.
“คุณพักผ่อนก่อนสักสองสามวัน”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงพยายามทำให้ฟังดูเป็นปกติไม่ให้มีร่องรอยของความวิตกกังวล เพราะยังหาเหตุผลดีกว่านี้ไม่ได้ เป็นใครก็คงไม่กล้าบอกว่า “คุณตายไปแล้ว ทำงานไม่ได้” ขืนบอกเหตุผลตามจริงไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความจริงผมไม่สนใจกับเหตุผลต่างๆ ด้วยซ้ำว่า ทำไมและเพราะอะไร เพียงต้องการเธออยู่กับผมก็เพียงพอแล้ว เท่านั้นจริงๆ ต่อให้เธอตะกายออกมาจากหลุมฝังศพผมก็ไม่สนใจ
“ขาดงานหลายวันแล้ว เป็นห่วงงานค่ะ” จอยตอกย้ำสิ่งที่ผมหวาดหวั่นในการหาคำอธิบายอีกแล้ว รู้ว่าด้วยนิสัยส่วนตัวของเธอพร้อมจะกระโจนออกจากห้องไปทำงานอย่างแน่นอน ผมยังกุมมือเธออยู่ แต่ความรู้สึกสับสนลั่นสนั่นในหัว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับชีวิตของเรา จำได้ว่าเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับคนโรคจิตผู้นึกฝันไปและยอมรับกับการมีตัวตนของภาพหลอนเป็นเรื่องจริง ไม่มีทางเป็นไปได้......ผมรู้สึกตัวเย็นเฉียบ ความน่ากลัวเยียบเย็นค่อยคืบคลานขึ้นมาตามแผ่นหลังจนทำให้ขนลุกเกรียว หรือผมจะมีอาการทางประสาทรุนแรงอย่างในหนังเรื่องนั้น แต่ความรู้สึกบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ มีอย่างที่ไหนภาพหลอนเป็นตัวเป็นตนขนาดจับต้องได้ และความสงสัยนี้รบกวนจิตใจมากขึ้นทุกทีเหมือนน้ำประปาถูกบีบเข้าไปในถังปิดสนิทอัดแน่นเจียนระเบิดออก
“ไปนั่งรถเล่นกันไหม” ผมเอ่ยชวนเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญออกไปก่อนเพื่อตั้งหลัก และคิดหาทางทดสอบว่า “เธอ” เป็นเพียงภาพหลอนในใจ หรือมีตัวตนจริงๆ กันแน่ ถ้าให้คนอื่นมีส่วนตัดสินคิดว่าเรื่องราวและการพยายามค้นหาเหตุผลครั้งนี้จะไม่เวิ้งว้างว่างเปล่าแน่นอน ผมต้องการพิสูจน์กับตัวเองก่อนว่าไม่ได้จินตนาการไปเอง แค่ต้องการพิสูจน์ถึงความมีตัวตนของเธอเท่านั้น แม้ว่าจิตใจสับสนและหวาดกลัวผลลัพธ์เหลือเกิน
นั่งรถ..... พอพูดเรื่องนี้ทำให้ใจหายวาบ รถไม่ใช่หรือที่เป็นสาเหตุของการพลัดพรากจากกัน แล้วทำไมผมต้องพยายามชักจูงความคิดให้เฉียดชิดใกล้กับต้นเหตุแห่งการพลัดพรากลาจากด้วยนะ ตอนนี้เธอจำไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็เชื่อมโยงกับเหตุการณ์นั้นไม่ได้ ผมกลั้นลมหายใจขณะจ้องมองดูสีหน้าของจอยอย่างเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นใจ ถ้าเธอจำเหตุการณ์นั้นได้ เธอจะหายวับไปกับตา เมื่อตระหนักถึงที่มาของความไร้ตัวตนหรือเธอเป็นเพียงความทรงจำที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากความคิดและจินตนาการเท่านั้น
“รถฉันหายไปไหนคะ” เธอถามจากทั้งคำพูดและสีหน้า ผมจะตอบได้อย่างไรว่ารถประจำตัวของเธอพุ่งลงไปในหุบเหวแหลกสลายกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้วไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม กลัวว่าคำตอบนั้นจะชักนำ และสื่อไปถึงความสูญเสียอันน่ากลัวอีกครั้ง อะไรจะเกิดขึ้นกับคนที่จดจำถึงความตายของตัวเองได้ ความทรงจำจะย้อนกลับไปฆ่าเจ้าของความจำไปด้วยหรือเปล่า
