ่มด้วย เพราะการไปในที่ไม่คุ้นเคยคนเดียว(ประเทศมุสลิม) แล้วไม่มีไกด์ท้องถิ่น จำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ดี
ในการเดินทางครั้งนี้ เราได้จองโรงแรมผ่านเวปชื่อดังอย่าง Expedia ซึ่งปกติเป็นเวปไซต์ ที่เราไว้ใจในการจองโรงแรมตลอด เวปชื่อดังอย่าง timeout แนะนำว่าหากใครมามาราเกซ ต้องพักที่ Riad ใน Midina เท่านั้น ถึงจะเรียกว่ามาถึงเมืองมาราเกซ
วันแรกที่มาถึงเมือง มาราเกซ ประเทศโมรอคโค มันเป็นอะไรที่แสนทรหดมากค่ะ ใจจริงก่อนมาก็คิดว่าศึกษาข้อมูลมาดีพอสมควรในระดับหนึ่ง พูดตามตรง ใจหนึ่งก็มีความกลัวในการเดินทางมาประเทศมุสลิมคนเดียว แต่เราก็จองโรงแรมจองแท็กซี่ผ่านทางอินเตอร์เนตมาก่อนแล้ว เลยคิดว่าไม่เป็นไรฉันต้องไม่มีปัญหาแน่
แต่มันไม่ใช่อย่างงั้นสิคะ ปัญหาแรกที่เจอคือเครื่องบินที่ดีเลย์ เกือบสองชั่วโมง เพราะ air traffic control ของฝรั่งเศสประท้วง จึงทำให้เครื่องบินไม่สามารถบินได้
"เวรกรรมของฉัน" นึกในใจกว่าจะถึง มาราเกซ ดึกแน่ๆ สองสามทุ่มอย่างต่ำ แล้วแท็กซี่ที่เราจองผ่านอินเตอร์เนตก่อนมาหละ หวังว่าเขาคงจะเช็คตารางบินเราก่อนที่เครื่องจะถึง ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร นึกในใจ พอได้ขึ้นเครื่องออกเดินทาง มาถึงสนามบินมาราเกซ ปัญหาแรกที่เจอคือ การผ่านตรวจคนเข้าเมือง กับคิวที่ยาวในตำนาน พอมาเจอกับตัวเอง ถึงได้รู้
ซึ่งในเวปกระทู้ฝรั่งเขาได้กล่าวไว้แล้วว่า การเช็คอินที่แอร์พอร์ตของมาราเกซนั้น ใช้เวลานานมาก คิวยาวเว่อร์ แล้วมันก้อเว่อร์จริงๆค่ะ คนต่อคิวยาวมาก ไม่ใช่แค่เพราะคนรอเข้าประเทศเยอะอย่างบ้านเรานะ แต่ที่คิวใช้เวลานานในการเช็คอินเพราะว่า การจัดการบริหารของต.ม ที่มาราเกสนั้นค่อนข้างไม่เป็นระบบ มีพนักงานทั้งหมดเค้าเตอร์ ต.ม มีแค่เพียงราวๆ 6คนเท่านั้น จึงทำให้การทำงานล้าช้า ลองนึกเอาเองนะค่ะ เครื่องบินจอดเกือบสามทุ่ม กว่าจะได้ออกมาก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มแม้เจ้า กว่าจะหลุด ตม. ออกมาได้ แม่ยืนจนหลังแข็ง เวรกรรมแค่นั้นยังไม่พอ ออกมาจากสนามบิน แท็กซี่ที่จองไว้ ก็ไม่เห็นมีใครมายืนถือป้ายรอรับเรา เวรกรรมของกูแล้วซิทีนี้ นึกใจใจกรรมซับกรรมซ้อนอะไรหวะ เห็นผู้ชายหลายคนยืนกันเป็นกลุ่มๆ
รถโดยสารประจำทางก็ไม่เห็นมี ป้ายบอกทางก็ไม่มี แล้วเราจะทำยังงัยหละทีนี่ เลยตัดสินใจเดินออกมาอีกนิด ก็มีผู้ชายวัยกลางคนพูดภาษาฝรั่งเศสเข้ามาคุยด้วย บอกเราว่าใช้บริการแท็กซี่ไหม