“ไปเดินเล่นกันดีกว่า” ผมเปลี่ยนแผนการกลางอากาศและเลี่ยงจะตอบคำถามอันตราย ดึงแขนเธอพากันเดินออกจากประตูรั้วบ้านผ่านแสงแดดยามเช้าและสายลมเย็นไปตามถนนในหมู่บ้าน ต้นสนข้างทางสลัดใบแห้งตายร่วงพร่างพรูสวนกับนกสองสามตัวบินตัดผ่านเปลวแดดม่านสนราวบอกถึงสัญลักษณ์อะไรบ้างอย่างซึ่งยากต่อการเข้าใจ ผ่านทางโค้งหักศอกสู่ถนนหลักของหมู่บ้าน ชายชราคุ้นหน้าคุ้นตาผู้ทำหน้าที่เก็บกวาดขยะแลกกับเงินเดือน และกับชีวิตเหลือน้อยกว่าครึ่งค่อน โผล่มาจากพุ่มไม้อย่างบังเอิญมากกว่าจงใจ
“ผี....!“
แกอุทานเสียงหลงจ้องมองคนข้างกายของผมอย่างตื่นตะลึงตัวแข็งทื่อเหมือนไม่เชื่อสายตา และอึดใจต่อมาก็แผดร้องสุดเสียงแล้วหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งอุปกรณ์ในการทำมาหากินไว้อย่างไม่แยแสเหมือนคนถูกผีหลอกกลางวัน ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว.... เธอไม่ใช่ภาพหรือสิ่งที่เกิดจากจินตนาการของผม ในเมื่อคนอื่นสามารถมองเห็นและรับรู้ถึงความมีตัวตนของเธอแบบนี้ มันทำให้อุ่นใจได้ว่าผมไม่ได้ประสาทฟั่นเฟือนวิปริตผิดเพี้ยนไปเอง
จอยหันมามองด้วยสายตาแสดงความไม่เข้าใจ ผมแสร้งส่ายหน้าทำท่าบอกว่าไม่มีอะไร อย่าไปสนใจ เราคุยกันด้วยสายตาในหลายครั้งเพราะรู้สึกว่าเข้าใจกันได้มากกว่าคำพูดเสียอีก ผมต้องการอะไรมายืนยันให้แน่ใจกว่านี้ จึงดึงแขนเธอเดินกลับมายังบ้านอย่างรีบร้อน
“คุณเป็นอะไรไปคะ” เธอถามอย่างสงสัยหลังจากเดินตามมาได้ครู่หนึ่งก็ขืนตัวไว้ พระเจ้าเป็นพยานด้วยเถิด... สายตาของเธอจ้องมองผมในขณะกำลังพยายามแกะมือผมออก เป็นสายตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นสงสัยจนน่ากลัวบางชนิด และเหมือนสายตาคนธรรมดามองคนวิกลจริตไม่มีผิด
“เราต้องพิสูจน์อะไรบางอย่าง ผมไม่มีเวลาอธิบาย”
ผมจะอธิบายได้อย่างไรว่าจะพาเธอไปที่ทำงานของผม ให้เพื่อนร่วมงานซึ่งผมไว้ใจได้เห็นว่าจอยมีตัวตน และยืนยันในความมีตัวตนได้ และด้วยการขัดขืนดึงรั้งภายนอกคงไม่ต่างจากการก่ออาชญากรรมชนิดหนึ่งกับคนผู้ไม่เข้าใจสถานการณ์ การไม่อธิบายอะไรขณะกึ่งลากกึ่งจูงทำให้ผมดูเหมือนคนประสาทเสียมากขึ้นและต้องเป็นเป้าสายตาผู้คนมากขึ้นทุกที
ภาพรอบข้างวุ่นวายสับสนในทันควัน ผู้คนรุมล้อมเข้ามาทุกสารทิศอย่างไม่น่าเชื่อ ใครว่าสังคมทุกวันนี้ตัว กำปั้นของใครต่อใครซึ่งปลิวมาจากทุกสารทิศ เสียงก่นด่าปะทุเต็มรูหูผสมผสานกับการเตะถีบศอกเข่าของพลเมืองดีผู้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย
“สงสัยเป็นพวกโรคจิต รังแกผู้หญิง”
“จัดการมันเลย ส่งมันให้ตำรวจ”
และสารพัดคำด่าว่ากล่าวแต่เสียดายว่าผมชิงตัดช่องน้อยแต่พอตัวด้วยการสลบไปก่อนจะฟังคำด่าทอจนหมดสิ้นกระบวนความ และนั่นเป็นบทพิพากษาบทหนึ่งของคนธรรมดาที่พบพานเรื่องราวไม่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ก่อนความรู้สึกจะดับวูบลง ผมยังเผลอยิ้มให้กับตนเองอย่างยินดีเมื่อพบว่า เธอมีตัวตนจริง ๆ ไม่ใช่ภาพอันเกิดจากจินตนาการหรือคิดไปเอง มีคนมากมายเห็นเธอต่อหน้าต่อตา
“ไอ้หมอนี่โดนกระทืบยังยิ้มอีก”
“ท่าทางเหมือนคนบ้า ส่งมันไปโรงพยาบาลบ้าเลย”
เพดานสีขาวหม่นมัวดูเหมือนหมุนคว้างรางเลือนก่อนจะสว่างกระจ่างชัดขึ้น เพดานดูไม่คุ้นเคยและกลิ่นสารเคมีบางอย่างเจือจางบางเบาในอากาศ ทำให้รู้สึกว่าตนเองมาอยู่ในสถานที่ผิดแผกแตกต่างจากปกติ พยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ร่างกายยังไม่ยอมตอบรับ ความรู้สึกปวดหนึบแผ่ซ่านคืบคลานอยู่ถ้วนทั่วตั้งแต่หัวจดเท้า ใช่แล้ว ...ผมเริ่มจำได้ถึงสหบาทา และรุมกระหน่ำซ้ำเติมจนต้องมานอนปางตายลืมวันลืมคืน
เธอหายไปไหน เธอควรจะอยู่ข้างกายผมไม่ใช่หรือ เหมือนที่ผมเคยอยู่ข้างกายเธอเวลาเธอเจ็บป่วย ท้อแท้หรือเสียใจ วินาทีนั้น พลันรู้สึกใจหายวาบอย่างไม่มีเหตุผล
พยายามข่มใจระงับความรู้สึกพลุ่งพล่านนานาชนิดที่กำลังประดังถาโถมเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ ผมพยายามแยกแยะพวกมันออกทีละข้ออย่างลำบากยากเย็นด้วยเหตุผลอันไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก ข้อแรกยังหาคำตอบไม่ได้คือจอยกลับมาจากความตายได้อย่างไร ข้อที่สองถ้าเธอเป็นเพียงจินตนาการ ทำไมคนอื่นจึงสามารถมองเห็น หรือว่าความรักความคิดถึงของผม “รุนแรง” มากเกินไปจนสามารถสร้างเธอขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์จากความคิดความทรงจำของผมเอง และเวลานี้ข้างนอกจะไม่วุ่นวายไปหมดแล้วหรืออย่างไร เมื่อผู้คนพบว่าคนตายไปแล้วกลับมาอยู่ในสังคมโลกมนุษย์ได้อีก
เป็นไปได้ไหมว่าความจริงจอยยังมีชีวิตอยู่ อุบัติเหตุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในช่วงหลายวันก่อนเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น ความจริงเธอยังไม่ตายและกลับมาหาผมตามปกติ หรือว่าเป็นเพียงฝันร้าย แต่ถ้าเป็นฝันร้ายทำไมมันชัดเจนเหลือเกิน และตอนไหนกันแน่เป็นช่วงเวลาที่ตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วความคิดของผมก็วนเวียนเหมือนพายเรืออยู่ในอ่างจนรู้สึกว่าใกล้บ้าเข้าไปแล้วเต็มที
แล้วก่อนจะบ้าไปจริงๆประตูห้องก็เปิดออก
จอยเดินนำหน้าหมอผู้ชายวัยกลางคนเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวลขณะสีหน้าท่าทางคุณหมอดูกลับราบเรียบเหมือนซ่อนเร้นอะไรบางอย่างภายใต้ความสงบอันน่าสงสัย ผมพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ทำได้เพียงยกศีรษะพ้นจากหมอนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“คุณอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวให้มากนัก เราเพิ่งฉีดยาบางอย่างให้คุณ” หมอบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะจอยนั่งลงข้างเตียงดึงมือผมไปเกาะกุมถ่ายทอดความห่วงไยและอบอุ่น
“เจ็บมากไหมคะ” เสียงหวานใสทำให้ผมเกิดพลังใจขึ้นมาทันที เธอจะเป็นอะไรก็ตาม แต่จอยก็ยังเป็นจอยเสมอ และไม่มีทางเป็นอย่างอื่นหรือคนอื่นได้อย่างเด็ดขาด เธอเป็นสิ่งประคับประคองชีวิตจิตใจของผมไว้เสมอตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