เราก็โชว์กระดาษที่อยู่โรงแรมให้ดู พอมันดูปุ๊ปมันก็ทำหยิบโทรศัพท์คุยกับใครไม่รู้เป็นภาษาอาหรับ พยายามถ่วงเวลาแล้วบอกเราว่า 50ยูโร ซึ่งมันแพงมาก พยายามที่จะปล้นเรานะเนี่ย ราคาที่เขาจ่ายกันแค่10ยูโรเท่านั้นเอง ระยะทางก็แค่7กิโลเมตรเท่านั้น ด้วยความที่ไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบเลยเดินต่อ กูไม่ง้อ เดินไปไม่ถึงสามเก้า ก็มีแท็กซี่อีกคนมาเรียกให้ขึ้นรถ ถามว่าไปไหน เราก็ยื่นที่อยู่ให้ดูแล้วบอกว่า ไปไม่ไปฉันให้ 15ยูโรเท่านั้น ถ้าไม่เอาก็ไม่ไป สุดท้ายนางก็ยอมค่ะ เกือบได้นอนสนามบินแล้ว
ระหว่างสองข้างทางที่แท็กซี่พาขับ บรรยากาศมันทำให้เรานึกถึงเมืองๆ ต่างจังหวัดของไทยดีๆนี่เอง มีกลุ่มวัยรุ่นขี่รถเครื่องเล่น ในยามค่ำสำหรับที่พักที่แชมจองนั้น มันเป็นบ้านโบราณของโมรอคโค ที่เขาเรียกกันว่า Riad ซึ่งหมายถึง Garden บางหนังสือบรรยายแปลเป็นความหมายว่า สวรรค์ที่ถูกซ้อน
ในการมาพักที่มาราเกซ ต้องพักที่รีแอดบ้านโบราณ ที่อยู่ในย่านเมืองเก่าที่มีกำแพงดินสีแดงอมชมพู สูง9เมตร หนา2เมตร ล้อมรอบอย่าง Medina ถึงว่าเป็นหัวใจหลักของที่นี่ค่ะ เพราะรีแอดแต่ละที่จะมีเพียงไม่กี่ห้องพักเท่านั้น อย่าง รีแอดที่แชมพัก ก็มีเพียงแค่ 4ห้อง
ประเทศนี้ค่อนข้างยากจนค่ะ ซึ่งรายได้ของประชากรค่าเฉลี่ยต่อคนนั้นค่อนข้างน้อย ความแตกต่างในสังคมนั้นมีมากระหว่างคนรวย และคนจน ดังนั้นเป็นธรรมดาตามสถานที่สาธารณะจะเห็นพวกที่จ้องจะสแกมนักท่องจึงมีอยู่เยอะตามท้องถนน ในย่านที่มีนักท่องเที่ยว
แท็กซี่ได้พาเรามาจอดตรงกลางจตุรัส ซึ่งเป็นย่านของชุมชน โอ้มาเจ้า นางจะเรียกเก็บตังเราเพิ่มอีก เลยบอกไม่ให้ ตกลงยังงัยก็ต้องอย่างนั้น จ่ายตังเสร็จ ทีนี่เราลงเดินเพื่อหาโรงแรม ซึ่งป้ายก็ไม่ได้มีบอกชัดเจนเหมือนที่อื่นๆทั่วไป เพราะมันเป็นย่านชุมชน เมืองเก่า ถนนซอยเล็กๆเยอะมาก อีกทั้งกูเกิ้ลสตรีทก็ใช้ไม่ได้นะคะ สำหรับที่ประเทศนี้ ที่นี้เด็กๆมันวิ่งตามเรามากันเพรียบ อาสาพาเราไปส่งที่โรงแรมทั้งๆที่เราไม่ได้ถาม แต่มันคงจะรู้กัน ซึ่งเราในใจก็จะให้ตังส์เด็กมันนั่นแหละ ที่พาเดินชี้ทางมาส่ง พอถึงหน้าโรงแรมมันก็ขอเรา50 ดีแรมโมรอคโค แต่เราไม่มีเงินโมรอคโคหละสิ เพราะยังไม่ได้แลก ที่ประเทศนี้เขามีกฎหมายห้ามนำเงินของเขาออกนอกประเทศ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะซื้อสกุลเงินเขาได้ก่อนมา เราก็เลยให้เด็กไป 2ยูโร ก็ถือว่าไม่น้อยนะ แค่เดินชี้ทางไม่ถึง5นาที แต่เด็กมันจะไม่เอาหละสิ มันจะเอาเงิน50ดีแรม แม่ก็เลยพูดเสียงดังใส่ "นั้นไม่ต้องเอาหรือกัน" ถามว่าทำไมต้องดังใส่ เพราะเด็กพวกนี้ถ้าเราง่าย มันก็จะบอกเพื่อนๆมัน ว่าอีนี้ให้ง่าย เดี๋ยวที่นี่จะมารอแต่เราตลอดสินั้นคือปัญหา ดังนั้นอย่าให้อะไรง่ายๆเพราะความสงสาร สรุปมันก็ยอมรับเงิน แต่มัน