“ภรรยาคุณเฝ้าคุณอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา” หมอกล่าวต่อไปโดยไม่พยายามมองมาทางพวกเรา
“แต่ผมเพิ่งเชิญเธอไปคุยอะไรบางอย่างเมื่อครึ่งชั่วโมงมานี่เอง”
“คุยกัน....” ผมพึมพำเบา ๆ อย่างไม่ตั้งใจ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันดีที่สุดแล้วว่าเธอมีตัวตนจริง คนข้างนอกมองเห็น คุณหมอเองก็ยังมองเห็นและพูดคุยกับเธอได้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว
“ใช่..คุยกันเกี่ยวกับเรื่องคุณ” หมอตอบแม้ว่าจะฟังดูไม่ได้ตั้งใจถาม ความจริงจอยต่างหากควรแก่การสงสัย แต่คุณหมอกลับดูปกติเหลือเกินกับการปรากฏตัวของผู้กลับมาจากความตาย
ผมมองหน้าจอยพลางบอกเบา ๆ ว่า
“เรากลับบ้านกันเถอะ”
นัยน์ตาเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลจ้องเนิ่นนาน และดูเหมือนจะมีน้ำตาคลอ
“คุณต้องอยู่ที่นี่สักพักนะคะ “
“ไม่นะ ผมอยากกลับบ้าน ....พาผมกลับบ้านที”
จอยส่ายหน้ากัดฟันก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก นั่นก็เป็นนิสัยอย่างหนึ่งในยามมีความขับข้องหมองใจหรือไม่สามารถตัดสินอะไรได้
“ทำไม มีอะไรเกิดขึ้น” ผมถามเสียงแผ่วโหย รู้สึกถึงลางร้ายกางปีกม่านแห่งความมืดดำแผ่ซ่านขยายม่านแห่งความเยือกเย็นลงมาทุกทิศทาง
“ผมว่าเรามีเรื่องส่วนตัวคุยกันเพียงลำพังสักครู่" หมอขัดจังหวะขึ้น พลางหันไปทางจอยเหมือนมีเรื่องซึ่งตกลงกันไว้แล้วบางอย่าง เธอน้ำตาคลอขณะมองหน้าผมแล้วค่อยดึงมือกลับออกไป วูบนั้นผมรู้สึกเหมือนเป็นเส้นด้ายเปื่อยยุ่ยเส้นหนึ่งกำลังถูกอะไรบางอย่างดึงให้ขาดจากกันอย่างเลือดเย็นและสิ้นหวัง
“แล้วจอยจะกลับมานะคะ” เธอบอกขณะก้มลงจูบแก้มผมก่อนถอยห่างและออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน
ผมกับหมอพากันนิ่งและเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายอดทนไม่ได้เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“เธอมีตัวตนจริง ๆ ใช่ไหม” เป็นคำถามฟังดูแล้วบ้าสิ้นดี คนดีที่ไหนถามกันแบบนี้
“มีจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัยเลย” หมอตอบซึ่งฟังแล้วก็ไม่ต่างจากคนบ้าเช่นกัน คนสติดีไหนจะบอกว่าคนตายไปแล้วมีตัวตนกลับมาได้ ผมรู้สึกอยากหัวเราะออกมาแม้กำลังรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นบ้า
“ผมมีตัวตนจริงๆใช่ไหม” คำถามนี้ยิ่งดูบ้าหนักเข้าไปอีก
“คุณก็มีตัวตนจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย” คุณหมอยืนยันหนักแน่น ดูเหมือนเขาพยายามยิ้มฝืนๆ กลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่าง
“คุณหมอคงมีตัวตนด้วยนะ”
หมอสะดุ้งเฮือก หัวเราะเสียงเฝื่อน หลบสายตาไปมองพื้นก่อนตอบว่า
“บางทีผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าแต่คุณสบายดีไหม”
“ผมจะสบายดีกว่านี้ถ้าคุณไม่ฉีดยาบ้า ๆ อะไรบางอย่างให้ผม จนผมลุกจากเตียงไม่ได้ คุณต้องการทำอะไรกันแน่คุณหมอ”
คราวนี้หมอไม่ยอมตอบ เดินไปตรงหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกเหมือนพยายามหลบหลีกการตอบคำถามนั้น บางทีคำตอบอาจน่ากลัวเกินกว่าจะตอบออกมาก็เป็นไปได้
.
ขอเพียง รัก แม้จะหลอน 2
“คุณพักผ่อนก่อนสักสองสามวัน”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงพยายามทำให้ฟังดูเป็นปกติไม่ให้มีร่องรอยของความวิตกกังวล เพราะยังหาเหตุผลดีกว่านี้ไม่ได้ เป็นใครก็คงไม่กล้าบอกว่า “คุณตายไปแล้ว ทำงานไม่ได้” ขืนบอกเหตุผลตามจริงไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความจริงผมไม่สนใจกับเหตุผลต่างๆ ด้วยซ้ำว่า ทำไมและเพราะอะไร เพียงต้องการเธออยู่กับผมก็เพียงพอแล้ว เท่านั้นจริงๆ ต่อให้เธอตะกายออกมาจากหลุมฝังศพผมก็ไม่สนใจ
“ขาดงานหลายวันแล้ว เป็นห่วงงานค่ะ” จอยตอกย้ำสิ่งที่ผมหวาดหวั่นในการหาคำอธิบายอีกแล้ว รู้ว่าด้วยนิสัยส่วนตัวของเธอพร้อมจะกระโจนออกจากห้องไปทำงานอย่างแน่นอน ผมยังกุมมือเธออยู่ แต่ความรู้สึกสับสนลั่นสนั่นในหัว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับชีวิตของเรา จำได้ว่าเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับคนโรคจิตผู้นึกฝันไปและยอมรับกับการมีตัวตนของภาพหลอนเป็นเรื่องจริง ไม่มีทางเป็นไปได้......ผมรู้สึกตัวเย็นเฉียบ ความน่ากลัวเยียบเย็นค่อยคืบคลานขึ้นมาตามแผ่นหลังจนทำให้ขนลุกเกรียว หรือผมจะมีอาการทางประสาทรุนแรงอย่างในหนังเรื่องนั้น แต่ความรู้สึกบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ มีอย่างที่ไหนภาพหลอนเป็นตัวเป็นตนขนาดจับต้องได้ และความสงสัยนี้รบกวนจิตใจมากขึ้นทุกทีเหมือนน้ำประปาถูกบีบเข้าไปในถังปิดสนิทอัดแน่นเจียนระเบิดออก
“ไปนั่งรถเล่นกันไหม” ผมเอ่ยชวนเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญออกไปก่อนเพื่อตั้งหลัก และคิดหาทางทดสอบว่า “เธอ” เป็นเพียงภาพหลอนในใจ หรือมีตัวตนจริงๆ กันแน่ ถ้าให้คนอื่นมีส่วนตัดสินคิดว่าเรื่องราวและการพยายามค้นหาเหตุผลครั้งนี้จะไม่เวิ้งว้างว่างเปล่าแน่นอน ผมต้องการพิสูจน์กับตัวเองก่อนว่าไม่ได้จินตนาการไปเอง แค่ต้องการพิสูจน์ถึงความมีตัวตนของเธอเท่านั้น แม้ว่าจิตใจสับสนและหวาดกลัวผลลัพธ์เหลือเกิน
นั่งรถ..... พอพูดเรื่องนี้ทำให้ใจหายวาบ รถไม่ใช่หรือที่เป็นสาเหตุของการพลัดพรากจากกัน แล้วทำไมผมต้องพยายามชักจูงความคิดให้เฉียดชิดใกล้กับต้นเหตุแห่งการพลัดพรากลาจากด้วยนะ ตอนนี้เธอจำไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็เชื่อมโยงกับเหตุการณ์นั้นไม่ได้ ผมกลั้นลมหายใจขณะจ้องมองดูสีหน้าของจอยอย่างเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นใจ ถ้าเธอจำเหตุการณ์นั้นได้ เธอจะหายวับไปกับตา เมื่อตระหนักถึงที่มาของความไร้ตัวตนหรือเธอเป็นเพียงความทรงจำที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากความคิดและจินตนาการเท่านั้น
“รถฉันหายไปไหนคะ” เธอถามจากทั้งคำพูดและสีหน้า ผมจะตอบได้อย่างไรว่ารถประจำตัวของเธอพุ่งลงไปในหุบเหวแหลกสลายกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้วไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม กลัวว่าคำตอบนั้นจะชักนำ และสื่อไปถึงความสูญเสียอันน่ากลัวอีกครั้ง อะไรจะเกิดขึ้นกับคนที่จดจำถึงความตายของตัวเองได้ ความทรงจำจะย้อนกลับไปฆ่าเจ้าของความจำไปด้วยหรือเปล่า