เป็นอย่างที่เวปกระทู้ฝรั่งแนะนำไว้จริงๆ ตอนนี้รู้สึกคิดลบกับคนที่นี่แล้วสิ แต่ก็เข้าใจนะเพื่อความอยู่รอดของแต่ละคน ถามว่าแนะนำไหมสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวแล้วไม่รู้จักใครที่นี้ คำตอบคือ ไม่แนะนำค่ะ ถ้ามีงบควรจ้างไกด์ หรือมากับเพื่อนๆจะดีกว่า แต่ถ้ามากับผัวได้ยิ่งดี หากใครมีผัว
หลังจากเด็กเวรมันด่าเรา off เสร็จ มันก็เดินกลับไปที่เดิมของมัน ที่นี่เราก็ยืนกดกริ่ง และเคาะหน้าประตูอยู่ซักพัก ก็ไม่เห็นมีคนมาเปิด เคาะและตะโกนเรียกเสียงดัง จนบ้านข้างๆเขาเปิดออกมาดู ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นี่ก็ได้ยินเสียงคนข้างในโรงแรมเดินมาทีประตูแล้วก็เปิดให้เราเข้าไป แต่แม่เจ้า ชายวัยกลางคน นางบอกนางเป็นแขกของโรงแรมเหมือนกัน พนักงานไม่อยู่ออกไปข้างนอก นางนอนหลับอยู่แล้วได้ยินเสียงเรา เลยออกมาเปิดประตูให้ แล้วนางก็ใช้โทรศัพท์ของโรงแรมโทรบอกพนักงานว่า มีแขกเพิ่งมาถึง ที่นี้รู้สึกโล่งอกแล้ว พอบอกขอบใจฝอคนนี้ ก่อนที่นางจะขอตัวกลับไปนอนต่อ เพราะนางบอกว่าตอนเช้านางจะนั่งรถไฟไปเมืองคาซาบังก้า กล่าวราตรีสวัสดิ์เสร็จสรรพ
เหลือแต่เราแล้วสิ นั่งรอพนักงานต่อไป ซึ่งระหว่างรอก็มองหน้าต่าง เพดาน ประตู โคมไฟ สถาปัตยกรรมของตัวอาคาร รีแอด ที่มีสองชั้นล้อมรอบ มีพื้นที่ตรงกลางเป็นห้องนั่งเล่น และห้องทานข้าว ซึ่งประตูแต่ละห้องเปิดออกมา ก็จะเห็นพื้นที่ตรงกลางนี้ ความรู้สึก เหมือนย้อนประวัติศาสต์กลับไปอยู่ในฮาเร็มประมาณนั้น ซึ่งมุสลิมมีเมียได้มากกว่า1 ก็คงให้พวกนางอยู่คนละห้องไป
นั่งรอประมาณ 15นาที ซักพักก็ได้ยินเสียงประตูด้านหน้าเปิด แน่นอนแหละที่นี้ พนักงานของโรงแรมแน่ๆ ใช่จริงๆค่ะ เราก็เอาใบคอนเฟริมจากเวป ให้เขาดูว่าฉันจองผ่านเวปนี้นะ จ่ายค่าที่พักไปแล้วก่อนมา นางดูแล้วก็ยื่นใบอะไรซักอย่างคล้ายๆกับใบ ต.ม กรอก ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลยที่ ต.ม สแตมป์ ให้เราที่สนามบิน คงเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวมั้ง
หลังจากที่กรอกข้อมูลเสร็จ ก็ยื่นให้นาง ที่นี่แหละกูจะได้เป็นเจ้าหญิงอาหรับแล้ว แม่เจ้าฝันต้องมาล่มสลายอีกครั้ง ห้องพักไฟไม่ติดคะ