“ไปเดินเล่นกันดีกว่า” ผมเปลี่ยนแผนการกลางอากาศและเลี่ยงจะตอบคำถามอันตราย ดึงแขนเธอพากันเดินออกจากประตูรั้วบ้านผ่านแสงแดดยามเช้าและสายลมเย็นไปตามถนนในหมู่บ้าน ต้นสนข้างทางสลัดใบแห้งตายร่วงพร่างพรูสวนกับนกสองสามตัวบินตัดผ่านเปลวแดดม่านสนราวบอกถึงสัญลักษณ์อะไรบ้างอย่างซึ่งยากต่อการเข้าใจ ผ่านทางโค้งหักศอกสู่ถนนหลักของหมู่บ้าน ชายชราคุ้นหน้าคุ้นตาผู้ทำหน้าที่เก็บกวาดขยะแลกกับเงินเดือน และกับชีวิตเหลือน้อยกว่าครึ่งค่อน โผล่มาจากพุ่มไม้อย่างบังเอิญมากกว่าจงใจ
“ผี....!“
แกอุทานเสียงหลงจ้องมองคนข้างกายของผมอย่างตื่นตะลึงตัวแข็งทื่อเหมือนไม่เชื่อสายตา และอึดใจต่อมาก็แผดร้องสุดเสียงแล้วหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งอุปกรณ์ในการทำมาหากินไว้อย่างไม่แยแสเหมือนคนถูกผีหลอกกลางวัน ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว.... เธอไม่ใช่ภาพหรือสิ่งที่เกิดจากจินตนาการของผม ในเมื่อคนอื่นสามารถมองเห็นและรับรู้ถึงความมีตัวตนของเธอแบบนี้ มันทำให้อุ่นใจได้ว่าผมไม่ได้ประสาทฟั่นเฟือนวิปริตผิดเพี้ยนไปเอง
จอยหันมามองด้วยสายตาแสดงความไม่เข้าใจ ผมแสร้งส่ายหน้าทำท่าบอกว่าไม่มีอะไร อย่าไปสนใจ เราคุยกันด้วยสายตาในหลายครั้งเพราะรู้สึกว่าเข้าใจกันได้มากกว่าคำพูดเสียอีก ผมต้องการอะไรมายืนยันให้แน่ใจกว่านี้ จึงดึงแขนเธอเดินกลับมายังบ้านอย่างรีบร้อน
“คุณเป็นอะไรไปคะ” เธอถามอย่างสงสัยหลังจากเดินตามมาได้ครู่หนึ่งก็ขืนตัวไว้ พระเจ้าเป็นพยานด้วยเถิด... สายตาของเธอจ้องมองผมในขณะกำลังพยายามแกะมือผมออก เป็นสายตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นสงสัยจนน่ากลัวบางชนิด และเหมือนสายตาคนธรรมดามองคนวิกลจริตไม่มีผิด
“เราต้องพิสูจน์อะไรบางอย่าง ผมไม่มีเวลาอธิบาย”
ผมจะอธิบายได้อย่างไรว่าจะพาเธอไปที่ทำงานของผม ให้เพื่อนร่วมงานซึ่งผมไว้ใจได้เห็นว่าจอยมีตัวตน และยืนยันในความมีตัวตนได้ และด้วยการขัดขืนดึงรั้งภายนอกคงไม่ต่างจากการก่ออาชญากรรมชนิดหนึ่งกับคนผู้ไม่เข้าใจสถานการณ์ การไม่อธิบายอะไรขณะกึ่งลากกึ่งจูงทำให้ผมดูเหมือนคนประสาทเสียมากขึ้นและต้องเป็นเป้าสายตาผู้คนมากขึ้นทุกที
ภาพรอบข้างวุ่นวายสับสนในทันควัน ผู้คนรุมล้อมเข้ามาทุกสารทิศอย่างไม่น่าเชื่อ ใครว่าสังคมทุกวันนี้ตัว กำปั้นของใครต่อใครซึ่งปลิวมาจากทุกสารทิศ เสียงก่นด่าปะทุเต็มรูหูผสมผสานกับการเตะถีบศอกเข่าของพลเมืองดีผู้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย
“สงสัยเป็นพวกโรคจิต รังแกผู้หญิง”
“จัดการมันเลย ส่งมันให้ตำรวจ”
และสารพัดคำด่าว่ากล่าวแต่เสียดายว่าผมชิงตัดช่องน้อยแต่พอตัวด้วยการสลบไปก่อนจะฟังคำด่าทอจนหมดสิ้นกระบวนความ และนั่นเป็นบทพิพากษาบทหนึ่งของคนธรรมดาที่พบพานเรื่องราวไม่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ก่อนความรู้สึกจะดับวูบลง ผมยังเผลอยิ้มให้กับตนเองอย่างยินดีเมื่อพบว่า เธอมีตัวตนจริง ๆ ไม่ใช่ภาพอันเกิดจากจินตนาการหรือคิดไปเอง มีคนมากมายเห็นเธอต่อหน้าต่อตา