ไฟมันเสีย จะย้ายห้องก็ไม่มีว่าง เพราะมีแค่4ห้องเท่านั้น ที่นี่ก็ต้องอยู่ในความมืดหนึ่งคืนเต็มๆ พนักงานก็ไปเอาเทียนมาจุดให้ ยังดีหน่อย แต่มันก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ซึ่งอาหารเช้าของที่โรงแรม พนักงานที่เป็ผู้จัดการของที่นี่ มีหน้าที่ทำทุกอย่างคะ ตั้งแต่จัดห้อง เช็คอิน เช็คเอ้าท์ ยันจัดอาหารเช้าให้แขกที่พักทาน ส่วนอาหารเช้านั้นก็รวมอยู่ในแพ็คเกจค่ะ เป็นเมนูง่ายๆ ขนมปังชุบไข่ทอด โยเกริต เครป กาแฟ น้ำส้มคั้นสด ซึ่งเราไม่สามารถเลือกได้ ตามแต่ที่พนักงานโรงแรมจะทำมาให้ หลังจากนั้นพนักงานก็พาเราเปลี่ยนห้องพัก ขึ้นไปชั้นบน ณ โมเม้นท์นั้น คือดีใจสุดๆที่จะมีไฟใช้
พอขนข้าวของขึ้นห้องใหม่เสร็จ ก็ถึงเวลาที่จะตะลุยเมือง มาราเกซ
ย่าน Jemaa El Fna เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองมาราเกซ จตุรัสขนาดใหญ่ที่มีของขายมากมายราคาถูก หลังจากแลกเงินดีแรม โมรอคโค ก็เลยถึงเวลาดื่มเบียร์คล้ายร้อน เบียร์ขึ้นชื่อของที่นี่คือ เบียร์ยี่ห้อ Casablanca ตามชื่อเมืองที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญของโมรอคโค และภาพยนต์ที่โด่งดัง หนังฝรั่งเก่าในปี 1942
อย่าง Casablanca ซึ่งเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงถ้าเทียบกับมาราเกซ
นอกเรื่องไปนิดค่ะ เข้าเรื่องต่อ สำหรับเบียร์ยี่ห้อนี้ มีแอลกอฮอล 5% รสชาติ กล่อมกล่อมไม่ต่างกับเบียร์ยุโรปเลยทีเดียวค่ะ
หลังจากดื่ม พอหายชื่นใจ เราก็ออกเดินกันต่อไปในSouk Semarine ซึ่งคำว่า Souk ก็หมายถึงตลาดนั้นเองค่ะ ที่มีของขายมากมาย แฮนด์เมดทำมือ เครื่องกระเบื้องดินเผา หัตถกรรมงานฝีมือ รวมทั้งเสื้อผ้าและของน่าทาน ถ้านึกภาพยังไม่ออก ก็คลายๆกับตลาดประตูน้ำรวมกับจตุจักรบ้านเรานั้นแหละค่ะ แต่แชมไม่ค่อยชอบตรงที่มีพวกชอบมาตื้อ จ้องจะปล้นนักท่องเที่ยว แนะนำเดินเลี่ยงดีที่สุด ใครชวนคุยอย่าได้หยุดคุย เพียงค่ะยิ้มให้ แล้วพูดภาษาฝรั่งเศสใส่ เพราะคนที่นี่เขาใช้2ภาษา คือฝรั่งเศส และอาราบิค
แต่ก็ไม่ได้แย่เลยทีเดียวนะค่ะ พ่อค้าใจดีก็มี แชมแวะซื้อต่างหู คุณลุงแกก็ลดราคาให้แชมด้วย วิถีชีวิตของคนที่นี่ค่อนข้างยากจนค่ะ รายได้ขั้นต่ำเขาตกเฉลี่ยวันละไม่เกิน300บาท
ดังนั้นอะไรก็ได้เพื่อความอยู่รอด นักท่องเที่ยวจึงเป็นทาร์เกตหลักในการหารายได้ของพวกพ่อค้าฮาร์ดคอร์
พอหลังจากช็อปเสร็จได้ชุด คาฟตานสวยๆมา ทีนี้ก็กลับรีแอดไปเปลี่ยนชุดเป็นสาวอาหรับ ก่อนออกตะลุยเมืองต่อ