“ไอ้หมอนี่โดนกระทืบยังยิ้มอีก”
“ท่าทางเหมือนคนบ้า ส่งมันไปโรงพยาบาลบ้าเลย”
เพดานสีขาวหม่นมัวดูเหมือนหมุนคว้างรางเลือนก่อนจะสว่างกระจ่างชัดขึ้น เพดานดูไม่คุ้นเคยและกลิ่นสารเคมีบางอย่างเจือจางบางเบาในอากาศ ทำให้รู้สึกว่าตนเองมาอยู่ในสถานที่ผิดแผกแตกต่างจากปกติ พยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ร่างกายยังไม่ยอมตอบรับ ความรู้สึกปวดหนึบแผ่ซ่านคืบคลานอยู่ถ้วนทั่วตั้งแต่หัวจดเท้า ใช่แล้ว ...ผมเริ่มจำได้ถึงสหบาทา และรุมกระหน่ำซ้ำเติมจนต้องมานอนปางตายลืมวันลืมคืน
เธอหายไปไหน เธอควรจะอยู่ข้างกายผมไม่ใช่หรือ เหมือนที่ผมเคยอยู่ข้างกายเธอเวลาเธอเจ็บป่วย ท้อแท้หรือเสียใจ วินาทีนั้น พลันรู้สึกใจหายวาบอย่างไม่มีเหตุผล
พยายามข่มใจระงับความรู้สึกพลุ่งพล่านนานาชนิดที่กำลังประดังถาโถมเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ ผมพยายามแยกแยะพวกมันออกทีละข้ออย่างลำบากยากเย็นด้วยเหตุผลอันไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก ข้อแรกยังหาคำตอบไม่ได้คือจอยกลับมาจากความตายได้อย่างไร ข้อที่สองถ้าเธอเป็นเพียงจินตนาการ ทำไมคนอื่นจึงสามารถมองเห็น หรือว่าความรักความคิดถึงของผม “รุนแรง” มากเกินไปจนสามารถสร้างเธอขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์จากความคิดความทรงจำของผมเอง และเวลานี้ข้างนอกจะไม่วุ่นวายไปหมดแล้วหรืออย่างไร เมื่อผู้คนพบว่าคนตายไปแล้วกลับมาอยู่ในสังคมโลกมนุษย์ได้อีก
เป็นไปได้ไหมว่าความจริงจอยยังมีชีวิตอยู่ อุบัติเหตุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในช่วงหลายวันก่อนเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น ความจริงเธอยังไม่ตายและกลับมาหาผมตามปกติ หรือว่าเป็นเพียงฝันร้าย แต่ถ้าเป็นฝันร้ายทำไมมันชัดเจนเหลือเกิน และตอนไหนกันแน่เป็นช่วงเวลาที่ตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วความคิดของผมก็วนเวียนเหมือนพายเรืออยู่ในอ่างจนรู้สึกว่าใกล้บ้าเข้าไปแล้วเต็มที
แล้วก่อนจะบ้าไปจริงๆประตูห้องก็เปิดออก
จอยเดินนำหน้าหมอผู้ชายวัยกลางคนเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวลขณะสีหน้าท่าทางคุณหมอดูกลับราบเรียบเหมือนซ่อนเร้นอะไรบางอย่างภายใต้ความสงบอันน่าสงสัย ผมพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ทำได้เพียงยกศีรษะพ้นจากหมอนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“คุณอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวให้มากนัก เราเพิ่งฉีดยาบางอย่างให้คุณ” หมอบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะจอยนั่งลงข้างเตียงดึงมือผมไปเกาะกุมถ่ายทอดความห่วงไยและอบอุ่น
“เจ็บมากไหมคะ” เสียงหวานใสทำให้ผมเกิดพลังใจขึ้นมาทันที เธอจะเป็นอะไรก็ตาม แต่จอยก็ยังเป็นจอยเสมอ และไม่มีทางเป็นอย่างอื่นหรือคนอื่นได้อย่างเด็ดขาด เธอเป็นสิ่งประคับประคองชีวิตจิตใจของผมไว้เสมอตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
“ภรรยาคุณเฝ้าคุณอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา” หมอกล่าวต่อไปโดยไม่พยายามมองมาทางพวกเรา
“แต่ผมเพิ่งเชิญเธอไปคุยอะไรบางอย่างเมื่อครึ่งชั่วโมงมานี่เอง”
“คุยกัน....” ผมพึมพำเบา ๆ อย่างไม่ตั้งใจ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันดีที่สุดแล้วว่าเธอมีตัวตนจริง คนข้างนอกมองเห็น คุณหมอเองก็ยังมองเห็นและพูดคุยกับเธอได้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว
“ใช่..คุยกันเกี่ยวกับเรื่องคุณ” หมอตอบแม้ว่าจะฟังดูไม่ได้ตั้งใจถาม ความจริงจอยต่างหากควรแก่การสงสัย แต่คุณหมอกลับดูปกติเหลือเกินกับการปรากฏตัวของผู้กลับมาจากความตาย
ผมมองหน้าจอยพลางบอกเบา ๆ ว่า
“เรากลับบ้านกันเถอะ”
นัยน์ตาเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลจ้องเนิ่นนาน และดูเหมือนจะมีน้ำตาคลอ
“คุณต้องอยู่ที่นี่สักพักนะคะ “
“ไม่นะ ผมอยากกลับบ้าน ....พาผมกลับบ้านที”
จอยส่ายหน้ากัดฟันก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก นั่นก็เป็นนิสัยอย่างหนึ่งในยามมีความขับข้องหมองใจหรือไม่สามารถตัดสินอะไรได้
“ทำไม มีอะไรเกิดขึ้น” ผมถามเสียงแผ่วโหย รู้สึกถึงลางร้ายกางปีกม่านแห่งความมืดดำแผ่ซ่านขยายม่านแห่งความเยือกเย็นลงมาทุกทิศทาง
“ผมว่าเรามีเรื่องส่วนตัวคุยกันเพียงลำพังสักครู่" หมอขัดจังหวะขึ้น พลางหันไปทางจอยเหมือนมีเรื่องซึ่งตกลงกันไว้แล้วบางอย่าง เธอน้ำตาคลอขณะมองหน้าผมแล้วค่อยดึงมือกลับออกไป วูบนั้นผมรู้สึกเหมือนเป็นเส้นด้ายเปื่อยยุ่ยเส้นหนึ่งกำลังถูกอะไรบางอย่างดึงให้ขาดจากกันอย่างเลือดเย็นและสิ้นหวัง
“แล้วจอยจะกลับมานะคะ” เธอบอกขณะก้มลงจูบแก้มผมก่อนถอยห่างและออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน
ผมกับหมอพากันนิ่งและเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายอดทนไม่ได้เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“เธอมีตัวตนจริง ๆ ใช่ไหม” เป็นคำถามฟังดูแล้วบ้าสิ้นดี คนดีที่ไหนถามกันแบบนี้
“มีจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัยเลย” หมอตอบซึ่งฟังแล้วก็ไม่ต่างจากคนบ้าเช่นกัน คนสติดีไหนจะบอกว่าคนตายไปแล้วมีตัวตนกลับมาได้ ผมรู้สึกอยากหัวเราะออกมาแม้กำลังรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นบ้า
“ผมมีตัวตนจริงๆใช่ไหม” คำถามนี้ยิ่งดูบ้าหนักเข้าไปอีก
“คุณก็มีตัวตนจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัยอะไรเลย” คุณหมอยืนยันหนักแน่น ดูเหมือนเขาพยายามยิ้มฝืนๆ กลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่าง
“คุณหมอคงมีตัวตนด้วยนะ”
หมอสะดุ้งเฮือก หัวเราะเสียงเฝื่อน หลบสายตาไปมองพื้นก่อนตอบว่า
“บางทีผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าแต่คุณสบายดีไหม”
“ผมจะสบายดีกว่านี้ถ้าคุณไม่ฉีดยาบ้า ๆ อะไรบางอย่างให้ผม จนผมลุกจากเตียงไม่ได้ คุณต้องการทำอะไรกันแน่คุณหมอ”
คราวนี้หมอไม่ยอมตอบ เดินไปตรงหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกเหมือนพยายามหลบหลีกการตอบคำถามนั้น บางทีคำตอบอาจน่ากลัวเกินกว่าจะตอบออกมาก็เป็นไปได้
.